หนึ่งความคิด
สุรวิชช์ วีรวรรณ
ถ้าถามว่า การแก้ปัญหาในสถานการณ์โควิดของนายกรัฐมนตรีที่ชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มีความล่าช้าไม่ทันต่อสถานการณ์หรือไม่ ต้องตอบว่า ในช่วงแรกนั้นล่าช้าชนิดวิ่งตามหลังโควิดเชื้อโรคที่ไม่มีเซลล์สมองหลายร้อยเมตร จนกระทั่งประชาชนเกิดความหวั่นวิตกไปหมดทั้งการกลัวเชื้อโรคและหวาดกลัวการนำพาของรัฐบาลว่าสภาพการดำรงชีวิตจะเป็นอย่างไรในห้วงระยะเวลาของโรคระบาดนี้
แต่นั่นต้องยอมรับว่าสถานการณ์แบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนบนโลกใบนี้ในช่วงชีวิตของเรา ของคนรุ่นเรา หนักที่สุดที่อาจจะมีผู้สูงวัยหลงเหลืออยู่บ้างก็คือการผ่านเหตุการณ์สงครามโลกครั้งที่สองซึ่งคนอายุ 75 ปีขึ้นไปได้ประสบเจอ
ความผิดพลาดในช่วงแรกๆ ของรัฐบาลนั้นมีแน่ เราทราบเหตุการณ์การระบาดที่อู่ฮั่นตั้งแต่ปลายเดือนธันวาคม ตอนนั้นคนไทยส่งข้อความ อู่ฮั่นเจียโหยว จงกว๋อเจียโหยว เพื่อเอาช่วยประชาชนชาวจีน แต่รัฐบาลไทยก็ยังไม่ได้ทำอะไรมากกว่านั้น ผมคิดว่าไม่ตระหนักด้วยซ้ำว่า เชื้อโรคที่มีคนเป็นพาหะนั้นวันหนึ่งจะมาถึงประเทศไทย เรายังเปิดประเทศต้อนรับนักท่องเที่ยวอย่างอ้าซ่าตามปกติ
กระทั่งวันนี้จีนรอดพ้นจากวิกฤตแล้ว แต่ละวันยอดผู้ป่วยเป็นศูนย์และส่งบุคลาการทางการแพทย์และเวชภัณฑ์ออกไปช่วยทั่วโลก
และเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศในภูมิภาคเดียวกันแบบเวียดนาม เราจะเห็นว่าเวียดนามซึ่งมีพรมแดนติดกับจีนนั้นเขาชิงปิดประเทศก่อน แม้ว่าหลีกหนีไม่พ้นว่ามีผู้ติดเชื้อโควิด แต่วันนี้ยอดผู้ป่วยของเวียดนามยังอยู่ที่ร้อยกว่าคนเท่านั้น แต่ประเทศไทยกำลังทะยานจนคณะแพทย์ต้องเขียนภาพของอิตาลีเป็นเครื่องเตือนว่าเราอาจจะต้องเจอสภาพแบบนั้น คือมีบุคลากรทางการแพทย์และโรงพยาบาลไม่เพียงพอในการรับมือกับผู้ป่วย
ความผิดพลาดที่สำคัญก็คือการปล่อยให้สนามมวยลุมพินีกลายเป็น super spearder ของการแพร่เชื้อ กว่าที่กทม.ซึ่งเป็นองค์กรท้องถิ่นจะออกมาตรการห้ามต่างๆออกมาก็ช้าไปเสียแล้ว และจนถึงขณะนี้ก็ยังไม่รู้เลยว่าใครควรจะรับผิดชอบจากกรณีนี้ แม้จะยังไม่มีคำสั่งห้ามการแข่งขันกีฬาในตอนนั้น แต่ก็มีเสียงเตือนอยู่แล้วว่าไม่ควรทำกิจกรรมที่มีคนร่วมจำนวนมาก แต่ก็ไม่ยอมฟัง แถมยังทราบว่าการกีฬาแห่งประเทศไทยก็ได้เตือนไว้แล้วด้วย แต่ทำไงได้สนามมวยลุมพินีเป็นของทหารที่เสียงดังในเวลานี้
นี่เป็นตัวอย่างที่ต้องยอมรับว่าเป็นความผิดพลาดของรัฐบาล
เมื่อรัฐบาลตั้งหลักได้แม้จะช้าไปหน่อยออกมาประกาศภาวะฉุกเฉินเพื่อรับมือกับสถานการณ์พร้อมประกาศมาตรการต่างๆ ออกมาช่วยเหลือประชาชนผู้ประกอบการ คิดว่า ความมั่นใจที่เราจะฝ่าภาวะนี้ไปได้มีมากยิ่งขึ้น เหตุการณ์ครั้งนี้เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั่วโลก เมื่อมองไปยังประเทศที่ประสบปัญหารุนแรงโดยเฉพาะชาติในยุโรปอย่างอิตาลี และสเปนแล้ว ก็ต้องยอมรับว่าระบบสาธารณสุขของเรานั้นทำงานได้อย่างเข้มแข็งมากกว่ามาก
ที่สำคัญจะเป็นบทพิสูจน์ของ พล.อ.ประยุทธ์ด้วยว่าจะนำพาประเทศชาติในยามวิกฤตนี้ได้ไหม แน่นอนว่านี่ไม่ใช่วิกฤตการณ์ทางการเมืองโดยตรง แต่วิกฤตครั้งนี้เป็นวิกฤตของระบบสาธารณสุขที่จะส่งผลต่อระบบเศรษฐกิจอย่างแน่นอน แล้วหลังจากนั้นวิกฤตทางการเมืองจะตามมาว่า พล.อ.ประยุทธ์มีความเป็นผู้นำพอหรือไม่
เราต้องยอมรับนะครับว่า เมื่อเปรียบเทียบภาพของพล.อ.ประยุทธ์กับลีเซียนลุง ของสิงคโปร์ จาซินดา อาร์เดิร์น ของนิวซีแลนด์ หรืออังเกลา แมร์เคิล ของเยอรมนีเวลาออกต่อสาธารณชนจะแตกต่างกันด้วยลีลาน้ำเสียงและการสร้างความหวังให้กับประชาชนว่าเราจะรอด เพราะพล.อ.ประยุทธ์ที่แต่ลีลาทื่อๆ แข็งเหมือนซีกไม้ และน้ำเสียงที่ไม่ชวนสร้างความหวัง แต่เราต้องทำใจให้ได้ว่าปัจจัยเหล่านั้นเป็นเรื่องที่ยากจะแก้ไขและหันมามองที่การลงมือกระทำแทน
ณ ตอนนี้เชื่อว่า ประชาชนส่วนใหญ่นั้นพยายามเอาตัวเองออกห่างจากความขัดแย้งทางการเมือง เพื่อเอาใจช่วยรัฐบาลในการทำสงครามกับเชื้อโรคและช่วยให้ประชาชนอยู่รอดให้มากที่สุด จึงเป็นโอกาสของพล.อ.ประยุทธ์ที่จะได้พิสูจน์ฝีมือในภาวะปลอดการเมืองว่าจะมีความสามารถและศักยภาพแค่ไหนในฐานะผู้นำ
แน่นอนว่าพล.อ.ประยุทธ์นั้นเป็นทหารร่ำเรียนมาในวิชาการทหารที่ต้องทำสงครามพิทักษ์ชาติบ้านเมืองกับอริราชศัตรู แม้ถึงวันนี้อาจจะยังไม่เคยทำสงครามกับใครเลย แต่ความรู้ความเข้าใจที่เรียนมานั้นน่าจะยังคงอยู่ แต่ครั้งนี้ไม่ใช่สงครามกับอริราชศัตรูแต่เป็นสงครามกับเชื้อโรคศัตรูที่มองไม่เห็น แน่นอนว่าแม่ทัพในสงครามครั้งนี้จะต้องเป็นหมอไม่ใช่ทหาร สิ่งที่จะพิสูจน์ พล.อ.ประยุทธ์ก็คือ ความสามารถในการใช้คนให้ถูกกับงานซึ่งเป็นคุณสมบัติที่ดีของผู้บริหาร เพราะเรามีบุคลากรด้านสาธารณสุขเก่งๆอยู่จำนวนมาก
ในทางการเมืองนั้นต้องชื่นชมนะครับว่า พรรคการเมืองต่างๆ โดยเฉพาะพรรคการเมืองที่บรรลุนิติภาวะแล้วนั้น ต่างพากันสงบนิ่งและรู้กาลเทศะอันควร มีข้อเสนอดีๆมากมายจากพรรคฝ่ายค้านอย่างพรรคเพื่อไทยเพื่อช่วยให้รัฐบาลฟันฝ่าสถานการณ์นี้ไปให้ได้ ทุกคนรู้ดีว่านี่ไม่ใช่เวลาของการเล่นการเมือง ไม่ใช่เวลาของการหักล้างแย่งชิงอำนาจ
จะมีแปลกประหลาดอยู่บ้างก็จะเห็นจะเป็นพรรคการเมืองที่เป็นขวัญใจของคนหนุ่มสาวนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ที่ออกมาเสนอโรดแมปแก้วิกฤตโควิด-19 ในนามของคณะก้าวหน้าโดยเรียกร้องให้นายกฯ ต้องเสียสละลาออก เปิดทางให้คนอื่นเข้ามาเป็นผู้นำแก้ปัญหาชาติ ให้สภาฯ แต่งตั้งนายกฯ คนใหม่ ดำเนินภารกิจเฉพาะหน้า ในเวลา 1 ปี คือแก้ปัญหาโควิด-19 ฟื้นฟูประเทศ และเป็นเจ้าภาพแก้ไขรัฐธรรมนูญ ยุบศาลรัฐธรรมนูญ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และ วุฒิสภาจากการแต่งตั้ง ยกเลิกมาตรา 279 ใน รธน.ฉบับปี 2560 ยกเลิกการนิรโทษกรรมให้คสช. แก้รัฐธรรมนูญ ม.256 ให้สามารถแก้ไขรัฐธรรมนูญได้ กำหนดให้มีสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) จากประชาชน จากโรดแมปดังกล่าวเราจะได้สภาฯชุดใหม่ที่มาจากประชาชน ได้รัฐบาลผู้นำประเทศที่มาจากเจตจำนงของประชาชน
บอกตรงๆ นะครับว่า ฟังข้อเสนอแล้วก็อดขำขันแกมสมเพชไม่ได้เลยว่า เวลาแบบนี้ยังมาคิดเล่นการเมืองกันอีกหรือ แน่นอนว่าที่มาของ พล.อ.ประยุทธ์นั้นมาจากการเขียนกติการัฐธรรมนูญให้ได้เปรียบแน่ แต่สถานการณ์แบบนี้เราต้องรู้แยกแยะว่าเราควรจะลำดับความสำคัญของปัญหาบ้านเมืองอย่างไหนก่อนหลังไม่ใช่หรือ แล้วคิดไม่ได้หรือว่า ถ้าเราทำอย่างที่เสนอมานั้นตอนนี้บ้านเมืองจะเกิดความวุ่นวายขึ้นอย่างไร
แน่นอนว่าโดยส่วนตัวผมเห็นด้วยว่าข้อเสนอให้แก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นสิ่งจำเป็นที่จะนำพาประเทศชาติไปสู่ประชาธิปไตยที่แท้จริง แต่ในสถานการณ์แบบนี้นั้นผมคิดว่าเราควรแก้ไขวิกฤตที่เกิดขึ้น ณ เวลานี้เสียก่อน
ทางออกที่นายธนาธรเสนอนั้น เป็นทางออกที่จะแก้ไขวิกฤตโควิดได้จริงๆหรือ ข้อเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญ ยุบศาลรัฐธรรมนูญ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และ วุฒิสภาจากการแต่งตั้ง ยกเลิกมาตรา 279 ใน รธน.ฉบับปี 2560 ยกเลิกการนิรโทษกรรมให้คสช.แล้วเชื้อโรคจะอันตรธานหายไปจากประเทศของเรา
ถามว่าข้อเสนอที่เสนอมานั้นมันเป็นความมุ่งหวังที่จะแก้วิกฤตของส่วนรวมกันหรือความเคียดแค้นส่วนตัวกันแน่
ยิ่งพรรคก้าวไกลที่สืบเชื้อมาจากพรรคอนาคตใหม่ยิ่งแล้วใหญ่ ประชาชนส่วนใหญ่เขาเห็นด้วยที่รัฐบาลประกาศภาวะฉุกเฉินเพื่อรับมือกับวิกฤตการณ์ในขณะนี้ กลับมองว่ารัฐบาลประกาศภาวะฉุกเฉินเพื่อลิดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชนไปโน่น เป็นการสะท้อนว่า พรรคการเมืองนี้ยังไม่บรรลุนิติภาวะ และยังแยกแยะไม่ได้ว่าอันไหนเป็นเรื่องของบ้านเมือง อันไหนเป็นเรื่องการเมือง
ไม่เข้าใจนะครับว่า องค์ประกอบของพรรคการเมืองอย่างพรรคก้าวหน้านั้นล้วนแล้วแต่เป็นคนรุ่นใหม่ที่ควรจะเป็นความหวังของสังคมนั้น ทำไมถึงแยกแยะไม่ได้ว่า เวลาไหนที่ควรเล่นการเมือง เวลาไหนที่ความคิดและอุดมการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองต้องเก็บใส่ลิ้นชักไว้ก่อนเพื่อหันมาแก้ไขปัญหาบ้านเมืองเพื่อช่วยเหลือประชาชนให้รอดปลอดภัยจากวิกฤตที่เกิดขึ้น ณ เวลานี้
ขณะนี้ปัญหาต่างๆ รออยู่มากที่ทุกคนจะต้องร่วมกันแก้ไข เมื่อไหร่เราจะกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติในฐานะมนุษย์เป็นสัตว์สังคม ความเสียหายทางเศรษฐกิจที่จะเกิดขึ้นจากวิกฤตการณ์ครั้งนี้ เราจะรับมือฟื้นฟูประเทศอย่างไรหลังสถานการณ์ผ่านพ้นไปแล้ว คิดว่าตอนนี้ไม่มีใครสนหรอกว่า จีดีพีปีนี้จะเหลือเท่าไหร่ หรือเราจะรอดหรือไม่รอดทางเศรษฐกิจ แต่สิ่งสำคัญคือ จะต้องช่วยให้พวกเรารอดชีวิตจากโควิดให้มากที่สุด แล้วหลังจากนั้นจึงมาช่วยกันกอบกู้บ้านเมืองกัน
หลังจากเรากอบกู้บ้านเมืองเข้ารูปเข้ารอยแล้ว ถึงวันนั้นเราจะมาต่อสู้กันทางการเมืองอีกครั้งก็คงไม่มีใครว่าจะแก้ไขรัฐธรรมนูญ จะเรียกร้องให้ยุบศาลรัฐธรรมนูญ จะให้ส.ว.มาจากการเลือกตั้งก็ทำไปเถอะ แต่วันนี้ต้องรู้ให้ได้ว่าเราควรจะทำเรื่องไหนเสียก่อน
ผมคิดว่าปัญหาทางการเมืองนั้นรอได้ เพราะเวลานี้สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ นำพาประชาชนให้อยู่รอดจากสงครามกับเชื้อโรคครั้งนี้ ไม่รู้เหมือนกันว่า พล.อ.ประยุทธ์จะนำพาเราไปรอดไหม แต่สิ่งที่ดีที่สุดนะเวลานี้ก็คือการร่วมมือร่วมใจกัน ให้กำลังใจกันและผนึกให้ไทยเป็นหนึ่งเดียวที่ไม่มีความแตกแยกทางสีเสื้อ ความแตกต่างทางอุดมการณ์ทางการเมือง ไม่มีพรรคฝ่ายค้านฝ่ายรัฐบาล
ดังนั้นในสถานการณ์ตอนนี้นอกจากเราต้องมีระยะห่างทางสังคม social distancing แล้ว เราต้องมีระยะห่างทางการเมือง Political distancing ด้วย
ติดตามผู้เขียนได้ที่ https://www.facebook.com/surawich.verawan