ข่าวปนคน คนปนข่าว
“ลุงป๊อก-ผู้ยิ่งใหญ่เมืองชล” ฝ่ายปกครองว่าไง? วัยรุ่นไม่กลัวโควิด-19 สังสรรค์เต็มชายหาด
เพื่อยับยั้งและสกัดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 รัฐบาลพยายามออกมาตรการเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ และดังที่เห็น มาตรการ “ปิดเมือง” ของหลายๆ จังหวัดนำมาใช้ ยอมที่จะ “เจ็บ” เพื่อให้ “จบ”
ขณะที่คนในสังคมส่วนใหญ่ตระหนักรู้ และให้ความร่วมมือ มีจิตสำนึกที่จะ “หยุดเชื้อ เพื่อชาติ”
แต่ที่มันจะไม่จบ และส่อว่าจะเพิ่มภาระให้หมอ-พยาบาลขึ้นไปอีก ก็เพราะยังมีคนอีกจำพวกที่มีพฤติกรรม “ขาดจิตสำนึก” อย่างไม่น่าให้อภัย คนพวกนี้มีทั้งเจ้าใหญ่นายโต ยังเดินทางไปไหนมาไหนสบายใจ กลับมาจากต่างประเทศกลุ่มเสี่ยงก็มีคนมารับ ตัวเองและผู้ติดตามก็ไม่ต้องผ่านกระบวนการคัดกรอง ... หรือแม้แต่คนในเครื่องแบบ เสี่ยงติดเชื้อแล้วก็ไม่รู้จักคำว่า “กักตัว” ยังเดินสายเดินทางเป็นพาหะไปที่นู่นที่นี่ แบบปกติ
ที่ตรวจเจอรายล่าสุด ตำรวจสายตรวจ 191 ยศสิบตำรวจเอกนายหนึ่งก็น่าจะคลุกคลีอยู่กับเพื่อนกลุ่มเสี่ยงที่ไปสนามมวยมา และตัวเลขคนติดเชื้อส่วนใหญ่ตอนนี้ก็เป็นผู้ที่เกี่ยวข้องกับสนามมวย
แล้วย้อนเปิดไทม์ไลน์ก็จะเห็นว่า ตำรวจนายนี้หลังออกเวรก็ตระเวนจากกรุงเทพฯ ไปอุดรธานี นั่งรถทัวร์กลับ เข้าไปดูไก่ชน รวมกลุ่มเพื่อนหลายคนล่องแพน้ำพาน ...ได้ยินได้ฟังเรื่องแบบนี้แล้วก็เหนื่อยใจ
แต่ที่หนักหนาระอาใจมากที่สุด ก็คงเป็นกรณีโซเชียลฯ รุมประณามกลุ่มวัยรุ่นบางแสนเมืองชลบุรี กว่า 500 คน ที่ออกมาสังสรรค์กันเต็มหาดวอนนภา ว่ามันใช่หรือ? ทั้งๆ ที่ทางการก็ประกาศชัดให้ปิดจุดเสี่ยง เลี่ยงการชุมนุมกัน
คำสั่งจังหวัดชลบุรี ในช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา โดย “ภัครธรณ์ เทียนไชย” ผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี ก็ออกมาชัด พร้อมกับแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการเฉพาะกิจจังหวัด ลงพื้นที่ตรวจสอบผู้ประกอบการที่ไม่ให้ความร่วมมือ เพื่อดำเนินการเอาผิดตามกฎหมาย
ทำไมวัยรุ่นกลุ่มนี้ถึงขาดจิตสำนึกได้เพียงนี้ ไม่เกรงกลัวอะไรทั้งสิ้น
เท่าที่ฟังมา พอเกิดเรื่องนี้ขึ้นมาฝ่ายปกครองก็โยนกลองกันวุ่น!
ตระกูล “คุณปลื้ม” ผู้ยิ่งใหญ่เมืองชล เจ้าของพื้นที่ปล่อยได้ยังไง?
“ณรงค์ชัย คุณปลื้ม” นายกเทศมนตรีเทศบาลเมืองแสนสุข ได้ออกมาโพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่า ตัวเองในฐานะผู้บริหารพื้นที่ต้องขออภัยชาวชลบุรีที่มีความกังวลกับการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 และเกิดความไม่สบายใจที่เห็นภาพข่าวดังกล่าว...
พร้อมชี้แจงว่า ตามอำนาจหน้าที่ของเทศบาลฯ ที่ค่อนข้างมีจำกัด ประกอบกับอำนาจในการปิดหาด หรือพื้นที่สาธารณะเป็นของกระทรวงมหาดไทย โดยจังหวัดจะเป็นผู้ออกกฎและทำประกาศ หากมีความจำเป็นและหน่วยงานท้องถิ่นเป็นเพียงผู้รับคำสั่ง
งานนี้ก็ต้องตั้งคำถามไปยัง “ลุงป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ว่าเป็นอย่างที่นายกเมืองแสนสุขว่ามาหรือไม่
หากจริงก็แสดงว่าฝ่ายปกครองของมหาดไทยมีปัญหา ท่านต้องออกงิ้วอาละวาดให้เด็ดขาดไปเลยหรือไม่?
ที่เป็นแบบนี้ต้องหาทางแก้ไข หรือจะเป็นเพราะกลุ่มวัยรุ่นไม่เกรงกลัวกฎหมาย ก็ต้องหาทางบังคับใช้ให้หลาบจำ อย่าลืมว่าพฤติกรรมเลียนแบบจะตามมาอีกหลายกรณีหากประเมินเรื่องแบบนี้ต่ำเกินไป...
จังหวัด, ผู้ว่าฯ ฝ่ายปกครอง ต้องเคร่งครัด มหาดไทยโดย พล.อ อนุพงษ์ ย่อมทราบอยู่แล้วว่า ภาวะบ้านเมืองตอนนี้ไม่ปกติ หากท่านยังทำตัวปกติ ปล่อยกลไกราชการให้ไหลไปตามปกติอยู่ แล้วจะมาสำนึกเสียใจภายหลังก็จะสายเกินไป
ขณะที่หมอ-พยาบาล และบุคลากรทางการแพทย์ เหนื่อยสายตัวแทบขาด จำนวนผู้ป่วยและตัวเลขคนติดเชื้อยังพุ่งสูงไม่หยุด
เหนื่อยกับโควิด-19 ยังไม่เท่าเหนื่อยกับคนที่ขาดจิตสำนึก-ฝ่ายปกครองที่ไร้ประสิทธิภาพ อีกหรือ
พล.อ.อนุพงษ์ ว่าไง?
** โซเชียลฯ วิจารณ์ “เสี่ยเอก ธนาธร” ที่ผิดที่ผิดเวลา จะมุ่งแต่ล้มลุงตู่ บ้าแต่แก้รัฐธรรมนูญอย่างเดียวในเวลาวิกฤตเยี่ยงนี้ ที่คนไทยทุกคนต้องร่วมด้วยช่วยกัน
ความเคลื่อนไหวล่าสุดของ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ต้องบอกว่าผิดที่ผิดเวลา ไม่ดูตาม้าตาเรือเอาซะเลย
เมื่อวันก่อน “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ-ปิยบุตร แสงกนกกุล และ น.ส.พรรณิการ์ วาณิช” อดีตกรรมการบริหารพรรคอนาคตใหม่ ที่ถูกศาลรัฐธรรมนูญตัดสินให้ยุบพรรค ร่วมกันแถลงเปิดตัว “คณะก้าวหน้า” ผ่านเพจเฟซบุ๊กไลฟ์ของคณะก้าวหน้า ... อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ เลยถือโอกาสเสนอความเห็นทางการเมือง
“ธนาธร” กล่าวว่า คณะก้าวหน้าเปิดตัวท่ามกลางวิกฤตหลายด้านของประเทศ โดยเฉพาะวิกฤตการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่รุนแรงและหนักหนากว่าวิกฤตครั้งอื่นๆ ที่ผ่านมา เราตั้งคณะก้าวหน้าขึ้นมาด้วยความหวังดีต่อประเทศและประชาชน เมื่อได้เห็นข้อเสนอ และแนวทางแก้วิกฤต ไวรัสโควิด-19 ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี แล้วเห็นข้อบกพร่อง จากหลักคิดที่ไม่เหมาะสมของผู้นำประเทศ
“ธนาธร” เสนอโรดแมปแก้วิกฤตโควิด-19 ของ “คณะก้าวหน้า” โดยเรียกร้องนายกฯ ต้องเสียสละลาออก เปิดทางให้คนอื่นเข้ามาเป็นผู้นำแก้ปัญหาชาติ ให้สภาฯแต่งตั้งนายกฯ คนใหม่ ดำเนินภารกิจเฉพาะหน้า ในเวลา 1 ปี คือ แก้ปัญหาโควิด-19 ฟื้นฟูประเทศ และเป็นเจ้าภาพแก้ไขรัฐธรรมนูญ ยุบศาล รธน. คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และวุฒิสภาจากการแต่งตั้ง ยกเลิก มาตรา 279 ใน รธน.ฉบับปี 2560 ยกเลิกการนิรโทษกรรมให้ คสช. แก้รัฐธรมนูญ ม. 256 ให้สามารถแก้ไขรัฐธรรมนูญได้ กำหนดให้มีสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) จากประชาชน จากโรดแมปดังกล่าว เราจะได้สภาชุดใหม่ที่มาจากประชาชน ได้รัฐบาลผู้นำประเทศที่มาจากเจตจำนงของประชาชน
ไม่พูดเปล่า “ธนาธร” ยังปลุกมวลชนส่งเสียงออนไลน์ เรียกร้องให้ “ลุงตู่” ลาออกอีกต่างหาก!!
โดยบอกว่า ในภาวะโควิด-19 เราไม่สามารถเรียกร้องให้ยุบสภา เพราะจะปล่อยให้เกิดสุญญกาศทางการเมืองไม่ได้ ข้อเสนอยุบสภาฯ จึงไม่สอดรับกับวิกฤตโควิด-19 แต่ถ้าให้ พล.อ.ประยุทธ์ อยู่ต่อไป โอกาสที่ประเทศสูญเสีย และดิ่งลึกไปมาก เพราะโควิดจะอยู่กับเราอย่างน้อย 1 ปี
“เราออกมาชุมนุมเรียกร้องไม่ได้ แต่ส่งเสียงเรียกร้องผ่านออนไลน์ ส่งตรงถึงไปถึงคุณประยุทธ์ให้เสียสละ เพื่อให้ประเทศได้ไปต่อ”
พลันที่ท่าทีและการเคลื่อนไหวของธนาธรออกไป ปรากฏว่ามีความคิดเห็นเป็นจำนวนมาก
“ธนาธร” และคนใกล้ชิดทั้ง ปิยบุตร และ พรรณิการ์ จะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม สังคมเวลานี้ต้องการความร่วมมือทุกฝักทุกฝ่าย ต้องร่วมกันต่อสู้กับวิกฤต
คนเขาทุกข์ยากแสนสาหัสในการใช้ชีวิต เขาไม่ได้มองทุกอย่างเป็นการเมืองไปเสียทั้งหมด
อาจเพราะทุกอย่างที่ “ธนาธร” คิด คิดแต่เรื่องการเมือง ล้มล้างการปกครอง หรือเกลียดทหาร พานอคติรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จนเอะอะอะไรต้อง “ไล่ลุง”... พล.อ.ประยุทธ์ออกเถอะ โดยไม่สนใจใดๆ ทั้งสิ้น
สรุปว่าสังคมได้รู้เช่นเห็นชาติของธนาธรและพวกกันหมดแล้ว
จึงไม่แปลกใจถึงตอนนี้ “ธนาธร” จะถูกกระแสสังคมตีกลับ ไม่มีเสียงตอบรับจากแฟนๆ เหมือนเคย ในห้วงวิกฤตยามนี้ ย้ำกันอีกทีว่าคนไทยทุกคนต้องร่วมด้วยช่วยกัน
** ถึง “ลุงตู่-พาณิชย์-กรมศุลกากร” เลิกย้อนแย้ง อุปกรณ์การแพทย์จำเป็นเร่งด่วน ควรหรือไม่ ให้ “นำเข้า” แก้ปัญหาขาดแคลน-ทันรับมือโควิด-19
ห้วงเวลาคับขันจากภัยพิบัติวิกฤตไวรัส โควิด-19 ไม่น่าเชื่อว่า ยังมีความคิดที่ย้อนแย้งในเรื่องการบริหารจัดการ ระเบียบราชการที่ไม่ผ่อนคลาย เพื่อจะบรรเทาปัญหา
เห็นๆ เลยว่าเวลานี้ไม่ใช่แค่ "หน้ากากอนามัย"ที่แก้ไม่ตกเรื่องราคาแพง หาซื้อยาก ประชาชนเข้าไม่ถึง อุปกรณ์การแพทย์ที่จำเป็นเร่งด่วน ก็ส่อเค้าขาดแคลนหนัก
วันสองวันมานี้ เราจะเห็นบุคลากรทางการแพทย์ออกมาพูดเรื่องนี้ ถี่ขึ้นๆ อย่างเฟซบุ๊ก “รศ.นพ.นิธิพัฒน์ เจียรกุล” หัวหน้าสาขาวิชาโรคระบบการหายใจและวัณโรค ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ได้ออกมาโพสต์ภาพ พร้อมข้อความ เผยให้เห็นถึงบุคลากรทางการแพทย์ที่กำลังรักษาผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 จำนวน 3 คน แม้ขาดอุปกรณ์ป้องกันเชื้ออย่างถุงกันน้ำ ด้วยความจำเป็นจึงต้องใช้ถุงพลาสติกธรรมดาหุ้มเท้าแทน
ถึงขั้นนี้กันแล้ว!
เพจ “ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา Thiravat Hemachudha” หรือ ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ผอ.ศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก็โพสต์ข้อความสถานการณ์ล่าสุด มีประชาชนได้รับการตรวจเชื้อไวรัสโควิด-19 จำนวนมาก จึงทำให้อุปกรณ์การตรวจไม่เพียงพอ
“สถานการณ์ส่อเค้ารุนแรง แม้กระทั่งการตรวจทางห้องปฏิบัติการ PCR ทั้งน้ำยา และเครื่องมือบางชิ้นขาดแคลน ห้องปฏิบัติการบางแห่งประกาศปิดรับตัวอย่าง ทั้งแล็บเราที่กาชาด พอกัน อาจถึงเวลาป่วยน้อยไม่ตรวจ อยู่บ้านแยกตัว ตัวเลขตรวจน่าจะลดลง ถ้าตรวจไม่ไหว และดูคล้ายกับจำนวนผู้ติดเชื้อจะลดลง แต่การแพร่เชื้อยังคงเป็นลูกโซ่ตามเดิม และตัวเลขที่ได้จะเป็นของผู้มีอาการมากทั้งสิ้น สภาพรพ. ห้องไม่พอ ดังนั้นติดเชื้อ ถ้าอาการน้อย ควรต้องกักตัวที่บ้านดีกว่าถ้าเขาเข้าใจ วิธีการปฏิบัติตัว และรพ.จะได้ไหว รับแต่อาการหนัก”
นี่สะท้อนให็เห็นถึงการขาดแคลนอุปกรณ์ทางการแพทย์มาถึงจุดสถานการณ์น่าเป็นห่วงยิ่ง แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงยิ่งกว่าตอนนี้คือ กฎระเบียบที่ไม่ผ่อนคลายว่าด้วยการ "นำเข้า"
ฟังว่า มีความพยายามจากหน่วยงานรัฐ เอกชน ร่วมหาทางช่วย ติดต่อขอยื่นเรื่องนำเข้าอุปกรณ์การแพทย์ที้จำเป็นเร่งด่วน ทั้งหน้ากากอนามัย ชุดทดสอบโควิด-19 น้ำยาตรวจเชื้อ เครื่องช่วยหายใจ เครื่องวัดอุณหภูมิ และเทคโนโลยี อื่นๆ ที่จำเป็น แต่ก็ติดตรงที่ระเบียบของกรมศุลกากร และกระทรวงพาณิชย์ ที่ยังห้ามนำเข้า
อุปกรณ์เหล่านี้ ผู้นำเข้าพร้อมที่จะนำเข้า โดยเฉพาะจากจีน ที่สถานการณ์เริ่มผ่อนคลาย และพิสูจน์แล้วว่า เป็นของจำเป็นที่ช่วยให้จีนฝ่าฟันต่อสู้กับโควิด-19 มาตลอด 2-3เดือน ที่ผ่านมา
ตอนนี้จีนพร้อมจะส่งออกและแบ่งปันให้โลก อย่างที่ "มูลนิธิแจ็ก หม่า" (Jack Ma Foundation) และ "มูลนิธิอาลีบาบา" (Alibaba Foundation)ของจีน กำลังทำต่อเนื่อง
"แจ็กหม่า" เสนอบริจาคอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่จำเป็นเร่งด่วน เช่น หน้ากากอนามัยหลายล้านชิ้น, ชุดทดสอบ , เครื่องช่วยหายใจ ให้หลายประเทศรวมทั้งไทย
ถ้าสมมติอุปกรณ์การแพทย์ที่จำเป็นเร่งด่วนเข้ามาทันท่วงที ก็น่าจะบรรเทาการขาดแคลนได้ วันนี้เราปิดเมือง ก็คล้ายๆ กับปิดประเทศ แต่ก็ไม่ควรปิดกั้นตัวเองในโอกาสนี้ ใช่หรือไม่?
ไหนๆ ก็เต็มที่กันแล้ว ทั้งฟังว่ามาตรการเยียวยาของรัฐบาลอีกชุดใหญ่จะเข้า ครม.วันอังคารนี้ ทั้งอัดฉีดเงินเข้าระบบเสริมสภาพคล่องเป็นเรื่องสถาบันการเงินและ ดูแลช่วยเหลือประชาชน เยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจาก covid
อยากถามไปถึง “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี “จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และกรมศุลกากร ว่าเวลานี้ควรหรือไม่ควร ที่จะผ่อนคลายมาตรการห้ามนำเข้าอุปกรณ์การแพทย์ที่จำเป็นเร่งด่วน
ไม่มีใครรู้ว่าจะต้องเผชิญกับภัยวิบัติโควิด-19 ไปอีกนานแค่ไหน ทำอะไรได้ก็ต้องคิดหาหนทางช่วยกัน ร่วมกันให้กำลังใจบุคลากรทางการแพทย์ที่สุ่มเสี่ยง ตรากตรำทำงานหนักจำนวนมาก
ต้องจดจำไว้เลยว่า บุคลากรทางการแพทย์เป็นกลุ่มคนที่น่าเห็นใจที่สุด ปฏิเสธ หยุด หรือผ่อนปรนกับสถานการณ์ตอนนี้ไม่ได้เลย
“ลุงตู่” แค่ให้หน่วยงานรัฐเลิกคิดย้อนแย้ง เลิกโลเล ดูความเป็นจริง ความจำเป็นเร่งด่วน เพื่อช่วยแพทย์ เพื่อบุคลากรทางแพทย์ ก็น่าจะสร้างความมั่นใจ เป็นขวัญกำลังใจกันในยามนี้
ต่อสู้ภัยพิบัตินี้ไปด้วยกัน.