อ่านความเห็นของปิยบุตร แสงกนกกุล อดีตเลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ ที่พยายามออกมาสร้างวาทกรรมเชื่อมโยงกับการเมือง ในภาวะที่ทุกประเทศกำลังประสบกับปัญหาเรื่องสุขภาพจากการถูกโจมตีด้วยไวรัสแล้ว แอบประหลาดใจไม่ได้ว่า ปิยบุตรไม่รู้เลยหรือว่า วันนี้โลกทั้งโลกกำลังประสบกับเภทภัยอะไร
ปิยบุตรบอกว่า “สภาวะยกเว้น” ไม่ว่าเราจะเรียกมันว่าอะไร (สถานการณ์ฉุกเฉิน, กฎอัยการศึก, กฎหมายฉุกเฉิน, ฯลฯ) จะเกิดขึ้นได้ ก็ต้องมีองค์ประกอบร่วมกันอยู่ 3 ประการ คือ 1. เกิดวิกฤตการณ์ 2. นำมาซึ่งการออกกฎเกณฑ์มาตรการที่มักจะให้อำนาจพิเศษแก่ผู้ปกครอง 3. เป็นไปเพื่อรักษาความมั่นคงปลอดภัยของรัฐ
ความจริงเขาเพียงต้องการประดิษฐ์วาทกรรม “รัฐประหารโควิด” หรือ “Covid Coup d’état” เพื่อระลึกความเป็นฝรั่งเศสในสายเลือดปลอมๆ หรือเพื่อต้องการเอาใจภรรยาที่เป็นชาวฝรั่งเศสหรืออย่างไรไม่ทราบได้ เพราะอ่านจนจบแล้วก็ไม่รู้ว่าเขาต้องการบอกอะไร
ถ้าข้ออ้าง 3 ข้อที่เขาอ้างว่าเป็นองค์ประกอบของการประกาศภาวะฉุกเฉินอย่างที่เขากล่าวไว้ ถามว่า สถานการณ์ ณ วันนี้มีเงื่อนไขข้อไหนบ้างที่ยังไม่เข้าองค์ประกอบ 3 ข้อที่ว่ามา
ตอนนี้เราเกิดวิกฤตการณ์ขึ้นแล้วใช่ไหม ถามหมาแมวที่ไหนก็ต้องตอบว่าใช่ เราอยู่ในภาวะวิกฤตที่ต้องการการรวมศูนย์เพื่อให้การแก้ปัญหาในสถานการณ์เช่นนี้มีความเป็นเอกภาพใช่หรือไม่ และนี่เป็นการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของรัฐเพื่อป้องกันสุขภาพของประชาชนซึ่งเป็นองค์ประกอบหนึ่งของรัฐไม่ใช่หรือ การใช้ พ.ร.บ.ฉุกเฉินจึงเป็นเรื่องจำเป็นใช่ไหม
ไม่มีอะไรที่บอกว่าการประกาศภาวะฉุกเฉินนั้น ประกาศขึ้นมาโดยไม่มีหลักยึดตามองค์ประกอบทั้งสามของปิยบุตรเลย
ปิยบุตรจะเรียกว่า “รัฐประหารโควิด” ให้เท่ก็ว่าไปเถอะ แล้วถามว่ามีประเทศไทยประเทศเดียวที่ใช้มาตรการแบบนี้หรือ ไม่ว่าจะประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินและมีเคอร์ฟิว รวมกับมาตรการอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นการห้ามบิน การบังคับกักตัวผู้เดินทางเข้าประเทศ ฯลฯ ใครเขาก็ทำกันทั้งนั้น แม้แต่ฝรั่งเศสอันเป็นที่รักของปิยบุตรก็ตาม
สหรัฐอเมริกาดินแดนแห่งเสรีภาพรัฐบาลถึงกับใช้กฎหมายสงครามบังคับเอกชนเพื่อให้ผลิตสินค้าที่รัฐต้องการ แม้ไม่อยู่ในสายพานการผลิตของธุรกิจที่ดำเนินการอยู่เลย เช่นบังคับให้บริษัทผลิตรถยนต์ผลิตเครื่องช่วยหายใจ เป็นต้น ไม่รู้เหมือนกันว่า ลิเบอร่านชาวอเมริกันจะเต้นแร้งเต้นกาแบบปิยบุตรไหม
บางประเทศยิ่งกว่าไทยใครออกจากบ้าน ก็เอาไม้หวดไล่ตี ไปดูประเทศประชาธิปไตยใหญ่ที่สุดในโลกอย่างอินเดียที่นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์ชอบยกตัวอย่างว่าเป็นประเทศประชาธิปไตยที่ตั้งมั่นสิ ใครออกมาเขาเอาไม้ไล่หวดไล่ตีเลยทีเดียว ไม่รู้ว่าปิยบุตรออกจากโลกที่หมกหมุ่นมาดูโลกภายนอกบ้างหรือเปล่า
หากถามว่า รัฐบาลไทยมีความผิดพลาดบ้างไหมในการรับมือกับสถานการณ์วิกฤตจากไวรัสโคโรนา ก็มีครับ ความผิดพลาดจากการปล่อยให้มีการแข่งขันชกมวยจนลุกลามก็เรื่องหนึ่ง การขาดการประสานงานบูรณาการที่เห็นจุดบกพร่องในหลายวาระ แต่เวลานี้เราควรจะเป็นเวลาของการร่วมมือร่วมใจกันมากกว่าจะเอาการเมืองเข้ามาบั่นทอนคนทำงาน
แต่ปิยบุตรลองเปรียบเทียบการทำงานของเรากับฝรั่งเศสดูนะครับ แม้ฝรั่งเศสจะดีกว่าอิตาลีและสเปน แต่ตอนนี้คนฝรั่งเศสก็ติดเชื้อร่วมแสนคนแล้ว ทั้งที่เราอยู่ใกล้จีนกว่า เราติดเชื้อเป็นชาติที่สองของโลก ลองเทียบเรากับฝรั่งเศสแผ่นดินที่ปิยบุตรเชิดชูดูสิครับว่าใครจัดการปัญหาได้ดีกว่ากัน
วันนี้ไม่ได้ยินเสียงแพทย์ พยาบาลอ้อนวอนบ้างหรือว่า ให้อยู่ในบ้าน ให้รักษาระยะห่าง อย่าออกจากบ้านถ้าไม่จำเป็น เพราะมันจะเป็นการเพิ่มภาระที่หนักอึ้งให้กับพวกเขา นั่นก็คือ เสียงเรียกร้องให้เรายอมจำกัดเสรีภาพของตัวเองลงนั่นแหละ
ดังนั้นที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ออกโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจ และตอนหนึ่งกล่าวว่า “สุขภาพนำเสรีภาพ” มันไม่ใช่เรื่องที่ผิดหรอกครับ ก็เขาต้องการบอกว่า ตอนนี้เพื่อส่วนรวมเราจำเป็นจำกัดเสรีภาพของเราลงไปบ้าง ดังนั้นถ้ารัฐบาลออกมาตรการเพื่อแก้ปัญหาที่จะมากระทบต่อเสรีภาพของเราก็จำเป็นต้องกระทำ และมันควรเป็นความร่วมมือร่วมใจที่เกิดจากสำนึกของเราด้วยซ้ำไป
แต่เพราะคนเราไม่มีสำนึกแบบนั้นเหมือนกันทุกคน พวกลิเบอร่านที่เอะอะจะอ้างเสรีภาพแบบปิยบุตรก็มากเหลือเกิน ดังนั้นรัฐบาลในฐานะที่ดูแลรัฐและประชาชนจึงต้องมีมาตรการออกมาอย่างไรเล่า การดำรงอยู่ในสังคมนั้นจะต้องมีกติกากฎเกณฑ์ที่จะต้องบังคับใช้เพื่อไม่ให้เกิดความวุ่นวายไม่ใช่หรือ และเราก็มอบอำนาจนั้นไว้ให้กับรัฐบาลที่เป็นผู้ปกครองใช่ไหม
เข้าใจครับว่า ปิยบุตรและธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ยังมีความขุ่นแค้นทางการเมืองอยู่จากความผิดพลาดของตัวเองที่ไม่ได้ใช้ความระมัดระวังพอในการเข้ามาเล่นการเมือง แต่ต้องแยกแยะให้ได้ว่า บ้านเมืองตอนนี้อยู่ในภาวะอะไร รู้ว่า ความฝังใจของพวกคุณที่ต้องการเปลี่ยนแผ่นดินแบบพลิกฝ่ามือนั้นยังคงอยู่ แต่การจะทำอะไรนั้นต้องดูสภาพแวดล้อมและกาลเทศะด้วย
อย่าหน้ามืดตามัวจนคิดแต่จะเล่นการเมืองทุกจังหวะก้าวแบบตะพึดตะพือ ไม่สนว่าสังคมและประเทศชาติกำลังจะเผชิญกับภาวะอะไร เพราะมันจะสะท้อนถึงปัญหาเชิงระบบคิดที่ซุกซ่อนอยู่ในสมองแล้วสะท้อนวุฒิภาวะที่ต่ำออกมา
การเกิดขึ้นของพรรคอนาคตใหม่นั้นเป็นเรื่องที่ดี ได้สร้างปรากฏการณ์ทางการเมืองใหม่ให้เกิดขึ้นในประเทศของเรา แม้เกือบทั้งหมดจะเป็นคนหน้าใหม่ที่เข้ามาสู่การเมือง แต่หลายคนในพรรคก็สะท้อนให้เห็นถึงความเป็นนักการเมืองที่มีคุณภาพที่เป็นความหวังของประเทศชาติได้
แต่ปัญหาของพวกเขาซึ่งเป็นคนรุ่นใหม่ในพรรคคือถูกครอบงำด้วยความคิดและพฤติกรรมที่ต้องการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างสังคมไทยแบบพลิกฝ่ามือของปิยบุตร ธนาธร และช่อ พรรณิการ์ วานิช ที่ทำให้คนอีกฟากหนึ่งของสังคมเขาไม่ไว้วางใจว่า พรรคการเมืองนี้จะพาประเทศชาติไปสู่จุดหมายใด เพราะเขาได้ยินได้ฟังสิ่งที่พวกคุณคิดและมีจุดมุ่งหมายที่ได้เคยแสดงไว้อย่างประจักษ์หลายครั้งในอดีตที่ยังไม่เข้าสู่การเมือง
ว่าไม่ได้ยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข นี่ไม่ใช่เรื่องที่หยิบเอามาโจมตีและกล่าวหากันลอยๆ เพราะเป็นสิ่งที่ปิยบุตรและพวกน่าจะรู้ดีแก่ใจอยู่แล้วถ้าไม่ต้องการโกหกตัวเอง
แน่นอนเรามีเสรีภาพที่จะคิดและเชื่อมั่นในระบอบการเมืองที่เราศรัทธา แต่มันต้องรู้จักนำมาใช้ให้สอดคล้องกับภววิสัยของสังคมด้วย เราจะคิดคำเท่ๆ ขึ้นมาเพื่อท้าทายรัฐบาลเพื่อด้อยค่าผู้นำที่เราไม่ศรัทธา แต่เราต้องทำให้สอดคล้องกับสภาพสังคมด้วยเช่นกัน และถ้าสังคมเขาไม่ยอมรับความคิดของพวกคุณ เขาก็มีสิทธิโดยชอบธรรมที่จะมาต่อต้านเพื่อปกป้องความเชื่อและศรัทธาของเขา
วางมือจากการดมกาวประชาธิปไตยลงเสียบ้าง ไม่มีรัฐบาลไหนที่จะพาประชาชนออกไปจากสิ่งนี้ได้หรอก ผมคิดว่าประชาชนทุกสีเสื้อที่เริ่มจางลงไปแล้วก็มีความคิดในการยึดมั่นประชาธิปไตยเหมือนกัน อาจจะแตกต่างจากจิตสำนึกที่พวกคุณแฝงเร้นอยู่ภายใน แล้วหันมามองว่าตอนนี้สังคมไทยและโลกเขากำลังต่อสู้อยู่กับอะไร
อย่าทำเป็นเด็กเล่นขายของทางการเมือง แล้วเอานิสัยลิเบอร่านออกมาเพ่นพ่านตอนนี้เลย
ติดตามผู้เขียนได้ที่ https://www.facebook.com/surawich.verawan