ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - อยากมีซีนช่วง “โควิด” กับเขา แต่ก็ดัน “แป้ก” รัวๆ
รายของ “เสี่ยเอก” ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ แกนนำคณะก้าวหน้า และอดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ที่ “ว่าว” สองคิวซ้อนๆ ในสมรภูมิต่อสู้กับผลกระทบจากการแพร่ระบากของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19)
หลังจาก “คิวแรก” ซุ่มโป่งไปออกแบบห้องตรวจเชื้อความดันลบเพื่อบริจาคให้สถานพยาบาลอยู่นานสองนาน ก่อนประโคมข่าวพาสื่อเข้าชมถึงโรงงาน ตั้งใจจะให้เวอร์วังอลังการ แต่ผลลัพธ์ “ไม่ว้าว” อย่างที่คิด เพราะมีคนทำก่อนหน้านี้แบบถูกต้องตามหลักไปแล้ว
มาคิวล่าสุดที่จัดคอนเสิร์ตออนไลน์ระดมทุน MAYDAY MAYDAY เราช่วยกัน ขอรับเงินบริจาคเพื่อนำไปช่วยเหลือผู้ที่เดือดร้อนและได้รับผลกระทบในช่วงโควิด-19 แต่ก็กลายเป็น “เมย์เดย์ เมย์เดี้ยง” ไปเสียได้ เมื่อตั้งกติกาให้ผู้ที่มาขอรับความช่วยเหลือ ใส่รหัสขอรับสิทธิ์เป็นตัวเลข 24 และ 75 ซึ่งเมื่อแพร่ออกไป ปรากฏกระแสสังคมวิพากษ์วิจารณ์กันสนั่นว่า งานนี้ “ธนาธรและพวก” จงใจใช้ตัวเลขเป็นสัญลักษณ์ทางการเมือง เพื่อสื่อให้คิดถึง ปี 2475 ปีที่ประเทศไทยเปลี่ยนแปลงการปกครอง
ทว่า ที่หนักกว่าก็คือ “ปิยบุตร แสงกนกกุล” แกนนำคณะก้าวหน้า ซึ่งละทุกอย่างไม่สนใจวิกฤตโควิด-19 แล้วหันมาใช้พื้นที่เฟซบุ๊กส่วนตัว โชว์ความเป็น “มิสเตอร์ชังชาติ” ในกรณี “นุรักษ์ มาประณีต” อดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญ ได้รับการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเป็น “องคมนตรี" ซึ่งตอกย้ำให้เห็นถึง “สัญญะ” ที่แท้จริงในการเคลื่อนไหวเพื่อเขย่าสังคมไทยของพวกเขาอย่างไม่อาจปฏิเสธความเป็นจริงได้
ลูกห้าว “ปิยบุตร” ล่อนจ้อน “ชังชาติ”
ข้อผิดพลาดของ “คณะก้าวหน้า” หรือ “พรรคก้าวไกล” ที่ผ่านๆ มาดู “เบาบาง” ไปในทันที เมื่อ “ปิยบุตร แสงกนกกุล” แกนนำคณะก้าวหน้า ละทุกอย่างไม่สนใจวิกฤตโควิด-19 แล้วหันมาใช้พื้นที่เฟซบุ๊กส่วนตัว โชว์ลูกห้าวเที่ยวล่าสุดในกรณี “นุรักษ์ มาประณีต” อดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญ ได้รับการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเป็น “องคมนตรี" เมื่อ 4 พ.ค. หรือวันฉัตรมงคลที่ผ่านมา
โดย “ปิยบุตร” ได้ยกประเด็น “ความเป็นมา” ของ “องคมนตรีนุรักษ์” โดยเฉพาะการตัดสินคดีต่างๆ สมัยเป็นตุลาการรัฐธรรมนูญ และตุลาการศาลรับธรรมนูญ จนถึงประธานศาลรัฐธรรมนูญ ว่าเคยตัดสินคดีสำคัญๆ อะไรมาบ้าง เน้นย้ำในเรื่องที่เกี่ยวกับการ “ยุบพรรค-ตัดสิทธิ์” ต่างๆโดยเฉพาะ ว่า
“...เป็นตุลาการรัฐธรรมนูญยุบพรรคไทยรักไทย ตัดสิทธิ์กรรมการบริหารพรรค 111 คน เป็นเวลา 5 ปี
เป็นสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ 2550
เป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยให้ สมัคร สุนทรเวช พ้นจากนายกรัฐมนตรี
เป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรคพลังประชาชน พรรคชาติไทย พรรคมัชฌิมาธิปไตย พร้อมตัดสิทธิ์กรรมการบริหารพรรครวม 109 คน เป็นเวลา 5 ปี
เป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ยกคำร้องคดียุบพรรคประชาธิปัตย์
เป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 เรื่องที่มา ส.ว.ตกไป
เป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ร่าง พ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้านตกไป
เป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้การเลือกตั้ง 2 ก.พ.2557 ไม่ชอบ
เป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร พ้นจากนายกรัฐมนตรี
เป็นประธานศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรคไทยรักษาชาติ และตัดสิทธิ์กรรมการบริหารพรรค 10 ปี
เป็นประธานศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ พ้นจากตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
และล่าสุด ผลงานสุดท้ายก่อนพ้นจากตำแหน่งประธานศาลรัฐธรรมนูญ คือ ยุบพรรคอนาคตใหม่ และตัดสิทธิ์กรรมการบริหารพรรค 10 ปี”
ส่วนแฟนเพจ “พรรคอนาคตใหม่เดิม” ที่ถูกยุบก็แชร์มาพร้อมกับบรรยายสั้นๆ ว่า “ผลงานเป็นที่ประจักษ์”
แน่นอนว่า “ผลงานสุดท้าย” ที่อ้างถึงในโพสต์นั้น ย่อมชี้ให้เห็นว่า เหตุใด “ปิยบุตร” ถึง “ติดใจ” กรณีการแต่งตั้ง “นุรักษ์” เพราะ “ปิยบุตร” ในฐานะ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคอนาคตใหม่ ถือเป็น “เสียผู้ประโยชน์โดยตรง” จากกรณีดังกล่าว แต่ก็พยายามลากกรณีอื่นเข้ามาให้เห็นภาพว่า เพื่อที่ “แฟนคลับ” ของขั้วอำนาจที่เสียประโยชน์จะได้ “เอออห่อหมก” ไปด้วย โดยที่ไม่ได้อ้างอิงถึงมูลเหตุ-ความผิดใดๆ
“ปิยบุตร” ได้ขยายความในโพสต์ถัดมาหัวข้อ “ความเห็นส่วนตนของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญในคดียุบพรรคอนาคตใหม่” ว่า “...เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2563 ศาลรัฐธรรมนูญ โดยเสียงข้างมาก 7 คน ได้ยุบพรรคอนาคตใหม่และเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งกรรมการบริหารพรรคเป็นเวลา 10 ปี เสียงข้างมาก 7 คน นั้น 6 คน ให้เพิกถอนสิทธิกรรมการบริหารพรรคอนาคตใหม่เป็นเวลา 10 ปี ได้แก่ นายจรัญ ภักดีธนากุล, นายอุดมศักดิ์ นิติมนตรี, นายบุญส่ง กุลบุปผา, นายปัญญา อุดชาชน, นายวรวิทย์ กังศศิเทียม และนายนครินทร์ เมฆไตรรัตน์...”
อย่างไรก็ตาม ที่ “ปิยบุตร” ต้องการ “เน้น” คือย่อหน้าถัดมาที่ว่า
“...และ 1 คน ให้เพิกถอนสิทธิกรรมการบริหารพรรคอนาคตใหม่ โดยไม่มีกำหนดระยะเวลา ได้แก่ นายนุรักษ์ มาประณีต ประธานศาลรัฐธรรมนูญ...”
มองไม่ผิดว่า “ปิยบุตร” ต้องการสื่อว่า “องคมนตรีนุรักษ์” มี “อคติ” กับอดีตพรรคอนาคตใหม่ มากกว่าตุลาการคนอื่น แต่ก็ระมัดระวังที่จะ “เขียนความเห็นส่วนตัว” หลีกเลี่ยงการละเมิดขอบเขตอำนาจศาลรัฐธรรมนูญ ด้วยรู้ดีว่าจะไต่เส้นอย่างไรจึงจะปลอดภัยในฐานะอาจารย์ทางกฎหมาย
อย่างไรก็ดี ก็ได้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ “ปิยบุตร” อย่างรุนแรงในวงกว้าง เพราะขณะนี้ “นุรักษ์” ได้รับโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็น “องคมนตรี” ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ดังนั้น จึงมิอาจตีความเป็นอย่างอื่นได้ว่า “ปิยบุตร” ต้องการสื่ออะไร
ขนาดฝั่งเดียวกันอย่าง “เจ๊แมว” กุสุมาลวตี ศิริโกมุท อดีต ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย ก็ยังรับไม่ได้ และต่อว่า “ปิยบุตร” อย่างรุนแรงว่า
“...ไม่รู้กาละเทศะ ไม่เข้าใจบริบทของสังคมไทย พอคิดว่าตัวเองแน่ ตัวเองเก่ง เป็นฮีโร่ทางสังคมนั้น ต้องเข้าใจทุกคนมีต้นทุนทางสังคม การเหยียดหยามผู้อื่นว่าทำผลงานเพื่อจะได้มีสิ่งตอบแทน คือการเป็นองคมนตรีนั้น ฟังดูรุนแรง และก้าวล่วงถึงสถาบันหลักของชาติ
“มันสะท้อนตัวตนของผู้พูดว่าคิดอะไรอยู่ แต่ก็เข้าใจว่าทำไมถึงได้โหวตสวนร่าง พ.ร.ก.ในสภา ที่ท้าทายสถาบัน ก็ทำมาแล้ว แต่การเหยียดหยามบุคคลอย่าง นายนุรักษ์ มาประณีต นั้น อยากบอกว่าช่วยทบทวนแนวคิดด้วย...”
กลายเป็นว่าทุกคนจับได้ไล่ทันหมดว่า “ปิยบุตร” คิดอ่านอย่างไร
ซึ่ง “อดีตเลขาฯอนาคตใหม่” ก็สร้างเกราะป้องกันตัวเองขึ้นมาทันที ในหัวข้อ “การตรวจสอบความเห็นส่วนตนของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญในแต่ละคดีเป็นเรื่องปกติ”
พร้อมตอบโต้เสียงวิพากษ์วิจารณ์ด้วยว่า “ข้ออ้างที่ว่า นายนุรักษ์ มาประณีต ได้เป็นองคมนตรีแล้ว จึงไม่สมควรอภิปรายถึงการทำงานที่ผ่านมา ฟังไม่ขึ้น หากเรายึดถือตามนี้ ก็กลายเป็นว่า บุคคลใดที่ได้ดำรงตำแหน่งองคมนตรีแล้ว บุคคลนั้นจะหลุดพ้นจากการตรวจสอบ ศึกษา หรืออภิปรายใดๆ ถึงการกระทำหรือผลงานต่างๆ ก่อนที่เขาเป็นองคมนตรีอย่างนั้นหรือ หากเป็นเช่นนั้นจริง เราคงไม่มีการพูดถึงหรือไม่มีงานศึกษาวิจัย วิทยานิพนธ์ หนังสือที่เกี่ยวกับองคมนตรีแต่ละคน ยกตัวอย่างเช่น มีงานศึกษาเกี่ยวกับ ศ.สัญญา ธรรมศักดิ์ และ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ จำนวนมาก มิพักต้องกล่าวถึง ในประเทศไทย ไม่มีกฎหมายใด ห้ามวิจารณ์ หรืออภิปรายถึงองคมนตรีด้วย ดังนั้น ในอนาคต หากจะมีใครศึกษาค้นคว้า ความคิดของนายนุรักษ์ มาประณีต ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด และควรภูมิใจเสียด้วยซ้ำที่ความคิดของตนมีอนุชนรุ่นหลังมาศึกษา”
ย้ำว่า “องคมนตรี” สามารถถูกวิจารณ์ได้ ซึ่งถือว่าถูกต้อง ตามที่ “ปิยบุตร” กล่าวอ้าง
หากแต่ทุกคนก็รู้อีกว่า “ปิยบุตร” ต้องการให้เกิดการวิพากษ์ “ที่มา” ของการแต่งตั้ง “องคมนตรีนุรักษ์” ด้วยการย้ำผลการวินิจฉัยสมัยที่ “นุรักษ์” เป็นศาลรัฐธรรมนูญมากกว่า
นั่นคือสิ่งที่ผู้คนรับไม่ได้ และนึกย้อนถึง “ตัวตน” ที่แท้จริงของ “ปิยบุตร แสงกนกกุล” ที่ไม่เพียงแต่เป็นอดีตเลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ ยังอดีตแกนนำกลุ่มนิติราษฎร์ เจ้าของ “ข้อเสนอแหลมคม” ทั้งการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ที่เกี่ยวกับการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ หรือเสนอห้ามกษัตริย์แสดงพระราชดำรัสสดต่อสาธารณะ และต้องสาบานต่อรัฐสภาในฐานะประมุขว่าจะพิทักษ์รักษารัฐธรรมนูญ
แม้ต่อมาหลังสลัดหมวก “นักวิชาการ” มาเป็น “นักการเมือง” แล้ว ก็แก้ต่างว่าถูก “ขบวนการใส่ร้าย” ตัดตอนข้อความการบรรยายทำให้เสียหายเท่านั้น
อย่างไรก็ดีก็มีกรณีที่ไม่ได้ตัดต่อ-ตัดตอน แต่สะท้อนความเป็น “ปิยบุตร” เป็นอย่างดี เมื่อครั้งเป็นแกนนำ ส.ส.อนาคตใหม่ที่ลุกขึ้นอภิปรายคัดค้านการออกพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) โอนอัตรากำลังพลและงบประมาณบางส่วนของกองทัพบก กองทัพไทย กระทรวงกลาโหม ไปเป็นของหน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์ ซึ่งเป็นส่วนราชการในพระองค์ พ.ศ. 2562 ช่วงเดือน ต.ค.62 ซึ่งเป็น “กฎหมายสำคัญ” ที่ผู้แทนฯน้อยใหญ่ต่างรู้ถึง “เหตุผล-ความเร่งด่วน” ที่รัฐบาลต้องเสนอกฎหมายในรูปแบบ พ.ร.ก.ดี แต่พรรคอนาคตใหม่ ภายใต้การนำของ “ปิยบุตร” ในวันนั้น กลับ “ทะลุกลางปล้อง” ขออภิปรายและลงมติ “ไม่เห็นด้วย” จนฝ่ายค้านด้วยกันยัง “ส่ายหน้า”
และขณะที่กำลังง่วนอยู่กับการสู้คดีคุณสมบัติ ส.ส.ของ “ธนาธร” และคดียุบพรรคอนาคตใหม่ จู่ๆก็มีการเปิดแคมเปญ “อยู่ ไม่ เป็น” ขึ้นมา ที่รู้ทั้งรู้ว่าย่อมถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างแน่นอน แต่ก็ตะแบงตอบโต้ข้อหา “ชังชาติ”
หรือไม่ต้องอื่นไกลในยามที่ประชาชนทุกข์ร้อนจาก “โควิด-19” กันทุกหย่อมหญ้า “ปิยบุตร” ก็ยังคอยโพสต์แต่ประเด็นการเมือง หรือโหวกเหวกการแก้ไขปัญหาของรัฐบาลว่าต้องแก้ไขจากระบบ ความหมกหมุ่นดังกล่าวยังสะท้อนผ่านงานระดมทุน MAYDAY MAYDAY ที่ “บังคับ” ให้ผู้ที่ต้องการรับเงินโพสต์ “รหัสลับ” เป็นตัวเลข “24” และ “75” ทั้งที่ไม่ได้มีผลต่อการให้หรือไม่ให้เงินบริจาค เพราะตั้งเกณฑ์ไว้แล้วว่า มาก่อนได้ก่อน
ตัวเลขรหัสลับที่ว่า ก็เป็นความพยายามอีกครั้งในการเชื่อมโยงไปถึงปี “พ.ศ.2475” ที่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง
แล้วก็ยังทำให้ระลึกถึงการตั้งชื่อกลุ่มหลังพรรคอนาคตใหม่ถูกยับที่ออกมาเป็น “คณะก้าวหน้า” อันเป็นความพยายามเชื่อมโยงคำว่า “คณะ” ไว้อีกด้วย
วันนี้ “ปิยบุตร ณ คณะก้าวหน้า” ขึ้นแท่น “มิสเตอร์ชังชาติ” แบบไม่มีใครท้าชิง และกลายเป็น “ชังชาตบุตร” กู่ไม่กลับ ไปเสียแล้วกระมัง
ชำแหละ “เมย์เดย์ เมย์เดี้ยง”
คำโฆษณาของงาน ที่มีหน้าทายาทธุรกิจแสนล้านอย่าง “เสี่ยเอก” ลูก “มาดามสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ” แห่งเครือไทยซัมมิท ลอยมาแต่ไกล ที่ว่า “แจกคนละ 3 พันบาท โดยไม่ต้องพิสูจน์ความจน”
หวังเหวี่ยงหมัดเข้าปลายคาง “บิ๊กตู่” ที่ให้แบบฝนตกไม่ทั่วฟ้า เพราะบลัฟกันเห็นๆ ถึงแจกไม่เยอะเท่ารัฐบาล แต่คีย์เวิร์ด “ทุกคน” หรือ “ไม่พิสูจน์ความจน” ฟังแล้วเร้าใจ ก่อนจัดกิจกรรม ที่จัดขึ้นทางออนไลน์ ใครก็ว่า ระดับ “เฮียเอก” เจ้าของสมญา “นายกฯโซเชียล” นำทัพแล้ว “เปรี้ยงแน่ๆ”
แรกๆ แฟนคลับถึงกับร้องเรียก “นายกฯเอก” กันกระหึ่มโซเชียลตามคาด
แต่พอเอาเข้าจริง “เละยิ่งกว่าเละ” เพราะนอกจากจะไม่ได้เปรียบเทียบให้ดูดีกว่า “บิ๊กตู่” ยังเป็นเหมือนการออกมา “เปลือยตัวเอง” ด้วยว่า นอกเหนือจากสกิลประดิษฐ์วาทกรรม โปรโมตภาพลักษณ์ให้ดูฉลาดอินเตอร์ แต่แท้จริงแล้ว “ไร้กึ๋น”
งานระดมทุน MAYDAY MAYDAY ก็เลย “เดี้ยง” ในทุกขั้นตอน เริ่มตั้งแต่การประกาศจะโอนเงินให้กับทุกคน ไม่ต้องพิสูจน์ความจน แต่ “ตอนหลัง” ค่อยมาตั้งกติกาว่า ให้มาลงชื่อ เลขบัญชี และแจ้งความเดือดร้อน
“มาก่อน-ได้ก่อน” เพราะเงินมีปริมาณจำกัด
จุดนี้มองเผินๆ เจ๋งกว่ากระทรวงการคลัง แต่ปรากฏว่า ในทางปฏิบัติเละกว่าเป็นสองเท่า เพราะเจตนาให้ทุกคนนั้นเป็นเรื่องดี แต่การที่เงินมีปริมาณจำกัด แล้วให้สิทธิ์คนที่แจ้งชื่อก่อน เหมือนอาจเป็นการแก้ปัญหาที่ตรงไม่จุด และเสี่ยงต่อการตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ
ย้อนแย้งข้อกล่าวหาที่ “คณะก้าวหน้า” และ “พรรคก้าวไกล” ก่นด่ารัฐบาลมาตลอดเกี่ยวกับการใช้วิธี “ลงทะเบียนออนไลน์” ที่เหมือนปิดกั้นผู้ที่เข้าไม่ถึงเทคโนโลยี โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่อาจจะไม่ถนัดกับเครื่องไม้เครื่องมือ จน ส.ส.ก้าวไกล บางคน ต้องคอยไปตระเวนกดลงทะเบียนให้ชาวบ้านในพื้นที่ แล้วมาโพสต์แซะรัฐบาลทุกวัน และยังนำมาซึ่งเวบตีกินอย่าง “ทำไมเราไม่ได้5พัน.com” ของพรรคก้าวไกลด้วย
แล้วถามว่าวิธีการที่ “คณะก้าวหน้า” ให้คนมาลงทะเบียนแตกต่างกันอย่างไร
หนำซ้ำแก้ปัญหาไม่ตรงจุดมากกว่า เพราะจำนวนเงินที่รับบริจาคมาจากการแสดงคอนเสิร์ตมีปริมาณจำกัด การจะแจกจ่ายโดยทั่วถึงนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้ การมาให้สิทธิ์คนที่มาก่อน ย่อมไม่สามารถช่วยเหลือได้มีประสิทธิภาพ
คนที่มาลงชื่อได้ก่อน อาจเป็นผู้ที่ชำนาญโลกออนไลน์ มีไหวพริบวิธีการลงทะเบียนได้ลำดับแรกๆ แต่อาจไม่ได้เดือดร้อนจริง หรือได้รับการเยียวยาจากทางรัฐบาลไปแล้ว แต่ใส่ข้อมูลที่เป็นเท็จ ขณะที่คนที่ได้รับความเดือดร้อนจริงๆ ไม่สามารถเข้าถึงเงินบริจาคของคณะก้าวหน้าได้
แถมการลงทะเบียนผ่านเฟซบุ๊กยังเป็น “ระบบเปิด” เหมือนขุมทรัพย์ให้กับ “มิจฉาชีพ” มานั่งล้วงชื่อ-เลขบัญชี ของผู้ที่เดือดร้อนไปหากินได้อีกทอด
ที่เคยวิพากษ์วิจารณ์ “บิ๊กตู่” ว่าเหตุใดจึงไม่ช่วยเหลือทุกคน วันนี้จึงน่าจะเข้าใจมากขึ้นว่า เมื่อเงินมีปริมาณจำกัด ไม่สามารถให้ทุกคนในประเทศได้ จะต้องให้คนที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดก่อน จึงเป็นเกณฑ์ที่ทำให้ต้องจัดกลุ่มอาชีพ และมาเก็บตกภายหลัง
ที่สำคัญความช่วยเหลือจากรัฐบาลต้อง “ไม่ซ้ำซ้อน” ซึ่งคนไทย 70 ล้านคน ต่างมีสิทธิ์ที่แตกต่างกันไป เพื่อไม่ให้เกิด “ความไม่ยุติธรรม” หรือความช่วยเหลือแบบกระจุกตัวขึ้น
การประกาศ “ให้ทุกคน” เป็นเหมือน “ฝนตกทั่วฟ้า” ก็จริง แต่ในทางปฏิบัติทำไม่ได้อย่างแน่นอน โดยเฉพาะคนเป็นรัฐบาล ที่ต้องระมัดระวังการกระทำผิด ทั้ง “ปฏิบัติโดยมิชอบ” หรือ “ละเว้น” ล้วนแล้วแต่เป็น “ข้อหาทุจริต” ที่ฝ่ายตรงข้ามจ้องเล่นงานอยู่แล้ว
หรืออย่างเงื่อนไข การนำเงินไปช่วยคนที่เดือดร้อนและลำบากกว่าก่อน ก็เป็นเกณฑ์ที่พอเข้าใจได้ แต่ใครจะเป็นผู้ประเมินระดับความลำบากที่ว่า
การที่คณะก้าวหน้าไล่แจกเงิน โดยให้สิทธิ์ “คนมาก่อน” เป็นเกณฑ์ที่หละหลวม และอาจไม่ได้ช่วยคนที่เดือดร้อนจริงๆ ได้ แต่เป็นเพียงอีเวนต์ที่จัดมาเพื่อจะดิสเครดิต “รัฐบาลประยุทธ์”
ทว่า ออกมาแย่กว่าที่คิด
ของเข้าตัว “ธนาธรขอทาน”
ถัดมาประเด็นโอนเงินที่เชื่องช้า “พรรณิการ์” อ้างว่า เป็นเพราะใช้ระบบโอนทั่วไป ไม่ได้เป็นรัฐบาล ซึ่งหากมองในมุมกลับกัน กลุ่มคนที่รัฐบาลต้องจ่ายเงินเยียวยามีมากกว่า 10 ล้านคน ในขณะที่คนที่มาขอบริจาคจากคณะก้าวหน้ามีปริมาณไม่สูงเท่า น่าจะทำได้รวดเร็วกว่า
การอ้างว่า ไม่ใช่รัฐบาล เป็นข้อแก้ตัวเพื่อให้ดูดี แต่จริงๆ แล้วมองอีกมุมทำให้เห็นว่า ศักยภาพของอดีตพรรคอนาคตใหม่ ที่อ้างว่า หน้าตาดี เรียนสูง มีความสามารถ เป็นเพียง “นามธรรม” แต่ไม่ใช่ “รูปธรรม”
เพราะขนาดงานไม่ใช่มาก ยังไม่สามารถกระทำได้ หากต้องมาบริหารประเทศในช่วงนี้ ต้องมาจ่ายเงินเยียวยาเอง ตัวเลขผู้เครียดและทำอัตวิบาตกรรมจะสูงกว่า “รัฐบาลประยุทธ์” หรือไม่
เป็นอีกเวทีที่สะท้อนความรู้ความสามารถ หรือ “กึ๋น” ของ “อดีตพรรคอนาคตใหม่” ได้เป็นอย่างดี
จุดที่สาม น่าสนใจ สถานะของ “คณะก้าวหน้า” ที่วันนี้ไม่ได้มี “พันธนาการ” ความเป็น “ผู้แทนราษฎร” แล้ว หากต้องการช่วยเหลือคนที่เดือดร้อนด้วยการแจก “เงินสด” หรือ “ข้าวของ” ย่อมกระทำได้ โดยไม่มีข้อจำกัดตามกฎหมายพรรคการเมือง ที่ห้ามให้เกินมูลค่า 3 พันบาท หรือ 1 แสนบาทในยามวิกฤต หรือหากบริจาคเกินก็ไม่ต้องกังวลว่าจะถูกนำไปคำนวณเป็นค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้งรอบหน้า
เพราะทุกคนโดนตัดสิทธิ์ทางการเมือง 10 ปี ไม่มีใครต้องกังวลไปถึงการเลือกตั้งครั้งหน้าอย่างแน่นอน
ถ้า “เอก-ป๊อก-ช่อ” ผู้ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง 10 ปี เป็น “ประชาชนเต็มขั้น” จะแจกสัก “ร้อยล้าน-พันล้าน” คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ก็ไม่กล้ายุ่ง แล้วก็ไม่มีสิทธิ์มาตัดสิทธิ์อะไรกันอีก
จริงอยู่กรณีการบริจาค หรือไม่บริจาคใดๆ ล้วนแล้วแต่เป็น “เรื่องส่วนบุคคล” ที่บังคับกันไม่ได้ หรือทำแล้วก็ไม่จำเป็นต้องโพนทะนาให้ใครรู้ก็ได้ แต่การมานั่งขอรับบริจาค ทั้งที่ตัวเองมี “ศักยภาพ” ก็กลายเป็น “ตลกร้าย” ไม่น้อย
โดยเฉพาะ “ธนาธร” ที่ตัวเองแสดงบัญชีรายการทรัพย์สินและหนี้สินเอาไว้ต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ว่ามีทรัพย์สินถึง 5 พันกว่าล้านบาท ไหนจะ “สมพร จึงรุ่งเรืองกิจ” มารดาตนเองที่ติด 1 ใน 20 ลำดับแรกเศรษฐีเมืองไทย ที่มีเงินกองเป็นภูเขาอีก
แต่ไม่มีการยืนยันใดๆว่า “เสี่ยทอน” ควักกระเป๋าเงินตัวเองออกมาบริจาคกี่มากน้อย ในการระดมทุน MAYDAY MAYDAY เราช่วยกัน ในขณะที่ป่าวประกาศเรียกร้องให้คนอื่นร่วมบริจาค
ที่สุดยอดเงิน 7.2 ล้านบาทเศษ ก็ดูไม่เยอะ หากดูจากระดับของ “ธนาธร” ผู้ที่เคยลั่นวาจากลางศาลรัฐบาลว่า “ผมไม่เดือดร้อนเรื่องเงิน” ที่หากควักเองสัก 10-20 ล้านบาท ขนหน้าแข้งยังไม่ล่วงเลย
หรืออย่างรายของ “สาวช่อ-พรรณิการ์” ที่ใช้บัญชีชื่อตัวเองในการรับบริจาคงานนี้แบบไม่กลัวภาษีปลายปี ก็เคยมีชื่อเป็นผู้บริจาคเงิน 1 ล้านบาทให้แก่พรรคอนาคตใหม่ ครั้งที่ยังมีสถานะเป็นพรรคการเมืองอยู่ ทั้งๆ ที่ทรัพย์สินของ “โฆษกช่อ” ที่ยื่นไว้กับ ป.ป.ช.นั้น ปรากฏทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 2,609,055.78 บาท และมีหนี้สินรวม 710,512 บาท โดยแจ้งว่ามีรายได้ต่อปี 1,365,990.84 บาท ที่มาจากเงินเดือน ส.ส. และมียอดเงินฝาก 4 บัญชีรวม 91,006.87 บาท ในตอนนั้น
จนถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่า “บริจาคเกินตัว” ให้กับพรรคต้นสังกัด แต่มาวันนี้กลับไม่มีการยืนยันว่า “อดีต ส.ส.ช่อ” ลงขัน MAYDAY MAYDAY ไปกี่มากน้อย
นำมาซึ่ง ประเด็นถัดมาที่ว่า การมาเที่ยวขอรับบริจาคยังเป็นการ “กลืนน้ำลายตัวเอง” หรือจะเรียกว่า “ว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง” ก็ไม่ผิดนัก เพราะก่อนหน้านี้ที่ “บิ๊กตู่” ประกาศขอรับความช่วยเหลือจากมหาเศรษฐี 20 อันดับแรกในประเทศไทย ก็ “คณะก้าวหน้า” และฝ่ายค้านนี่แหละที่ออกมาเรียงหน้าถล่ม
ช่วยกันดันแฮชแท็ก “รัฐบาลขอทาน” จนติดชาร์ตทวิตเตอร์อันดับหนึ่งในวันนั้น
แล้ววันนี้การที่ “ธนาธร” มาจัดคอนเสิร์ตขอรับบริจาค ซึ่งหว่านแหเปิดกว้างเลยว่าใครก็ได้ อย่างนี้จะเข้าข่ายจะไปติดแฮชแท็กอันดับหนึ่งในทวิตเตอร์ได้หรือไม่
เพียงแต่เปลี่ยนจาก “รัฐบาลขอทาน” มาเป็น “ธนาธรขอทาน” หรือ “คณะก้าวหน้าขอทาน”
เอาเป็นว่า ซีนนี้ให้ “ไม่ผ่าน” นอกจากมาช้า แล้วยังไม่ได้รับคำชม เพราะเจตนาคือ หวังผลทางการเมืองด้วยดิสเครดิตในสิ่งที่รัฐบาลเคยโดนคนก่นด่า
ตั้งใจให้คนเปรียบเทียบว่า พ่อของฟ้า อดีตแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี เจ๋งกว่า และเก่งกว่า แต่กลายเป็นว่า การออกมาแบบนี้ กลับยิ่งทำให้ “บิ๊กตู่” ดูมีกึ๋นมากกว่าขึ้นมาทันทีทันใด และเปลือยความสามารถตัวเองว่า ที่แท้มีแค่ไหน
…และเมื่อพิจารณาโดยรวมแล้ว คงเห็นภาพกันชัดๆ กระมังว่า เป้าหมายที่แท้จริงของ “คณะก้าวหน้า” ที่มี “ธนาธร” เป็นนายทุนและ “ปิยบุตร” เป็น “มาสเตอร์มายด์” นั้น อยู่ที่ตรงไหน.