ตลาดทุนที่วอลล์สตรีท และแทบทุกแห่งในโลก มีการปรับตัวขึ้นอย่างหน้าชื่นตาบานรับข่าวการทยอยเปิดเมืองเพื่อทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจกลับมาคึกคักในแทบทุกเมืองใหญ่ทั่วโลก ในระดับการเปิด (Reopen) อีกครั้ง ที่แตกต่างกัน-มากบ้างน้อยบ้างตามแต่แรงกดดันจากเถ้าแก่หรือภาคธุรกิจที่เกรงว่า กำไรกำลังมลายหายไปต่อหน้าต่อตา และบางแห่งถึงต้องประกาศขายกิจการหรือเข้าสู่ขบวนการล้มละลายพิทักษ์ทรัพย์ โดยเฉพาะด้านสายการบินหรือสถานบันเทิงต่างๆ
และทันทีที่มีการเปิดธุรกิจให้กลับมาให้บริการอีกครั้ง ก็เป็นการเปิดให้ไวรัสกลับเข้ามาแพร่เชื้ออีกครั้งเช่นกัน
ตัวเลขคนติดเชื้อขยับขึ้นทันที ทั้งที่เกาหลี, เยอรมนี หลายๆ รัฐในสหรัฐฯ และแม้แต่จีนเองก็เถอะ
แม้จะเป็นการค่อยๆ ทยอยเปิดแบบเบาๆ ในเยอรมนีเอง แต่ตัวเลข R-Rate คือ อัตราการแพร่เชื้อก็เขยิบขึ้นไปเกิน 1 ทันที
ซึ่งทางเยอรมนี เขาแข็งขันมาก และติดตามสถานการณ์อย่างไม่กะพริบตา โดยท่านนายกฯ อังเกลา แมร์เคิล ได้บอกกล่าวกับพี่น้องชาวเยอรมัน ก่อนขยับเปิดธุรกิจ ว่า ทางการเยอรมนีจะกลับมาปิดธุรกิจใดๆ ที่มีสัญญาณว่าเกิดการระบาดแพร่เชื้ออีกครั้ง โดยจะรีบปิดทันที ซึ่งตอนนี้อัตรา R-Rate ยังไม่ถึง 1.2-1.3 ก็ยังพอรับไหวอยู่
และก่อนขยับเปิด เธอได้กำชับหนักแน่นว่า ทุกคนจะต้องมีวินัยเข้มแข็งในการรักษาระยะห่างขณะออกไปทำกิจกรรมในหมู่คน ต้องสวมหน้ากาก, ต้องล้างมือ (หรือสวมถุงมือยางเลย) หรือเช็ดมือด้วยแอลกอฮอล์บ่อยๆ และหลีกเลี่ยงการเดินทางด้วยรถโดยสารสาธารณะ (ที่เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ญี่ปุ่นต้องล้มเหลว หลังการระบาดครั้งแรก จนต้องออกมาตรการ Lock Down เป็นครั้งที่ 2 ในเมืองใหญ่ๆ ทันที 7 เมือง)
มาตรการที่สำคัญยิ่งในการเปิดเมือง คือ ต้องมีการไล่กวดตรวจเชื้อให้กว้างขวางที่สุด ซึ่งเยอรมนีมีอยู่พร้อม และเขาทำได้ก่อนใครโดยไม่คิดค่าตรวจด้วย ตั้งแต่ระบาดครั้งแรกและจะทำอย่างเข้มแข็งต่อไปในการเปิดเมืองครั้งนี้
ความแออัดของกลุ่มคนที่อยู่ใกล้ชิดกันอยู่ในบริเวณเดียวกัน-ก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ต้องเข้มงวดเตรียมการก่อนการกลับมาเปิดเมือง ซึ่งจำเป็นมากที่จะจำกัดจำนวนผู้คนที่เข้ามาใช้บริการ เช่น ร้านซูเปอร์มาร์เกต หรือร้านตัดผม เรื่องนี้จีนทำได้ดีมากด้วยอาศัยเทคโนโลยี และทำให้เขากลับมาเปิดเมืองได้อีกครั้งหลังปิดไป 10 อาทิตย์ (76 วัน) ที่เมืองอู่ฮั่น
หลังตรวจพบคนติดเชื้อเป็นบวก ก็ต้องมีขบวนการติดตามหาบุคคลที่เกี่ยวข้องอยู่ในสถานที่เดียวกับผู้ติดเชื้อ คือการ trace หรือสืบหาบุคคลที่เข้าข่ายติดเชื้อไปด้วย และเช่นกัน ขบวนการนี้ทางจีนและเกาหลีใต้ก็ใช้เทคโนโลยีมาติดตามด้วยความสำเร็จดียิ่ง
สำหรับประเทศสหรัฐฯ การรีบกลับมาเปิดเมืองในหลายๆ รัฐ โดยเฉพาะรัฐที่เป็นฐานเสียงของปธน.ทรัมป์ จะได้ไฟเขียวจากทรัมป์ที่ยุยงปลุกปั่นให้ผู้คนออกมา (พร้อมปืน) เพื่อกดดันผู้ว่าการรัฐให้ปลดมาตรการ Lock Down ให้เร็วที่สุด ทั้งๆ ที่บางรัฐตัวเลขผู้ติดเชื้อระบาดและตัวเลขคนตาย ยังเป็นขาขึ้นที่ยังไม่ถึงจุดพีกด้วยซ้ำ เช่น ที่รัฐจอร์เจีย, เซาท์ดาโคตา, มิชิแกน เหล่าบรรดาฐานเสียงขวาจัดของทรัมป์ (บางทีเป็นพวก Ku-Klux-Klan ที่เกลียดคนผิวดำ) ได้ออกมาอาละวาดที่ศาลาผู้ว่าการรัฐ บอกว่า พวกเขาต้องการเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ ที่จะไม่ยอมถูกกักอยู่แต่ในบ้าน เขามีสิทธิในการเดินทางออกนอกบ้าน ไปทำอะไรตามใจชอบหรือไปทำงาน, หรือไปเรียนหนังสือ... การออกคำสั่งให้อยู่แต่ในเคหสถาน (Stay-at-Home) ถือว่าผิดรัฐธรรมนูญ เป็นต้น
ที่สหรัฐฯ มีการจ่ายเช็คช่วยเหลือผู้ถูกปลดออกจากงานคนละ 1,200 เหรียญ (เกือบ 4 หมื่นบาท) รวมทั้งมีการแจกอาหารตามไร่นาต่างๆ ที่เจ้าของไร่มันมีผลิตผลล้นเกินได้ประกาศแจกฟรีทุกๆ วัน รวมทั้ง Food Bank ก็รวมอาหารกระป๋องและผัก ผลไม้ แจกอยู่ทั่วๆ ไป-ไม่ถึงกับอดอยากต้องตายเพราะขาดอาหาร
เนื่องจากร้านอาหารที่ต้องปิดร้านจากคำสั่ง Lock Down ทำให้ผลิตผลเกษตรตามท้องไร่ ท้องนาเหลือมากมาย ไม่ได้ส่งเข้าร้านอาหาร (เช่นเดียวกับประเทศไทย) และมีเชฟใหญ่ๆ ที่นิวยอร์กได้ระดมเงินทุน ทำอาหารแจกฟรีทุกๆ วันในหลายจุดมากทั่วประเทศสหรัฐฯ
แต่ที่มีการกดดันมากเป็นพิเศษที่จะต้องรีบเปิดเมือง ก็คือ ปธน.ทรัมป์ ที่เข้าใกล้วันเลือกตั้งประธานาธิบดีอีกเพียง 5 เดือน (วันลงคะแนนคือ 3 พฤศจิกายนนี้) และจำนวนคนตายและติดเชื้อกำลังนำลิ่วเป็นที่หนึ่งของโลก ขณะที่เศรษฐกิจก็ติดลบในไตรมาสแรก และความมั่งคั่งในตลาดวอลล์สตรีทก็หายวับไปกับตา โดยบริษัทแทบทุกแห่งมีแต่ขาดทุน (ยกเว้นกิจการด้านค้าปลีก On-line เช่น Amazon หรือขายความบันเทิง On-line พวก Netflix และพวกบริษัทไอทีเช่น เฟซบุ๊ก รวมทั้งบริษัทยา Gilead-เจ้าของ Remdesivir-ที่มีการขยายตัวและมีกำไร)
ร้อนถึงกองทุนต่างๆ ที่ลงทุนในหุ้น ที่ต้องขาดทุนเจ็บตัวกันทั้งนั้น และผู้ถือหน่วยลงทุนก็คือ ครัวเรือนอเมริกันมากกว่า 50% ทั่วประเทศ
ทรัมป์จึงเร่งเร้าให้ธุรกิจกลับมาสู่การค้าขายปกติ ถึงกับพูดว่า ก็ต้องมีคนล้มตายบ้าง แต่ธุรกิจจะปิดนานไม่ได้ และยังพูดว่า แต่ละวันจะมีคนตายอยู่เสมอ เช่น จากไข้หวัดใหญ่ที่ปีที่แล้วตายไป 36,000 คน คือ เขามองว่า ธุรกิจสำคัญกว่าชีวิตคนนั่นเอง
เมื่อวันก่อน คณะกรรมาธิการสาธารณสุขของวุฒิสภาสหรัฐฯ ได้เชิญเหล่าผู้เชี่ยวชาญไปให้ความคิดเห็นเรื่องการระบาด Covid-19 นี้ ซึ่งคุณหมอแอนโทนี เฟาชี ก็ได้เตือนอีกครั้งถึงโอกาสที่จะเกิดระบาดใหญ่รอบสองในช่วงฤดูใบไม้ร่วง ซึ่งจะเป็นช่วงการระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่ที่มาทุกปีอยู่แล้ว เขาเกรงว่าจะเกินความสามารถที่ระบบสาธารณสุขของสหรัฐฯ จะรับไหว และจะยิ่งรุนแรงกว่าการระบาดรอบแรกด้วยซ้ำ (คล้ายๆ กับการระบาดไข้หวัดใหญ่ปี 1918) และเขาเป็นห่วงว่าเด็กๆ ที่จะกลับไปโรงเรียนด้วย ซึ่งได้ตอบคำถามของ ส.ว.เบอร์นี แซนเดอร์ส ว่า ตัวเลขคนตายในสหรัฐฯ จากโรคไวรัสร้ายนี้ น่าจะสูงกว่ารายงานทางการ เพราะมีคนตายตามบ้านพักคนชราที่อาจตกสำรวจ เนื่องจากอยู่นอกระบบโรงพยาบาลที่มีการเก็บตัวเลขโดยตรง
ตอนนี้ทรัมป์ได้ลดระดับการแถลงข่าวรายวันเรื่องสถานการณ์ Covid-19 เพื่อจะได้ปิดโอกาสให้คุณหมอเฟาชี ได้ร่วมแถลงด้วย ซึ่งเขาเคยประกาศด้วยซ้ำว่า จะยุบคณะกรรมการเฉพาะกิจเรื่อง Covid-19 ที่ทำเนียบขาว เพราะเห็นคุณหมอเฟาชีได้พูดความจริงทางวิทยาศาสตร์ (ที่ตรงข้ามกับคำพูดโกหกของทรัมป์) และทำให้แผนการเปิดเมืองของเขาถูกต้านจากฝ่ายที่เชื่อคุณหมอเฟาชี ที่ไม่อยากให้รีบเปิดเมืองเต็มที่อย่างรวดเร็วเกินไป
เราคงได้เห็นอาการเปิดเปิด-ปิดปิดในหลายๆ แห่งทั่วโลก ที่รีบร้อนเปิดเมืองตามแรงกดดันจากภาคธุรกิจ และเห็นการตายของเหยื่อโรคระบาด Covid-19 เป็นเรื่องเล็กน้อยนั่นเอง