ก็น่าจะจริง!!!...อย่างที่อดีตประธานาธิบดีอเมริกัน “นายบารัค โอบามา” ท่านออกมาสรุปไว้ด้วยคำพูดสั้นๆ ถึงสภาพความเป็นไปของประเทศมหาอำนาจสูงสุดอย่างอเมริกาทุกวันนี้ ระหว่างพบปะกับบรรดาผู้สนับสนุนพรรคเดโมแครตเมื่อช่วงวัน-สองวันที่ผ่านมา ชนิดเรียกว่า...สามารถหลับตานึกภาพได้อย่างชัดเจนเอามากๆ นั่นก็คือคำว่า “absolute chaotic disaster” หรือความหายนะวุ่นวายระดับสมบูรณ์แบบ หรือความวิบัติหายนะอันโกลาหลแบบสุดๆ ก็แล้วแต่จะว่ากันไป...
คือแต่ละสิ่งแต่ละอย่าง...ออกไปทางเละเป็นขี้ เละเป็นโจ๊ก เละเป็นเต้าหู้ตกโต๊ะ ไปด้วยกันทั้งสิ้น เมื่อมหาอำนาจสูงสุดแห่งโลก ไม่ว่าทางการเมือง การทหาร การเศรษฐกิจ แต่ดันต้องมาเจอกับการบุกรุก โจมตีของ “ศัตรู” ตัวเล็กๆ กระจ้อยกระจิริด ระดับมองด้วยตาเปล่าไม่เห็น อย่างเชื้อโคโรนาไวรัส “COVID-19” เข้าไปแค่ไม่กี่พัก แม้แต่ประธานาธิบดีที่หนักไปทางกลิ้งแสนกลิ้ง ระดับกลิ้งไว้ก่อนพ่อสอนไว้ อย่าง “ทรัมป์บ้า” ยังถึงกับ “ไปไม่เป็น” ออกอาการจำบ้านเลขที่ไม่ได้ หาทางกลับมุมแทบไม่เจอ แบบครั้งแล้ว ครั้งเล่า...
แม้แต่เรื่อง “เศรษฐกิจ” หรือเรื่องเงินๆ-ทองๆ...อันเป็นสิ่งที่ผู้นำอเมริการายนี้ให้ความสำคัญมาโดยตลอด ชนิดเหนือซะยิ่งกว่าเรื่อง “ชีวิต” หรือ “สุขภาพ” ของชาวอเมริกันซะด้วยซ้ำ เพราะถือเป็นเรื่องที่สามารถเอาไปคุยโม้ คุยโต เอาไปหาเสียง หาคะแนนนิยม เพื่อกลับมาเป็นประธานาธิบดีรอบสองได้ไม่ยากส์ส์ส์ แต่ถ้าฟังจาก “คำสารภาพ” หรือคำให้สัมภาษณ์ของที่ปรึกษาฝ่ายเศรษฐกิจทำเนียบขาว “นายปีเตอร์ นาวาร์โร” ในรายการ “Sunday Morning Futures” ของโทรทัศน์ “Fox News” คราวล่าสุด หรือเมื่อช่วงวันอาทิตย์ (10 พ.ค.) ที่ผ่านมานี้เอง ด้วยคำพูดประโยคที่ว่า... “ท่านประธานาธิบดีของเรา อุตส่าห์บากบั่นสร้างเศรษฐกิจที่เต็มไปด้วยพลังและสวยสดงดงามมาเป็นเวลาถึง 3 ปี แต่สุดท้าย...ก็ถูกพรรคคอมมิวนิสต์จีน (ไวรัสอู่ฮั่นหรือไวรัสจีน) รื้อทิ้งไปภายในเวลาแค่ 60 วันเท่านั้นเอง...” อันนี้...ต้องถือเป็นการยอมรับสภาพ ยอมจำนน กันเห็นๆ...
พูดง่ายๆ ว่า...จะไปคิดฮึดสู้ จะไปสร้างกลุ่ม สร้างก้อน แบบที่เรียกๆ กันว่า “เครือข่ายความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ” (Economic Prosperity Network) เพื่อหวังฉีกกระชาก “ห่วงโซ่อุปทาน” ของมหาอำนาจคู่แข่งอย่างจีน ให้หลุดออกมาชิ้นๆ น่าจะไม่ทันการณ์ ไม่ทันเวลา ไม่ทันกรรมการนับ 8 อีกต่อไปแล้ว เพราะภาวะเศรษฐกิจอเมริกาช่วงนี้ หนักซะยิ่งกว่าแค่สะลึมสะลือ คืออาจถึงขั้นไปไม่กลับ-หลับไม่ตื่น-ฟื้นไม่มีเอาง่ายๆ เฉพาะแค่ดูจาก “ตัวเลขคนว่างงาน” ก็หนาวว์ว์ว์แล้ว หรือน่าจะหลับต่อ ไม่เหลือเรี่ยว เหลือแรงใดๆ พอที่จะลุกขึ้นมาสู้ได้อีก คือขณะที่ตัวเลขหน่วยงานทางการ อย่าง “BLS” (US Bureau of Labor Statistics) สรุปไว้เมื่อช่วงวันศุกร์ (8 พ.ค.) ที่ผ่านมา ว่าอยู่ที่ประมาณ 14.7 เปอร์เซ็นต์ หรือว่างงานประมาณ 20.5 ล้านคน แต่สำหรับตัวเลข สถิติ ของหน่วยงานเอกชน อย่าง “Standard Chartered” สรุปไว้ในช่วงเดียวกัน ว่าไม่น่าจะต่ำไปกว่า 25.5 เปอร์เซ็นต์ หรือประมาณ 42 ล้านคน เป็นอย่างน้อย...
หรืออาจสรุปได้ว่า...ไม่ว่ามองจากตัวเลข สถิติ โดยหน่วยงานใดๆ ก็แล้วแต่ “อัตราการว่างงาน” อันถือเป็นภาพสะท้อนเศรษฐกิจอเมริกาในช่วงนี้ ออกจะหนักหนาสาหัส ไม่น้อยไปกว่า หรืออาจมากซะยิ่งกว่า ภาวะเศรษฐกิจอเมริกาเมื่อช่วงเกือบ 100 ปีที่แล้ว หรือช่วงที่เรียกขานกันในนาม “The Great Depression” หรือ “มหาวิกฤตเศรษฐกิจ” เมื่อครั้งปี ค.ศ. 1930 นั่นแล ทุกสิ่งทุกอย่างมันเลยเละเป็นขี้ เละเป็นโจ๊ก เละเป็นเต้าหู้ตกโต๊ะ หรือเป็น “absolute chaotic disaster” อย่างมิอาจปฏิเสธได้ แถมไม่ใช่แค่เรื่อง “เศรษฐกิจ” หรือเรื่องเงินๆ ทองๆ เท่านั้น กระทั่งเรื่อง “ชีวิต” หรือเรื่อง “สุขภาพ” ของชาวอเมริกัน ก็ยิ่งน่าสยดสยองพองขนยิ่งขึ้นไปใหญ่ ไม่เพียงจำนวนคนติดเชื้อที่พุ่งทะลุหลักล้านไปเรียบร้อยแล้ว ขณะจำนวนคนตายใกล้ๆ ทะลุหลักแสนในอีกไม่ช้า-ไม่นาน กระทั่งบรรดาผู้บริหารประเทศ ผู้มีอำนาจ บทบาทในทำเนียบขาว ต่างติดเชื้อกันชนิดไม่เว้นในแต่ละวัน เฉพาะทีมงานของประธานาธิบดี รองประธานาธิบดี ต้องกลับไปนอนป่วยอยู่ที่บ้าน ไป “work from home” ไม่ต่ำกว่า 3 ราย ไปจนกระทั่งแม้แต่บุคลากรทางการแพทย์ ที่มาช่วยประสานงานกับทำเนียบขาว มาสร้างความมั่นอกมั่นใจให้บรรดาอเมริกันชนทั้งหลาย ไล่มาตั้งแต่ “Dr.Anthony Fauci” ที่สาวก “ทรัมป์บ้า” เรียกร้องให้ไล่ออกมาโดยตลอด “Dr.Stephen Hahn” แห่งคณะกรรมาธิการด้านอาหารและยา “Dr.Robert Redfield” ผู้อำนวยการศูนย์ควบคุมป้องกันโรค CDC ต่างต้องถูกส่งไปนอนกักตัวเอาไว้ 14 วัน เพราะไม่รู้ว่าจะติดเชื้อ-ไม่ติดเชื้อ จากใครต่อใครในทำเนียบขาวด้วยหรือไม่???
ส่วนการคิดหันมาหาทางออก ทางรอด ด้วยกรรมวิธีที่เรียกว่า “Military Keynesianism” หรืออาศัย “สงคราม” เป็นเครื่องมือในการกระตุ้นเศรษฐกิจ แบบที่ครั้ง “สงครามโลกครั้งที่ 2” เคยช่วยให้เศรษฐกิจอเมริการอดพ้นยุค “The Great Depression” มาได้แบบหวุดๆ หวิดๆ ก็ดูจะ “ลำบาก” อีกนั่นแหละ เพราะแค่การบุกประเทศเล็กๆ อย่างเวเนซุเอลา ยังต้อง “แห้วกระป๋อง” กันจนได้ อีกทั้งบรรดาทหารอเมริกันช่วงนี้ ต่างก็ “ติดเชื้อ COVID-19” งอมๆ แงมๆ กันไปเป็นรายๆ ไม่ใช่แค่เฉพาะบรรดาทหารนับร้อยๆ ในเรือบรรทุกเครื่องบิน “USS Theodore Roosevelt” ที่เคยเป็นข่าวคราวเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมาเท่านั้น ล่าสุด...เห็นว่ากระทั่งหัวหน้าฝ่ายปฏิบัติการทางทะเลของกองทัพเรือ “พลเรือเอกMichael M. Gilday” ยังหนีไม่พ้นต้องโดน “COVID-19” เล่นงานต้องถูกส่งไปกักตัว ไม่อาจประชุมสุมหัว คิดจะบุกใครต่อใครได้อีก...
ความย่ำแย่ในระดับ “absolute chaotic disaster” ของอเมริกาเที่ยวนี้...จึงน่าจะส่งผลให้ใครก็ตาม หรือประเทศใดก็ตาม ที่ไม่ถึงกับ “สายตาสั้น” เกินไปนัก น่าจะพอมองออก ว่าแนวโน้มความเป็นไปของโลกในอนาคตเบื้องหน้านั้น มันน่าจะเป็นไปในรูปไหน แบบไหนกันแน่!!! ไม่ว่าจะเป็นพันธมิตรหลักของอเมริกาในตะวันออกกลาง อย่าง “ซาอุดีอาระเบีย” ที่เพิ่งถูกถอดระบบป้องกันขีปนาวุธแพทริออตไปเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา พันธมิตรอันศักดิ์สิทธิ์อย่าง “อิสราเอล” ที่ผู้นำประเทศอย่างนายกรัฐมนตรี “เนทันยาฮู” ถึงกับหวาดผวา ต้องเอ่ยปากกับสมาชิกพรรคลิคุดเมื่อวัน-สองวันนี้ ว่าถ้าข่าวคราวว่าด้วยเรื่อง “การระบาดรอบ 2” ของเชื้อไวรัส “COVID-19” เป็นจริงขึ้นมา ถึงขั้นอาจต้องถือเป็น “จุดจบของมวลมนุษยชาติ” เอาเลยถึงขั้นนั้น ไปจนกระทั่งพันธมิตรที่พร้อมยืนหยัดเคียงบ่า-เคียงไหล่กับอเมริกา จนถูกให้ชื่อฉายาว่า “สุนัขพูเดิล” ของอเมริกาอย่าง “อังกฤษ” ก็ตาม หลังรอดพ้นปากเหยี่ยว ปากกา ปาก “COVID-19” มาได้แบบหวุดๆ หวิดๆ ดูเหมือนว่านายกรัฐมนตรีอังกฤษ “นายบอริส จอห์นสัน” ดูจะเปลี่ยนไปเป็นคนละคน คนละเรื่อง คนละม้วน ในหลายต่อหลายเรื่องด้วยกัน และหนึ่งในนั้น...ก็คือการหันมา “ส่งสัญญาณ” ในแง่บวก ให้กับการรื้อฟื้นความสัมพันธ์กับหนึ่งในมหาอำนาจคู่แข่งของอเมริกา อย่างรัสเซีย ชนิดใกล้จะสวมกอด หรือจูบปากกันในอีกไม่นาน-ไม่ช้านับจากนี้ ฯลฯ อะไรต่อมิอะไรเหล่านี้นี่เอง...ที่อาจเป็นเสมือน “คำตอบ” ว่าโลกหลังยุค “COVID-19” นั้น ย่อมไม่ใช่ “โลกภายใต้อเมริกา” เหมือนอย่างหลายศตวรรษที่ผ่านมาอีกต่อไปแล้ว...