"โสภณ องค์การณ์"
หลังจาก 3 เดือนรัฐบาลจะมีอะไรเยียวยาประชาชนที่ตกงาน ขาดรายได้ มีชีวิตอย่างลำบาก? นั่นเป็นคำถามซึ่งรัฐบาลน่าจะมีแผนสำรองไว้ ถ้าการระบาดของโคโรนาไวรัสยังไม่จบสิ้น ซึ่งมีทางเป็นไปได้ว่าจะอยู่ในสภาพอย่างนั้น และจะอยู่อีกนาน
ผู้เชี่ยวชาญได้เตือนว่าเชื้อตัวนี้จะมาเยือน กลายพันธุ์ วัคซีนที่กำลังคิดค้นทดสอบอยู่อาจต้องปรับเปลี่ยนด้วยเช่นกัน แต่เชื้อจะไม่หายขาดเพราะประเทศต่างๆ ผ่อนคลายมาตรการเข้ม ทำให้ระบาดและลดไม่พร้อมกัน คนต้องปรับตัวให้อยู่รอด
หลายประเทศ รวมทั้งบ้านเรายอมปลดล็อกบางส่วน มีมาตรการผ่อนปรนเพื่อให้ภาคธุรกิจ การดำรงชีพเดินหน้าไปได้ ไม่ถึงกับหยุดนิ่ง ต้องรอดูว่าจะมีการระบาดระลอก 2 หรือไม่ เพราะที่ผ่านมามีเหตุของการเลิกเอาใจใส่ ไม่ระมัดระวัง
เช่นการหยุดยาวช่วงที่ผ่านมา คนส่วนหนึ่งพยายามดิ้นรนเดินทางกลับภูมิลำเนา ไม่อยากลำบากในพื้นที่เดิมเพราะตกงาน ขาดรายได้ ต้องเสียค่าเช่าที่พัก ไม่มีโอกาสสร้างรายได้ ส่วนหนึ่งปลดปล่อยความกดดันหลังจากทนเข้มงวดตัวเอง
จากนี้ไป รอดูว่าการระบาดจะมีระลอกใหม่หรือไม่ ถ้าไม่มี ถือว่าเมืองไทยโชคดี และมีโอกาสได้เดินหน้าฟื้นฟูเศรษฐกิจ แต่จะก้าวกระโดดเหมือนเดิมไม่ได้เพราะธุรกิจใหญ่หรือเล็กต่างเกือบสิ้นสภาพ ทุนใหญ่แบกหนี้มหาศาลยังเสี่ยงล้มทั้งยืน
บริษัทไหนแบกหนี้ประเภทตราสาร หุ้นกู้ หรือหนี้อื่นๆ ที่ต้องชำระคืนระดับหมื่นๆ ล้านบาท คงจะยากในการหาเงินมาได้ หนทางเดียวคือการออกหุ้นกู้ ตราสารหนี้รอบใหม่ ผู้ที่จะรับซื้อได้ก็คือกองทุน และโครงการของธนาคารแห่งประเทศไทย
มหาเศรษฐีหลายหมื่นล้าน แสนล้านบาทนั้นเป็นความมั่งคั่งส่วนตัว แต่ภาคธุรกิจโดยเฉพาะรายใหญ่ก็แบกหนี้หลังแอ่นรวมหลายแสนล้านบาท คงไม่กล้าเอาทรัพย์สินส่วนตัวมาลงด้วยและนั่นจะเป็นข้อพิสูจน์ว่าถ้าเจ้าของไม่เอา ใครจะเสี่ยง
ตัวเลขคนตกงานน่าจะ 2-3 ล้านคน ส่วนหนึ่งอาจไม่มีโอกาสได้งานคืน เช่นกิจการเกี่ยวกับการท่องเที่ยว ธุรกิจการบิน โรงแรม ร้านขายสินค้า ร้านอาหาร ฯลฯ ด้วยข้อจำกัด ทุกกิจการต้องลดขนาดให้อยู่รอด เป็น New Normal ที่ต้องรับสภาพ
เมืองไทยยังมีโอกาสเสมอ ยิ่งเป็นประเทศที่สามารถจัดการวิกฤตการระบาดได้เด่นชัดกว่าชาติอื่นๆ จะเป็นจุดแข็งสำหรับดึงดูดการลงทุน ขึ้นอยู่กับว่าคณะผู้บริหารประเทศมีความฉลาด มองการณ์ไกล ไม่เห่อบ้าตัวเลขจีดีพี มากหรือไม่
เพราะเห็นแล้วว่าการบริหารจัดการเศรษฐกิจตามแนวทุนนิยมปนสามานย์อย่างที่ผ่านมาทำอะไรไม่ได้เมื่อเผชิญวิกฤต ต้องร่ำร้องเหมือนคนสำนึกบาป คิดถึงแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง เกษตรอินทรีย์ ศาสตร์พระราชา รู้จักเจียมตัว ไม่เห่อบ้า
เจ็บตัวมาในยุค “เสือตัวที่ 5” “NICs” เสือกลายเป็นแมวป่วยติดเชื้อหนี้บานสถาบันการเงินล่มแทบจะขายประเทศ ยังไม่จำ มาเริ่มมุ่ง อีอีซี จีดีพี จนเดี้ยงขณะนี้ คงจำบทเรียนเจ็บปวดที่ทำให้คนทั้งประเทศทนแบกหนี้เก่าหนี้ใหม่เรื้อรังทุกวันนี้
ไทยมีศักยภาพ ความอุดมสมบูรณ์ด้านอาหาร ทรัพยากรต่างๆ สารพัด ไม่ต้องนำเข้าสินค้าอาหารก็อยู่ได้ มีเหลือสำหรับส่งออก โดยเฉพาะข้าว จุดเสียแก้ไขไม่ได้คือผู้กุมอำนาจรัฐทุกยุคมีพวกกังฉินกินเมือง อยู่ที่โกงมากหรือน้อยเท่านั้น
ถ้าเมืองไทยหยุดโกง 2 ปี ใช้งบประมาณ ทรัพยากรอย่างเต็มที่มีคุณค่า สภาพธรรมชาติเอื้ออำนวย ขาดภัยพิบัติร้ายแรง ถ้าคนในประเทศนี้หยุดทำลายโครงสร้างธรรมชาติ ทรัพยากร คนส่วนมากจะมีกินมีใช้ เราจะเป็นที่น่าอิจฉาของคนทั้งโลก
ก็หวังได้แต่ว่ารัฐบาลลุงตู่จะมองย้อนหลังในช่วงกว่า 5 ปี แล้วเลิกพฤติกรรมที่คนในรัฐบาลและในอีก 2 แกนอักษะแห่งความชั่วร้าย นั่นคือข้าราชการและพ่อค้า คือหยุดการทุจริต คอร์รัปชั่น ให้สมกับคำปฏิญาณ อย่าให้เป็นเพียงพิธีกรรมธรรมดา
ยอมรับหรือยังว่าที่ผ่านมากว่า 5 ปี ประเทศได้ก่อหนี้สินใหม่ไว้มากมาย โครงสร้างสังคมการเมือง เศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม ศีลธรรม คุณธรรม กระบวนการยุติธรรม ระบบนิติรัฐ นิติธรรมผุกร่อนไม่น่าเชื่อถือ มีแต่จะชักนำไปสู่การล่มจม
หยุดพฤติกรรมทำให้ชาติเสียหาย ถึงเวลาสำนึกถึงบุญคุณแผ่นดินนี้ได้แล้ว ผู้นำบางประเทศถามนักการเมือง พ่อค้า ข้าราชการง่ายๆ ว่า “รวยพอหรือยัง” คิดว่าถึงเวลาที่จะทำงานเพื่อประโยชน์ของชาติบ้านเมืองได้หรือยัง เป็นคำถามไร้คำตอบ
มีเรื่องเล่าขานกันมาว่ามีผู้นำรัฐบาลรายหนึ่งถูกเรียกให้ไปพบผู้ปกครองสูงสุด มีสำรับกับข้าวตั้งรอไว้ และเชิญให้นั่งทานคนเดียว จากนั้นท่านประมุขถามผู้นำรัฐบาลว่า “กินอิ่มหรือยัง?” ไม่มีคำตอบว่าอะไร อาหารจุกติดอยู่ในคอหอยหรือไม่
คำถามแบบนี้จะถามบางคน หรือหลายคนที่กุมอำนาจในภาคส่วนต่างๆ ในขณะนี้ได้หรือไม่ เพราะถ้า “ยังไม่อิ่ม” บ้านเมืองที่กำลังอ่อนล้าด้วยปัญหาเรื้อรังสารพัดจะยิ่งเผชิญวิกฤตซ้ำเติม ด้วยน้ำหนักหนี้สิน ความทุกข์ของคนทั้งแผ่นดิน
น่าเหลือเชื่อว่าตั้งแต่ปี 2475 ประเทศไทยมีประชาธิปไตยลุ่มๆ ดอนๆ สลับกับเผด็จการทหารและพลเรือน มีการทุจริตจาก 5-40 กว่าเปอร์เซ็นต์ ยังอยู่รอดมาได้ ผ่านวิกฤตด้านการเงินมา 2-3 รอบ คงเป็นเพราะความเชื่อว่าแผ่นดินนี้ศักดิ์สิทธิ
คนชั่วร้ายที่กุมอำนาจ ตักตวงผลประโยชน์โดยทุจริต มักจบไม่สวย ถ้าไม่หนีไปอยู่ต่างประเทศ ก็ไม่มีโอกาสได้ใช้เงินหาความสุขอย่างเปิดเผย ต้องใช้ชีวิตอย่างซ่อนเร้นจากสายตาของสาธารณะ เพราะรู้อยู่แก่ใจว่าได้สร้างความชั่วร้ายอะไรไว้
ขณะนี้มีเงินกู้ก้อนมหาศาลกว่า 1 ล้านล้านบาท ถูกเตรียมนำมาใช้เพื่อกิจการฟื้นฟูประเทศจากโรคระบาด อย่าให้เงินก้อนหนี้เป็นลาภอันโอชะสำหรับพวกเสือหิว
ลุงตู่คนเดียวเป็นผู้ที่ต้องรับผิดชอบ เพราะเป็นผู้กุมอำนาจสูงสุดในภาวะฉุกเฉิน จะปฏิเสธ แก้ตัวอย่างไรก็ไม่ได้ จะเป็นบทพิสูจน์ว่าความเก่งฉกาจ ความรู้ความสามารถ ความซื่อสัตย์สุจริต ตามคำปฏิญาณ เป็นของจริงหรือของเทียม