1. โปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง “นุรักษ์” เป็นองคมนตรี ด้าน “ปิยบุตร” โพสต์เฟซบุ๊กส่อก้าวล่วงพระราชอำนาจ!
เมื่อวันที่ 4 พ.ค. เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศแต่งตั้งองคมนตรี ความว่า พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ประกาศว่า ตามที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งองคมนตรีตามประกาศ ลงวันที่ 2 ต.ค.2561 แล้วนั้น บัดนี้ ทรงพระราชดำริเห็นเป็นการสมควรแต่งตั้งองคมนตรีเพิ่มขึ้น อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 10 และมาตรา 11 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้ง นายนุรักษ์ มาประณีต เป็นองคมนตรี ทั้งนี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ 4 พฤษภาคม พุทธศักราช 2563 เป็นปีที่ 5 ในรัชกาลปัจจุบัน ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ประธานองคมนตรี
หลังราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่ประกาศแต่งตั้งนายนุรักษ์ มาประณีต เป็นองคมนตรี ปรากฏว่า นายปิยบุตร แสงกนกกุล แกนนำคณะก้าวหน้า และอดีตเลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ ได้โพสต์เฟซบุ๊กว่านายนุรักษ์มีผลงานอะไรบ้างเมื่อครั้งเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ โดยเจตนาเน้นไปที่การยุบพรรคของขั้วการเมืองฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลปัจจุบัน โดยระบุว่า
“วันนี้ (4 พฤษภาคม 2563) เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษาได้เผยแพร่ประกาศแต่งตั้ง นายนุรักษ์ มาประณีต เป็นองคมนตรี อนึ่ง นายนุรักษ์ มาประณีต เป็นตุลาการรัฐธรรมนูญยุบพรรคไทยรักไทย ตัดสิทธิกรรมการบริหารพรรค 111 คน เป็นเวลา 5 ปี เป็นสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ 2550 เป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยให้ สมัคร สุนทรเวช พ้นจากนายกรัฐมนตรี เป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ยุบพรรคพลังประชาชน พรรคชาติไทย พรรคมัชฌิมาธิปไตย พร้อมตัดสิทธิกรรมการบริหารพรรค รวม 109 คน เป็นเวลา 5 ปี"
“เป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ยกคำร้องคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ เป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 เรื่องที่มา ส.ว.ตกไป เป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยให้ ร่าง พ.ร.บ. เงินกู้ 2 ล้านล้าน ตกไป"
"เป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ สั่งให้การเลือกตั้ง 2 ก.พ. 2557 ไม่ชอบ เป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยให้ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร พ้นจากนายกรัฐมนตรี เป็นประธานศาลรัฐธรรมนูญ ยุบพรรคไทยรักษาชาติ และตัดสิทธิกรรมการบริหารพรรค 10 ปี เป็นประธานศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยให้ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ พ้นจากตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และล่าสุด...ผลงานสุดท้าย ก่อนพ้นจากตำแหน่งประธานศาลรัฐธรรมนูญ คือ #ยุบพรรคอนาคตใหม่ และตัดสิทธิกรรมการบริหารพรรค 10 ปี”
วันต่อมา 5 พ.ค. นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ได้กล่าวถึงโพสต์ข้อความของนายปิยบุตรว่า แม้โพสต์ของนายปิยบุตรจะไม่ได้วิพากษ์วิจารณ์มากไปกว่าความพยายามจะให้ข้อมูลเกี่ยวกับผลงานการวินิจฉัยในคดียุบพรรค และคดีทางการเมืองที่นายนุรักษ์มีส่วนร่วมในองค์คณะซึ่งมีผลกระทบในทางการเมืองสูง และสร้างความไม่พอใจให้แก่บุคคลในพรรคการเมืองบางฝ่ายมาตลอด แต่สิ่งที่นายปิยบุตรไม่ยอมพูดถึงหรืออธิบายให้สังคมรับรู้ไปในคราวเดียวกันก็คือ พฤติการณ์และการกระทำของนักการเมืองและพรรคการเมืองต่างๆ เหล่านั้น รวมทั้งพรรคอนาคตใหม่ด้วยนั้น เป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนกฎหมาย ขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่อย่างไรด้วย ซึ่งนายปิยบุตรเคยเป็นอาจารย์สอนกฎหมายรัฐธรรมนูญย่อมรู้ดีอยู่แล้วว่า พฤติการณ์และการกระทำใดที่เข้าข่ายต้องถูกยุบพรรคและหรือตัดสิทธิทางการเมืองตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติ อย่าแสร้งเขียนหรือตีตัวประเภทเอาดีเข้าตัวเอาชั่วให้คนอื่น เพราะในยุคสารสนเทศโซเชียลมีเดียเยี่ยงนี้ นักการเมืองทำอะไร คิดอะไร ชาวบ้านเข้ารู้ทันกันหมดแล้ว
นายศรีสุวรรณ กล่าวด้วยว่า “ที่สำคัญ การโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งองคมนตรีนั้น เป็นไปตามบทบัญญัติที่รัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 10 ประกอบมาตรา 11 บัญญัติไว้ทุกประการว่า ให้เป็นไปตามพระราชอัธยาศัยโดยชอบด้วยแล้ว ไม่ควรที่จะมีบุคคลใดไปก้าวล่วงพระราชอำนาจดังกล่าวของพระองค์ท่าน ให้ระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท ไม่เช่นนั้นอาจหมิ่นเหม่เข้าข่ายความผิดตามกฎหมายลักษณะอาญาเข้าไปอีก ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อผู้วิจารณ์หรือผู้ใดที่จะใช้กุศโลบายตีวัวกระทบคราดใดๆ ทั้งสิ้น”
ด้านนายวัชระ เพชรทอง อดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงโพสต์ของนายปิยบุตรเช่นกันว่า ไม่น่าเชื่อว่านายปิยบุตร ซึ่งเป็นถึงอาจารย์คณะนิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ สอนกฎหมายมหาชน จบการศึกษาสูงจากประเทศฝรั่งเศส แต่ก็ไม่ได้ทำให้เป็นคนมีจิตใจสูงเสมอไป การวิพากษ์วิจารณ์บุคคลที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นองคมนตรี ทำให้เกิดคำถามถึงจรรยาบรรณของความเป็นครูอาจารย์ และจรรยาบรรณของนักการเมืองผู้ที่อ้างว่ามีความคิดก้าวหน้าเลิศเลอ และต้องถามถึงเจตนาของนายปิยบุตรว่า ต้องการอะไร มีเจตนาพิเศษอะไรหรือไม่ และต้องการให้บุคคลที่ชื่นชอบศรัทธาตามแนวทางการเมืองของตนให้เข้าใจในกรณีการแต่งตั้งองคมนตรีนี้ไปในทิศทางใด เป็นบวกหรือเป็นลบกับประเทศชาติ เป็นการสร้างสรรค์สังคมหรือกัดเซาะสถาบันใดหรือไม่ รวมทั้งมีเจตนาซ่อนเร้นเป็นนัยยะทางการเมืองประการใด ทั้งที่จริงๆ แล้ว นายปิยบุตรควรมีจรรยาบรรณและมารยาททั้งทางวิชาการและการเมือง กอปรกับรัฐธรรมนูญแทบทุกฉบับก็เขียนไว้ชัดเจนแล้วว่าการแต่งตั้ง หรือให้พ้นจากตำแหน่งองคมนตรี เป็นไปตามพระราชอัธยาศัยขององค์พระมหากษัตริย์ เมื่อรัฐธรรมนูญบัญญัติเช่นนี้มาแต่โบราณ การที่นายปิยบุตรเขียนเฟซบุ๊กเหน็บแนมบุคคลที่ได้รับการแต่งตั้งตามรัฐธรรมนูญ เพื่อชักจูงจิตใจผู้หลงศรัทธาตนให้เกิดความคล้อยตามในจิตอคติเฉพาะตน จึงเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสมอย่างยิ่งที่บุคคลผู้เป็นอาจารย์ และผู้นำทางการเมืองจะกระทำเยี่ยงนี้
นายวัชระ กล่าวด้วยว่า "นายปิยบุตรอาจไม่ชอบใจผลงานของนายนุรักษ์ มาประณีต อดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญในบางเรื่อง เช่น ผลงานการยุบพรรคอนาคตใหม่และตัดสิทธิกรรมการบริหารพรรค 10 ปี ก็เป็นเพียงอคติส่วนตัว แต่การมากระแนะกระแหน เหน็บแนมบุคคลที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นองคมนตรี นับเป็นสิ่งที่ไม่พึงกระทำในสังคมไทย และเป็นตัวอย่างที่ไม่ดี ไม่เหมาะสมด้วยประการทั้งปวง จึงใคร่ขอให้บิดามารดา หรือญาติผู้ใหญ่ของนายปิยบุตร หากยังมีชีวิตอยู่ โปรดกรุณาช่วยสั่งสอนนายปิยบุตรให้สำนึกบุญคุณแผ่นดินเป็นการด่วนด้วย"
2.ตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่ในไทยยังต่ำสิบ ส่วนใหญ่พบในศูนย์กักกันและจากการตรวจเชิงรุก!
สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 ในไทย สัปดาห์ที่ผ่านมา เริ่มด้วยวันที่ 3 พ.ค. นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) แถลงว่า มีผู้ป่วยโควิด-19 รายใหม่ 3 ราย ไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม มีผู้ป่วยยืนยันสะสม 2,969 ราย รักษาหายเพิ่ม 7 ราย รักษาหายกลับบ้านรวม 2,739 ราย เสียชีวิตรวม 54 ราย ยังรักษาใน รพ. 176 ราย
ทั้งนี้ ผู้ป่วยรายใหม่ 3 ราย มาจาก 1.สัมผัสผู้ป่วยรายก่อนหน้า 2 ราย จาก กทม. เป็นชายวัย 45 ปี และหญิงวัย 51 ปี 2. สถานที่กักตัวของรัฐ 1 ราย เป็นชายวัย 24 ปี กลับมาจากมาเลเซีย
ส่วนที่มีสื่อรายงานว่า อาจมีผู้ป่วยยืนยันถึง 30-40 ราย ใน จ.ยะลานั้น นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า ศบค.ได้ไปสอบข้อเท็จจริง เบื้องต้นพบว่าเป็นการค้นหาผู้ป่วยเชิงรุกใน 8 อำเภอ จ.ยะลา ยอดตัวเลขทางการที่สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) ยะลา รายงาน คือ 311 คน ผลตรวจเบื้องต้นลบ 271 คน มีผลยืนยันเบื้องต้น 40 คน ถือว่ามากถึง 30.77% ซึ่งมากผิดปกติ ปกติที่ลงสแกนพื้นที่จะอยู่ที่ 2-3% หรือไม่เกิน 4-5% จึงต้องนำมาวิเคราะห์ โดยจะเข้าไปเก็บตัวอย่างใหม่อีกรอบ
วันต่อมา 4 พ.ค. มีผู้ป่วยโควิด-19 รายใหม่ 18 ราย ไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม โดยผู้ป่วยรายใหม่มาจากคนต่างด้าวเข้าเมืองผิดกฎหมายที่อยู่ในศูนย์กักกัน อ.สะเดา จ.สงขลา สำหรับข้อสงสัยการตรวจเชิงรุกที่ จ.ยะลา ที่เจอผู้สงสัยป่วยยืนยัน 40 รายและต้องตรวจสอบซ้ำนั้น นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า ที่ผ่านมายะลาจะส่งตรวจแล็บศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ จ.สงขลา ล่าสุด รพ.ศูนย์ยะลาเพิ่งพัฒนาแล็บขึ้นในช่วง 2 สัปดาห์ ซึ่งจะมีแล็บศูนย์วิทย์สงขลาเป็นพี่เลี้ยงในการดูแลมาตรฐาน ซึ่งการตรวจทั้ง 40 คนนี้ได้ส่งตรวจที่แล็บ รพ.ศูนย์ยะลา แต่ข้อมูลไม่เป็นทางการนั้นออกไปก่อน ซึ่งข้อมูลนี้ต้องตรวจสอบกับศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์สงขลา โดยผลตรวจสอบเบื้องต้นจากศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์สงขลายืนยันว่า ไม่พบเลยทั้ง 40 ราย ถือว่าตรงกันข้ามกัน กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เห็นว่าตรวจแค่ 2 แล็บไม่พอ จะต้องส่งแล็บส่วนกลาง คือ แล็บกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์
วันต่อมา 5 พ.ค. มีผู้ป่วยโควิด-19 รายใหม่แค่ 1 ราย ไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม สำหรับผู้ป่วยรายใหม่ 1 ราย เป็นผู้ป่วยชายไทย อายุ 45 ปี มีโรคประจำตัว คือ เบาหวาน ภูมิลำเนาอยู่ชายแดนใต้ จ.นราธิวาส สำหรับผลการค้นหาเชิงรุก 40 รายที่ จ.ยะลา ที่ต้องตรวจเพิ่มเป็นครั้งที่ 3 กับแล็บกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์นั้น นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า ขอให้รอก่อน เพราะต้องมีการเก็บตัวอย่างทบทวนกระบวนการทั้งหมด
วันต่อมา 6 พ.ค. มีผู้ป่วยโรคโควิด-19 รายใหม่ 1 ราย มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม 1 ราย สำหรับผู้ป่วยรายใหม่ 1 ราย เป็นหญิง อายุ 27 ปี ภูมิลำเนาอยู่ จ.บุรีรัมย์ เป็นพนักงานนวดกลับมาจากประเทศรัสเซีย ส่วนผู้เสียชีวิตเป็นชายชาวออสเตรเลีย อายุ 69 ปี มีโรคหอบหืด อาชีพผู้จัดการโรงแรม จ.พังงา
นพ.ทวีศิลป์ เผยถึงผลตรวจเชิงรุกที่พบผู้สงสัยป่วยที่ จ.ยะลา 40 ราย และต้องมีการตรวจกับแล็บซ้ำ 3 ครั้งว่า "เบื้องต้นได้รับรายงานจากกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) โดยกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ พบว่า ตัวเลขไม่พบผู้ป่วยยืนยันเลย รายละเอียดเมื่อไม่เป็นผลบวก การยืนยันผลลบจะเป็นหน้าที่ สธ.จะมีการแถลงข่าวลงในรายละเอียด โดยจะเปิดเผยข้อมูลทั้งหมดและแสดงความมั่นใจในระบบที่ทำอยู่ เพื่อให้รับทราบทุกกระบวนการและจะพัฒนาให้ดียิ่งขึ้นเรื่อยๆ”
วันต่อมา 7 พ.ค. มีผู้ป่วยรายใหม่ 3 ราย ไม่มีผู้เสียชีวิต สำหรับผู้ป่วยรายใหม่ รายแรกเป็นหญิงไทย อายุ 59 ปี อาชีพแม่บ้าน มาจากการค้นหาเชิงรุกใน จ.ยะลา โดยสัมผัสผู้ป่วยยืนยันก่อนหน้านี้ที่กลับมาจากมาเลเซีย ส่วนอีก 2 ราย เป็นชายไทย อายุ 46 ปี กับชายไทยอายุ 51 ปี อาชีพรับจ้าง เดินทางกลับมาจากคาซัคสถานเมื่อวันที่ 2 พ.ค. และอยู่ในสถานกักตัวของรัฐ โดยมีผู้โดยสารในเครื่องบินลำเดียวกัน 55 คน ขณะนี้อยู่ในการดูแลทั้งหมด
นพ.ทวีศิลป์กล่าวว่า ในที่ประชุม ศบค.ชุดใหญ่ เมื่อวันที่ 7 พ.ค. ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะ ผอ.ศบค.เป็นประธาน เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ได้พูดไทม์ไลน์เกี่ยวกับมาตรการผ่อนปรนระยะที่ 2 โดยในช่วงวันที่ 8-12 พ.ค.จะเป็นการรับฟังความคิดเห็น ดูชุดข้อมูล สถิติ สถานการณ์ และความเห็นต่างๆ จากนั้นวันที่ 13 พ.ค.จะมีการซักซ้อมความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรการ วันที่ 14 พ.ค.จะมีการยกร่างมาตรการผ่อนปรนระยะที่ 2 เสนอนายกฯ ถ้าไม่มีเหตุการณ์อะไร ตัวเลขผู้ป่วยรายใหม่ไม่ทะลุขึ้นแบบผิดปกติ ในวันที่ 17 พ.ค.จะเริ่มออกมาตรการผ่อนปรนระยะที่ 2 แต่กว่าจะถึงวันที่ 17 พ.ค. เราต้องช่วยกัน เพื่อให้อีก 10 วันข้างหน้า เราจะได้เข้าสู่มาตรการระยะที่ 2 จะเป็นการผ่อนปรนกิจการขนาดใหญ่ และกิจการที่มีความสำคัญต่อการดำรงชีวิต
วันต่อมา 8 พ.ค. มีผู้ป่วยโรคโควิด-19 รายใหม่ 8 ราย ไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม สำหรับผู้ป่วยรายใหม่ไม่มีการติดจากผู้สัมผัสในคนไทยกันเอง โดยการติดครั้งนี้แบ่งเป็น 1.การค้นหาเชิงรุกและค้นหาผู้ติดเชื้อในชุมชน 3 ราย ที่ อ.บันนังสตา จ.ยะลา มีประวัติสัมผัสกับผู้ป่วยยืนยันก่อนหน้านี้ที่กลับมาจากมาเลเซีย และ 2.จากศูนย์กักกันคนต่างด้าวเข้าเมืองผิดกฎหมาย อ.สะเดา จ.สงขลา 5 ราย
ล่าสุด 9 พ.ค. นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค. แถลงว่า มีผู้ป่วยโรคโควิด-19 รายใหม่ 4 ราย มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม 1 ราย ยอดผู้ป่วยสะสมรวม 3,004 ราย รักษาหายกลับบ้าน 2,787 ราย ยังรักษาอยู่ในโรงพยาบาล 161 ราย ยอดผู้เสียชีวิตสะสมอยู่ที่ 56 ราย สำหรับผู้ป่วยรายใหม่ 4 ราย แบ่งเป็น 1.ผู้ป่วยจากการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยยืนยันก่อนหน้านี้ 1 ราย 2.ผู้ป่วยมีประวัติเดินทางไป/ทำงาน ในสถานที่ชุมชน 1 ราย 3.การค้นหาเชิงรุก จ.ยะลา เป็นผู้สัมผัสผู้ป่วยยืนยันจากมาเลเซีย 2 ราย
ส่วนผู้เสียชีวิต 1 ราย เป็นชายไทย อายุ 68 ปี เริ่มป่วย มีไข้ ปวดกล้ามเนื้อ หายใจลำบาก เข้ารับการตรวจที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ตรวจพบเชื้อโควิด-19 ในวันที่ 2 มี.ค. ต่อมาผู้ป่วยมีภาวะแทรกซ้อนติดเชื้อในกระแสเลือด ไตวาย เสียชีวิตวันที่ 9 พ.ค.
3.กฟภ.-กฟน.ยันไม่มีการตัดไฟช่วงโควิดระบาด จ่ายค่าไฟหลัง 8-13 พ.ค. รับส่วนลดทันทีไม่ต้องรอหักคืน!
จากกรณีที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีมติเมื่อวันที่ 21 เม.ย. กำหนดมาตรการช่วยเหลือค่าไฟฟ้าช่วงไวรัสโควิด-19 แพร่ระบาด สำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทบ้านที่อยู่อาศัย ซึ่งครอบคลุมผู้ใช้ไฟ 22 ล้านราย แบ่งเป็นการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) หรือ PEA 18.5 ล้านราย และการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) หรือ MEA 3.5 ล้านราย ระยะเวลา 3 เดือน คือ มี.ค.-พ.ค. 63 โดยมีเงื่อนไข คือ 1.ใช้ไฟน้อยกว่าหน่วยเดือน ก.พ. 63 จ่ายเท่าหน่วยตามการใช้จริง 2.ไม่เกิน 800 หน่วย จ่ายเท่าหน่วยเดือน ก.พ. 3. เกิน 800 หน่วยแต่ไม่เกิน 3,000 หน่วย จ่ายเท่าเดือน ก.พ.+50% ของหน่วยส่วนเกินจากเดือน ก.พ. 63 และ 4. เกิน 3,000 หน่วย จ่ายเท่าหน่วย ก.พ.+70% ของหน่วยส่วนเกินจากเดือน ก.พ. 63 นั้น
นายวิโรจน์ บัวคลี่ ผู้ช่วยผู้ว่าการและในฐานะโฆษก PEA กล่าวเมื่อวันที่ 7 พ.ค.ว่า ขณะนี้ PEA ได้ปรับระบบบิลใหม่ที่จะมีสิทธิส่วนลดในบิลทันทีตามมาตรการดังกล่าว โดยเริ่มวันที่ 8 พ.ค. ดังนั้น ประชาชนที่ยังไม่ได้ชำระค่าไฟฟ้า หากจ่ายตั้งแต่วันที่ 8 พ.ค.เป็นต้นไปจะได้ส่วนลดค่าไฟทันที แต่กรณีบิลค่าไฟ มี.ค.-เม.ย. 63 ที่ออกไปก่อนและประชาชนได้ชำระค่าไฟฟ้าดังกล่าวไปแล้วซึ่งยังไม่ได้สิทธิส่วนลด PEA จะคืนค่าไฟฟ้าโดยหักคืนเป็นส่วนลดค่าไฟในเดือน มิ.ย.63 เป็นต้นไปจนกว่าจะครบตามยอดเงินที่ได้ชำระแล้ว
นายวิโรจน์ กล่าวด้วยว่า “ผู้ใช้ไฟที่ยังไม่ได้ชำระค่าไฟฟ้าเดือน เม.ย.63 สามารถชำระได้ตั้งแต่วันที่ 8 พ.ค. เพราะระบบได้คำนวณส่วนลดให้แล้ว แม้ในตัวบิลค่าไฟจะไม่เห็นส่วนลดเดือน มี.ค.-เม.ย. แต่ระบบจะเริ่มเห็นเมื่อไปจ่าย ไม่ว่าจะเป็นหน้าเคาน์เตอร์ PEA จ่ายที่ร้านค้านสะดวกซื้อ ผู้รับจ่ายบิลจะเห็นส่วนลดทันทีก็จะไม่ต้องจ่ายเงินเต็มตามบิล แต่จะได้ส่วนลดเลย และบิลค่าไฟเดือน พ.ค. 63 จะเริ่มเห็นส่วนลดที่สมบูรณ์แล้ว เพราะการทำระบบใหม่รองรับต้องอาศัยเวลา ที่ผ่านมายังทำไม่ทัน”
ทั้งนี้ ประชาชนสามารถตรวจสอบค่าไฟฟ้าผ่าน www.pea.co.th, PEA Smart Plus, 1129 PEA Call Center และสำนักงาน PEA ในพื้นที่ ส่วนผู้ใช้ไฟฟ้าที่ชำระค่าไฟผ่านบัญชีธนาคาร หรือบัตรเครดิต ระบบจะตัดบัญชี/บัตรเครดิตนั้นได้ให้ธนาคารชะลอการหักเงินและจะเริ่มได้ในวันที่ 11 พ.ค.นี้ ด้วยยอดเงินที่ปรับปรุงตามมาตรการแล้ว อย่างไรก็ตาม PEA ได้กำหนดให้สามารถค้างชำระค่าไฟฟ้าได้โดยไม่ตัดไฟในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 จนกว่าการแพร่ระบาดจะจบลง “อยากให้ประชาชนศึกษาบิลค่าไฟให้เน้นการดูประเภทผู้ใช้ไฟเป็นหลัก เพราะจะง่ายกว่าไปยึดที่ขนาดมิเตอร์ซึ่งมีประเภท 111X คือ ใช้ไฟฟรี 112X ใช้ไฟเกิน 150 หน่วยต่อเดือน และ 113 ประเภท TOU”
ด้านนายจาตุรงค์ สุริยาศศิน ผู้ช่วยผู้ว่าการการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) หรือ MEA ในฐานะโฆษก MEA กล่าวว่า ตั้งแต่วันที่ 12 พ.ค. สามารถนำใบแจ้งค่าไฟฟ้าเดิมที่ยังไม่ได้ระบุส่วนลดการใช้ไฟฟ้าตามมาตรการรัฐ ไปชำระค่าไฟฟ้า โดยจะได้รับสิทธิส่วนลดโดยอัตโนมัติ ซึ่งจะรวมถึงการหักชำระค่าไฟผ่านบัญชีธนาคาร หรือบัตรเครดิต ส่วนกรณีที่ได้ชำระค่าไฟฟ้าไปแล้วโดยที่ยังไม่ได้สิทธิส่วนลด MEA จะคืนเงินโดยหักลดค่าไฟฟ้าเดือน มิ.ย.2563 เป็นต้นไป ทั้งนี้ สามารถตรวจสอบค่าไฟฟ้าและสิทธิส่วนลดการใช้ไฟฟ้าตามมาตรการนี้ได้ที่ www.mea.or.th ตั้งแต่วันที่ 12 พ.ค. เป็นต้นไป
นายจาตุรงค์ กล่าวอีกว่า “MEA จะเป็นผู้ใช้ไฟใน 3 จังหวัด คือ กทม. นนทบุรี และสมุทรปราการ โดยหน่วยเดือน มี.ค.คือ การจดหน่วยวันที่ 14 มี.ค.-13 เม.ย. 63 หน่วยเดือน เม.ย.จะเป็นช่วง 14 เม.ย.-13 พ.ค. โดยช่วงโควิด-19 MEA ก็ไม่มีนโยบายตัดไฟเช่นกันหากค้างชำระจนกว่าจนกว่าโควิด-19 จะจบลง หากสงสัยสามารถโทร 1130 Facebook : การไฟฟ้านครหลวง MEA ส่วนการลดค่าไฟฟ้า 3% ให้แก่ผู้ใช้ไฟฟ้าทุกประเภทตามมติ ครม.17 มี.ค. 63 เริ่มตั้งแต่ เม.ย.-มิ.ย. 63 ดังนั้นจะเริ่มในบิลเดือน เม.ย.เป็นต้นไป ดังนั้น บิล เม.ย. และ พ.ค.จะได้ส่วนลด 2 เด้งที่จะได้ส่วนลดทันที”
4.ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้จำคุก “เสก โลโซ” 2 ปี 18 เดือน ไม่รอลงอาญา คดีมีปืน-เสพยา-ขัดขืนการจับกุม!
เมื่อวันที่ 7 พ.ค. ศาลอาญามีนบุรี ได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีที่พนักงานอัยการสำนักงานคดีอาญา 12 (มีนบุรี) เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายเสกสรรค์ ศุขพิมาย หรือเสก โลโซ ศิลปินร็อกเกอร์ชื่อดัง อายุ 46 ปี เป็นจำเลย ในความผิดฐานต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติตามหน้าที่ฯ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 138, เสพยาเสพติด และมีอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ตาม พ.ร.บ.อาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืน พ.ศ.2490
จากกรณีเมื่อวันที่ 31 ธ.ค.2560 จำเลยได้มีอาวุธปืนพกออโตเมติก ขนาด 9 มม.1 กระบอก กระสุนปืนออโตเมติก 6 นัด และจำเลยเสพเมทเอมเฟตามีน กับเสพ 3, 4 เมทิลลีนไดออกซีเมทเอมเฟตามีน อันเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 1 เข้าสู่ร่างกาย ซึ่งจำนวนและน้ำหนักเท่าใดไม่ปรากฏชัด โดยจำเลยยังต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานฯ ด้วย เหตุเกิดขณะเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.คันนายาว ได้เตรียมเข้าจับกุมเสก โลโซ ที่บ้านพัก “ศุขพิมาย” ภายในหมู่บ้านนันทวัน ย่านสุขาภิบาล 5 กทม. ตามหมายจับศาลจังหวัดนครศรีธรรมราช ข้อหากระทำผิด พ.ร.บ.อาวุธปืน โดยมีอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต, พาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะ โดยไม่มีเหตุอันสมควรและไม่ได้รับอนุญาตให้มีอาวุธปืนติดตัว และยิงปืนซึ่งใช้ดินระเบิดโดยใช่เหตุในเมือง หมู่บ้าน หรือที่ชุมนุมชน ซึ่งในชั้นพิจารณา จำเลยให้การรับสารภาพข้อหาตาม พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ
คดีนี้ ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 25 ต.ค. 2561 ว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดทั้ง 3 ข้อหา ให้จำคุก ตาม พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ 1 ปี รับสารภาพลดโทษเหลือ 6 เดือน, ฐานต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานที่ปฏิบัติหน้าที่โดยขู่เข็ญว่าจะประทุษร้ายโดยมีอาวุธปืน ให้จำคุก 1 ปี 6 เดือน และฐานเสพยาฯ จำคุกอีก 6 เดือน รวมจำคุกคดีนี้ทั้งสิ้น เป็น 1 ปี 18 เดือน และให้บวกโทษของศาลอาญาคดีทำร้ายร่างกายสาวคนสนิทอดีตภรรยาอีก 1 ปี 3 เดือน เป็นจำคุกจำเลยทั้งสิ้น 2 ปี 21 เดือน โดยศาลไม่รอการลงโทษ แม้ว่าจำเลยอ้างป่วยเป็นโรคไบโพลาร์ขณะกระทำผิด เนื่องจากพฤติการณ์การสื่อสารกับเจ้าหน้าที่ พบว่าจำเลยรู้ผิดชอบดี จึงไม่อาจอ้างภาวะป่วยดังกล่าวได้ การกระทำของจำเลยไม่เกรงกลัวต่อกฎหมาย ศาลเคยให้โอกาสกลับตัวเป็นคนดีในการรอลงอาญาคดีอื่นไว้แล้ว แต่จำเลยยังมากระทำผิดซ้ำในช่วงเวลารอลงอาญาอีก จึงไม่สมควรให้รอลงอาญา และให้นับโทษจำเลยต่อจากคดี พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ ของศาลจังหวัดนครศรีธรรมราชด้วย
ทั้งนี้ ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือแล้ว พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดฐานมีอาวุธปืนซึ่งเป็นของผู้อื่นที่ได้รับใบอนุญาตให้มีและใช้ตามกฎหมายและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต จำคุก 5 เดือน ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 คงจำคุก 3 เดือน เมื่อรวมกับโทษฐานอื่นตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น เป็นจำคุก 1 ปี 15 เดือน บวกโทษจำคุก 1 ปี 3 เดือนในคดีทำร้ายร่างกายสาวคนสนิทอดีตภรรยา เป็นจำคุก 2 ปี 18 เดือน ยกคำขอให้นับโทษต่อจากโทษของจำเลยในคดีของศาลจังหวัดนครศรีธรรมราช นอกจากที่แก้ ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
หลังฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ จำเลยได้ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์ขอปล่อยตัวชั่วคราว มูลค่า 6 แสนบาท ศาลอาญามีนบุรีพิจารณาแล้ว เห็นควรอนุญาตส่งคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวให้ศาลฎีกาพิจารณาประกัน ซึ่งในที่สุด ศาลได้อนุญาตให้ประกันตัว โดยไม่กำหนดเงื่อนไขใดๆ
อนึ่ง สำหรับคดีที่ศาลจังหวัดนครศรีธรรมราช เกิดขึ้นเมื่อเวลา 01.00 น. วันที่ 29 ธ.ค. 2560 เสก โลโซ ได้ยิงปืน 10 นัดภายในงานฉลองสมโภชและครบรอบ 250 ปี สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ในบริเวณวัดเขาขุนพนม ต.บ้านเกาะ อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช โดยอ้างว่าเป็นการบวงสรวงสมเด็จพระเจ้าตากสิน แต่ในวันที่ 31 ธ.ค. 2560 ขณะเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.คันนายาว จะเข้าจับกุม เสกได้ต่อสู้ขัดขวาง ข่มขู่ ซึ่งขณะนั้นก็มีอาวุธปืนไว้ในครอบครองด้วย จนกลายเป็นข่าวดังช่วงปีใหม่ กระทั่งถูกจับกุมแล้วจึงส่งตัวพนักงานสอบสวน สน.คันนายาว ดำเนินคดี ซึ่งเสกก็ได้ประกันตัวด้วยหลักทรัพย์เงินสด 150,000 บาท พร้อมกำหนดเงื่อนไขห้ามเดินทางออกนอกประเทศ เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากศาล ส่วนเหตุการณ์ที่ จ.นครศรีธรรมราช ได้มีการยื่นฟ้องคดีไปแล้ว ศาลมีคำพิพากษาแล้วเมื่อวันที่ 15 มี.ค. 2561 ให้จำคุก 5 วันโดยไม่รอลงอาญา พร้อมปรับ 2,000 บาท
5.ศาลพิพากษาประหาร 2 อดีตทหาร-1 อดีต ตร. ร่วมอดีต ผกก.บ้านโป่ง อุ้มฆ่าสาวทอมฝังดินโบกปูนเมืองกาญจน์!
เมื่อวันที่ 7 พ.ค. ศาลอาญาตลิ่งชันได้อ่านคำพิพากษาคดี ที่พนักงานอัยการ เป็นโจทก์ และนางสมพิศ ตรัยจันแดง กับนายบุญชู พลไธสง เป็นโจทก์ร่วมยื่นฟ้อง ร.ท.ชัยยุทธ หรือจบ เบ็ญจชาติ อายุ 44 ปี อดีตทหารสังกัด พล.ร.9, ด.ต.สามารถ หรือจ่ามาศ แสงสิน อายุ 51 ปี อดีตตำรวจ สภ.เมืองกาญจนบุรี, จ.ส.อ.ภาณุเมศวร์ หรือจิ๋ว มีลา อายุ 35 ปี อดีตทหารสังกัดกองพันทหารช่างแห่งหนึ่ง เป็นจำเลย ในความผิดฐานฆ่าผู้อื่นได้ไตร่ตรองไว้ก่อน เพื่อปกปิดความผิดของตน หรือเพื่อหลีกเลี่ยงให้พ้นอาญาในความผิดที่ตนได้กระทำไว้ และลอบฝัง ซ่อนเร้น ย้าย หรือทำลายศพ
จากกรณีที่จำเลยทั้งสามได้ร่วมกับกลุ่มของ พ.ต.อ.อำนวย พงษ์สวัสดิ์ อายุ 61 ปี อดีต ผกก.สภ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี ที่อัยการสำนักงานคดีอาญาธนบุรี 5 ยื่นฟ้องฐานร่วมกันกระทำผิด ร่วมกันใช้กำลังเอาตัว น.ส.สุภัคสรณ์ พลไธสง วัย 28 ปี สาวทอม บุตรของนางสมพิศและนายบุญชู โจทก์ร่วม ขึ้นรถกระบะไปกักขังหน่วงเหนี่ยวไว้ที่ จ.กาญจนบุรี และบังคับให้ น.ส.สุภัคสรณ์ เลิกมีความสัมพันธ์ฉันท์ชู้สาวและทางการเงินกับ น.ส.กรรณิกา หรือดาว นักร้องสาวคนสนิทของ พ.ต.อ.อำนวย อดีต ผกก.สภ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี
จากนั้น พวกจำเลยได้ทำให้ น.ส.สุภัคสรณ์ ขาดอากาศหายใจ จนถึงแก่ความตาย แล้วนำศพในสภาพเปลือยกายไปใส่หลุมที่ขุดเตรียมไว้ในรีสอร์ทแห่งหนึ่ง ใน จ.กาญจนบุรี แล้วกลบดินชั้นหนึ่งก่อนวางตะแกรงเหล็กทับและเทปูนซีเมนต์ฝังกลบอีกชั้นหนึ่งเพื่อปิดบังการตาย กระทั่งวันที่ 11 ม.ค.60 เจ้าหน้าที่จึงตรวจพบศพ
ทั้งนี้ ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานที่โจทก์-จำเลย นำสืบหักล้างกันแล้ว เห็นว่า จำเลยที่ 1-3 มีความผิดตามฟ้อง ให้ประหารชีวิตสถานเดียว และให้จำเลยที่ 1-3 ร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ญาติผู้เสียชีวิต ซึ่งเป็นโจทก์ด้วย เป็นเงิน 1,674,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของเงินต้นดังกล่าว นับแต่วันกระทำละเมิดเมื่อวันที่ 11 ม.ค.2560 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
สำหรับคำขอของอัยการโจทก์ ที่ให้นับโทษของ ด.ต.สามารถ หรือจ่ามาศ จำเลยที่ 2 ต่อจากโทษจำคุกในคดีอาญาหมายเลขแดง 6136/2556, คดีอาญาหมายเลขแดง 2724/2556, คดีอาญาหมายเลขแดง ย.1772/2562 ของศาลจังหวัดกาญจนบุรีนั้น เมื่อคดีนี้ศาลอาญาตลิ่งชันพิพากษาลงโทษประหารชีวิตจำเลยที่ 2 แล้ว จึงไม่อาจนับโทษจำเลยที่ 2 ต่อได้อีก จึงให้ยกคำร้อง
หลังฟังคำพิพากษา จำเลยไม่มีญาติยื่นคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวแต่อย่างใด เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์จึงควบคุมตัวจำเลยทั้งสาม ไปคุมขังยังเรือนจำบางขวางต่อไป
สำหรับกลุ่ม พ.ต.อ.อำนวย พงษ์สวัสดิ์ อายุ 61 ปี อดีต ผกก.สภ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี ที่อัยการยื่นฟ้อง 5 คนในสำนวนแรกนั้น ขณะนี้คดีอยู่ระหว่างการอุทธรณ์ โดยศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 31 ก.ค.62 ให้จำคุกนายนิวัฒน์ หรือโจ๊ก สวยทอง จำเลยที่ 1, นายภูมิทัศน์ หรือ อุ๋ม พิบูรณ์สวัสดิ์ จำเลยที่ 2 คนละ 3 กระทงโดยเมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้ว คงจำคุกจำเลยที่ 1-2 ไว้ตลอดชีวิตสถานเดียว ส่วน พ.ต.อ.อำนวย พงษ์สวัสดิ์ อดีต ผกก.สภ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี จำเลยที่ 4 ให้จำคุก 15 ปี นายสนองหรือกำนันหนอง สมสิทธิ์ กำนัน ต.ลาดบัวขาว อ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี จำเลยที่ 5 ให้จำคุก 2 กระทงรวม 10 ปี
โดยให้จำเลยที่ 1,2,4,5 ร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ญาติของผู้เสียชีวิต โจทก์ร่วมที่ 1 ด้วยเป็นเงิน 2,790,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปีของเงินต้นนั้น นับตั้งแต่วันที่ 11 ม.ค.2560 ซึ่งเป็นวันกระทำละเมิดเป็นต้นไป ทั้งนี้ ระหว่างสู้คดีในชั้นอุทธรณ์ จำเลยทั้งหมดไม่ได้ยื่นประกันตัว จึงถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำคลองเปรม และเรือนจำบางขวาง
สำหรับ น.ส.กรรณิกา หรือดาว กรุมรัมย์ นักร้องสาวคนสนิทของ พ.ต.อ.อำนวย จำเลยที่ 3 ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้ยกฟ้อง เนื่องจากพยานหลักฐานโจทก์ยังไม่เพียงพอให้รับฟังได้ว่า จำเลยที่ 3 ได้ร่วมกระทำผิดกับจำเลยดังกล่าว