ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - “ไม่รู้จักกาลเทศะ” ถือเป็นคำต่อว่าที่ค่อนข้างรุนแรงก็จริง
แต่คงไม่เกินเลยไป สำหรับย่างก้าวของ “ค่ายส้มใหม่” พรรคก้าวไกล ที่ออกแถลงการณ์ค้านการประกาศใช้อำนาจตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 (พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ) เพื่อยกระดับการป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 หรือ “โรคโควิด-19” ในประเทศไทย ของรัฐบาล
เชื่อเหลือเกินว่าการออกแถลงการณ์คัดค้านฉบับนี้ เป็นย่างก้าวที่มีการตระเตรียมวางแผนมาล่วงหน้า ตั้งแต่มี “กระแสข่าว” ว่ารัฐบาลเตรียมใช้กฎหมายพิเศษ และประกาศเคอร์ฟิว เพื่อควบคุมสถานการณ์โรคโควิด-19 หลังตัวเลขผู้ติดเชื้อรายใหม่พุ่งสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เกินกว่า 100 รายต่อวัน จวนเจียนเข้าขั้น “ระบาดทวีคูณ” เหมือนหลายประเทศในฝั่งตะวันตกกำลังประสบ
พลันที่ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี แถลงข่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ผ่านระบบวีดิโอคอนเฟอเรนซ์ ในช่วงบ่ายของวันที่ 24 มี.ค.63 ที่ผ่านมา ใจความเพียงว่าที่ประชุมมีมติให้ประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ เพื่อยกระดับการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
โดยจะประกาศใช้ในวันที่ 26 มี.ค.นี้ หรืออีก 2 วันให้หลัง ส่วน “รายละเอียด” การบังคับใช้อำนาจจะตามออกมาภายหลังเท่าที่จำเป็น
สิ้นเสียง “นายกฯตู่” ไม่ทันไร แฟนเพจเฟซบุ๊กอย่างเป็นทางการของ “พรรคก้าวไกล” ก็กดปุ่ม Enter ร่อนแถลงการณ์พรรคออกมาทันที โดยมีสาระสำคัญ 4 ข้อ สรุปความได้ว่า “ไม่เห็นด้วย” กับการใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯเพื่อแก้ปัญหาไวรัสโครานา ออกมาทันที
โดยเนื้อหาของแถลงการณ์พยายามชี้ให้เห็นว่า รัฐบาลบริหารจัดการและสื่อสารไร้ประสิทธิภาพเอง จนพาประเทศและประชาชนเผชิญวิกฤต ที่ไม่สามารถแก้ไขไม่ได้ด้วย พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และเมื่อมีการประกาศใช้แล้ว ต้องใช้อำนาจตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ อย่างจำกัดและระมัดระวัง
ผิดไปจากที่คาด เมื่อกระแสสังคมออนไลน์ ที่เคยเฮโลเห็นด้วยกับ “ค่ายการเมืองน้องใหม่” แห่งนี้มาตลอดแบบที่ว่า “ชี้ไม้เป็นนก ชี้นกเป็นไม้” ยังไม่เอาด้วย
หรือขนาด “ฟิวเจอร์ริสต้า” หรือ “ติ่งส้ม” บางราย ก็ยังรับไม่ได้ ติดรถทัวร์ไปร่วมถล่มในเพจพรรคก้าวไกลกันอย่างล้นหลาม
สะท้อนผ่าน “Top Comment” ที่ล้วนแล้วแต่ตำหนิแถลงการณ์ของพรรคก้าวไกลแทบทั้งสิ้น อาทิ “ไอ้พรรคก้าวพลาด มึ-กอดเสรีภาพตายห่-ไปกะไวรัสคนเดียวเลยไอ้ชิบ--- มึ-อยากได้เสรีภาพ มึ-ไปอิตาลี ฝรั่งเศส ไป๊ ไอ้พรรคสิ้นคิด”
“การบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล ในยามที่เกิดภัยพิบัติร้ายแรงหรือภาวะสงคราม รัฐทุกรัฐหรือทุกประเทศมีอำนาจในการปกป้องแผ่นดินและประชาชน ในสถานการณ์รุนแรงขณะนี้ รัฐบาลใช้อำนาจตามที่กฎหมายมีอยู่และแก้ปัญหาจากเบาไปหาหนัก เมื่อสถานการณ์ไม่ดีขึ้นก็ต้องใช้บังคับต่อประชาชนตามสมควร หากพรรคนี้มาก่อกวนหรือกระทำการขัดขวางการป้องกันภัยพิบัติครั้งนี้ พรรคนี้ก็จะเสื่อมลงในไม่ช้า การออกมาแถลงด้งกล่าวมิใช่แค่แสดงความเห็นเชิงทฤษฎีอันไร้สาระ และมิใช่เป็นการตอบข้อสอบของนักศึกษาปริญญาเอกทางกฎหมายรัฐธรรมนูญ แต่ที้รัฐทำคือการป้องกันภัยพิบัติของประชาชนคนทั้งชาติ”
“เป็นพรรคฝ่ายค้านที่ไม่รู้กาลเทศะจริงๆ ค้านตลอดมีปัญญาพูดแต่เรื่องสิทธิ เสรีภาพ อิสรภาพ”
“เฮ้อ พรรคเดียวในโลกเลยมั้งเราอะ เล่นเกมการเมืองแม้วันที่ประเทศมีโรคระบาด พรรคนี้คือโรคระบาดที่หน้ากลัวกว่าโควิดอีกนะ” เป็นต้น
จริงๆ ต้องยอมรับว่า เหตุที่ “ก้าวไกล” โดนถล่มค่อนข้างรุนแรงจากการออกแถลงการณ์เมื่อวันที่ 24 มี.ค.นั้น เป็น “อาฟเตอร์ช๊อก” มาจากจังหวะเคลื่อนของ “3 เกลออดีตอนาคตใหม่” อันประกอบด้วย “เสี่ยเอก” ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่, “จารย์ป๊อก” ปิยุบตร แสงกนกกุล อดีตเลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ และ “สาวช่อ” พรรณิการ์ วาณิช อดีตโฆษกพรรคอนาคตใหม่
ตั้งแต่การไลฟ์สดของ “เสี่ยเอก-ธนาธร” เมื่อค่ำคืนวันที่ 17 มี.ค. ที่พยายาม “โชว์กึ๋น” แสดงวิสัยทัศน์ในการรับมือสถานการณ์โรคโควิด-19 ระบาด มีแฟนคลับ “ติ่งฟ้ารักพ่อ” แห่แหนกันไปดูล่าสุดกว่า 2 ล้านวิวเข้าให้แล้ว
ในแง่การสื่อสารถือว่าประสบความสำเร็จผู้ติดตามเป็นล้านๆคน แต่ในแง่ “สาระ” ถือว่า “สอบตก” อย่างแรง ไม่เพียงแต่ถูกวิจารณ์ว่า “ตื้นเขิน” แล้วยังถูกจับได้ด้วยว่า “ลอก” รายงานของสื่อต่างประเทศมาทั้งดุ้น
ถัดมาดีเดย์ 21 มี.ค. ที่ “3 เกลออดีตอนาคตใหม่” เลือกเป็นวันแกรนด์โอเพ่นนิ่ง “คณะก้าวใหม่” ตามกำหนดการเดิม แม้สถานการณ์ไม่เอื้ออำนวย เพียงเพื่อหวังล้อกระแสกับการเปิดตัว “พรรคก้าวไกล” ที่ยังมีร่างเงาของตัวเองทาบทับอยู่ ที่เพิ่งเปิดตัวไปก่อนหน้านั้นราว 1 สัปดาห์
ในบรรยากาศเหงาๆ ที่มีเพียง “เอก - ป๊อก - ช่อ” มานั่งไลฟ์สด โดยไม่มีแฟนคลับรุมล้อมเหมือนเคย ก็มีข้อเสนอแบบทะลุกลางปล้องที่เสนอให้ “นายกฯประยุทธ์” ลาออกจากตำแหน่ง ให้รัฐสภาแต่งตั้งนายกฯคนใหม่ เปิดทางให้คนอื่นเข้ามาเป็นผู้นำแก้ปัญหาชาติ ดำเนินภารกิจเฉพาะหน้า ในเวลา 1 ปี ในการแก้ปัญหาโควิด-19
โดย “ธนาธร” ออกตัวว่า ไม่มีส่วนได้เสียเพราะพ้นจากฐานะ “แคนดิเดตนายกฯ” ไปตามชะตากรรมของพรรคอนาคตใหม่ที่ถูกยุบไปแล้ว และถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองไปแล้ว
“ในภาวะโควิด-19 เราไม่สามารถเรียกร้องให้ยุบสภาฯ เพราะจะปล่อยให้เกิดสุญญากาศทางการเมืองไม่ได้ ข้อเสนอยุบสภาฯ จึงไม่สอดรับกับวิกฤตโควิด -19 แต่ถ้าให้พล.อ.ประยุทธ์อยู่ต่อไป โอกาสที่ประเทศสูญเสียและดิ่งลึกไปมาก เพราะโควิดจะอยู่กับเราอย่างน้อย 1 ปี เราออกมาชุมนุมเรียกร้องไม่ได้ แต่ส่งเสียงเรียกร้องผ่านออนไลน์ ส่งตรงถึงไปพึงคุณประยุทธ์ให้เสียสละ เพื่อให้ประเทศได้ไปต่อประชาชน ยืนยันว่าข้อเสนอของเราไม่ใช่การช่วงชิงอำนาจการเมืองเพราะพวกเราไม่ได้เป็นผู้นำพรรคการเมือง ผมไม่ได้เป็นแคนดิเดทนายก ฯอีกแล้ว แต่ข้อเสนอเพื่อนำประเทศไปข้างหน้า”
ฟังดูทีแรกเกือบจะเคลิ้มตาม ทว่า “เสี่ยไทยซัมมิท” ยังมีข้อเสนอ “ติดปลายนวม” อีกว่า ให้ “นายกฯเฉพาะกิจ” เป็นเจ้าภาพแก้ไขรัฐธรรมนูญ ยุบศาลรัฐธรรมนูญ, คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และวุฒิสภาที่มาจากการแต่งตั้ง ยกเลิกมาตรา 279 ในรัฐธรรมนูญ 2560, ยกเลิกการนิรโทษกรรมให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.), แก้มาตรา 256 ในรัฐธรรมนูญ 2560 เพื่อให้สามารถแก้ไขรัฐธรรมนูญได้, กำหนดให้มีสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) จากประชาชน ยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
ข้อเสนอ “ด้านการเมือง” ยาวเหยียด จนจับใจความไม่ได้ว่า จะให้ “นายกฯเฉพาะกิจ” มาแก้เรื่องโควิด-19 หรือมาแก้กฎหมายสนองความต้องการของ “อดีตกอนาคตใหม่” กันแน่
ถัดมาอีดไม่กี่วัน คราวนี้เป็น “จารย์ป๊อก - ปิยุบตร” ที่ถือโอกาสครบรอบ 1 ปี เลือกตั้ง 24 มี.ค. ไม่ฟังอีร้าคร่าอีลมว่าสังคมกำลังให้ความสนใจและตระหนกเรื่องอะไรกันอยู่ จู่ๆโพสต์เฟซบุ๊กปึ้งโอดครวญถึงคะแนนเสียง 6.3 ล้านเสียงที่เลือกพรรคอนาคตใหม่ ที่ถูกปล้นไปด้วยกลไกของรัฐธรรมนูญ 2560 ที่เป็น “มรดกบาป” ของ คสช.
ตอกย้ำคำพูดของ “ปิยบุตร” ที่กล่าวไว้เมื่อวันเปิดตัว “คณะก้าวหน้า” ที่ว่า “เราต้องการปักธงความคิดก้าวหน้าให้สังคมไทย สร้างพลเมืองก้าวหน้า โดยจะสร้างเครือข่ายรณรงค์ความคิดไปทั่วประเทศ และจะรณรงค์หาเสียงให้กับการเลือกตั้งท้องถิ่นทั่วประเทศ โดยสัญลักษณ์ลูกศรสีส้มพุ่งทะลุวงกลม เป็นการพุ่งทะยานไปให้พ้นจากกรอบเพดานที่กีดขวางความเจริญก้าวหน้าของประเทศ โดยกรรมการบริหาร จะประกอบด้วย อดีต กก.บห.พรรคอนาคตใหม่ แยกขับเคลื่อนตามภารกิจในพื้นที่ทั่วทุกภูมิภาค และมุ่งหน้าสร้างเครือข่ายกับข้าราชการรุ่นใหม่ นักธุรกิจรุ่นใหม่ และกลุ่มนิสิตนักศึกษา นอกจากนี้จะตั้งโรงเรียนของผู้ไม่ยอมจำนน จัดหลักสูตรและฝึกอบรมให้ผู้นำก้าวหน้า รวมถึงการจัดค่ายเยาวชน เดินหน้าระบบการศึกษาออนไลน์ทุกช่องทาง”
กลายเป็นว่าในหัวของ “ปิยุบตร” มีแต่เรื่องการเมืองล้วนๆ ไม่ได้แสดงออกว่ามีความสนใจปัญหาเฉพาะหน้า ความเดือดร้อนของประชาชนในยามวิกฤตโรคระบาดร้ายแรง ที่ส่งผลถึงภาวะเศรษฐกิจปากท้องของประชาชนแต่อย่างใด
ขณะที่ “ธนาธร” เองก็ใช้สถานการณ์นำหน้า แล้ว “สอดไส้” ด้วย “วาระการเมือง” สนองความต้องการของตัวเองเท่านั้น
นี่เองที่ทำให้แถลงการณ์ของพรรคก้าวไกลดูเป็นเรื่องการเมืองในสายตาของคนภายนอก และดู “ด้อยค่า” กว่าที่ควรจะเป็นในสายตาของ “ติ่งส้มเก่า-ใหม่”
ดังจะเห็นได้จากคอมเมนท์ที่มีทั้งแบบที่ตำหนิด้วยถ้อยคำรุนแรง และยังสอนมวย “พรรคละอ่อน” ให้รู้ว่ามารยาททางการเมือง และวิธีบริหารราชการแผ่นดินในยามวิกฤตเขาทำกันอย่างไร
ต้องไม่ลืมว่า “เสี่ยทิม” พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล เคยได้รับความชื่นชมในวงกว้างถึงบทบาทการทำหน้าที่ในสภาผู้แทนราษฎร ที่มีความสร้างสรรค์ ไม่ยัดเยียดทุกสิ่งอย่างเข้าเรื่องการเมือง เหมือนอย่าง “เอก - ป๊อก - ช่อ” หรือ ส.ส.ของพรรคบางคนพยายามทำ
พอ “เสี่ยทิม” ออกมายืนแถวหน้า ถือธงเป็นหัวหน้าพรรค และออกแถลงการณ์ที่มีกลิ่นอายของ “อดีตพรรคอนาคตใหม่” ก็เลยหนีไม่พ้นที่จะถูกจัดไปอยู่กลุ่ม “คลั่งการเมือง” กับเขาด้วย
น่าสนใจว่า ให้หลังจากออกแถลงการณ์ที่ “กระแสติดลบ” ซึ่ง “เสี่ยทิม” ก็คงสัมผัสได้ จากคอมเมนท์ใน “เพจทางการ” ของตัวเอง ที่อาจจะไม่รุนแรงเท่าเพจพรรคก้าวไกล แต่ก็แสดงให้เห็นถึงความผิดหวังในตัว “หัวหน้าทิม” อย่างเห็นได้ชัด
อาทิ “นี่คือตัวอย่างของคนที่เห็นแก่ประโยชน์ของตัวเองเป็นหลัก โดยไม่สนใจบ้าน เคยคิดนะ ว่าคุณเป็นอาจเลือกคุณ แต่คุณแม่-กากมาก” หรือ “เรื่องสิทธิเสรีภาพไม่ใช่เวลานี้ครับ.. เวลานี้ต้องบังคับ.. นิสัยคนไทยบางคนไม่สนใจอะไร.. ออกมาตรการไรมาก็ไม่สนใจ” เป็นต้น
เป็นเหตุให้ “เสี่ยทิม” ต้องเรียกกู้ชื่อ “การเมืองสร้างสรรค์” กลับมา โดยอัดคลิปข้อเสนอเช็คลิสต์มาตรการที่รัฐบาลต้องทำทันทีเพื่อแก้ไขวิกฤตโควิด-19 ออกมาแก้สถานการณ์ เผยแพร่เมื่อช่วงบ่ายของวันที่ 25 มี.ค.ที่ผ่านมา
แม้ว่าสิ่งที่ “หัวหน้าพิธา” บอกกล่าวในคลิป จะเป็นเรื่องที่รัฐบาลทำอยู่แล้วก็ตาม แต่ก็ได้รับคำชมพอสมควรว่า นำเสนอได้เข้าใจง่าย ละเอียดครอบคลุม สมกับ “ส.ส.ทิม” ที่เคยฉายแสงเจิดจ้าในสภาฯ
จะสะดุดหูอยู่นิดก็ตรงบางถ้อยคำเปิดหัวคลิปที่ “เสี่ยทิม” ว่า “...หลังจากตรวจสอบและคำนวนความเป็นไปได้ในทุกทางแล้ว พรรคก้าวไกลเชื่อว่ามาตรการในการปิดประเทศและจำกัดการพบปะผู้คนคงจะเป็นมาตรการที่เราหลีกเลี่ยงไม่ได้อีกต่อไป...”
เท่ากับว่า ไม่ถึง 24 ชั่วโมง หลังร่อนแถลงการณ์ในนามพรรคก้าวไกล หัวหน้าพรรคอย่าง “เสี่ยทิม” กลับออกมายอมรับการใช้อำนาจพิเศษของรัฐบาลว่าหลีกเลี่ยงไม่ได้
เป็นท่าทีที่กลับตาลปัตร ราวกลับ “ไบโพลาร์” มีอารมณ์สองขั้ว จนสะท้อนว่าการขับเคลื่อน “พรรคก้าวไกล” ภายใต้การนำของ “เสี่ยทิม” ที่ว่ากันว่ายังอยู่ใต้เงา “คณะก้าวใหม่” ชักจะยังไงๆกันอยู่
ยิ่งเมื่อย้อนไปอ่านแถลงการณ์พรรคก้าวไกลเมื่อวันที่ 24 มี.ค.อย่างละเอียดอีกครั้งก็เชื่อว่าถ้อยคำที่ออกมานั้น หาใช่ตัวตนของ “พิธา” เลย หากแต่ยังมีกลิ่นอายของ “ธนาธร - ปิยบุตร- พรรณิการ์” มากกว่า
เพราะอย่าลืมว่า ผู้ที่มีบทบาทขับเคลื่อนพรรคก้าวไกลตัวจริงเป็น “เสี่ยต๋อม” ชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล ที่เป็นเพื่อนคู่คิดของ “ธนาธร” มาตั้งแต่สมัยเคลื่อนไหวทางการเมืองตั้งแต่เป็นนักศึกษามากกว่า และอยู่เบื้องหลังพรรคอนาคตใหม่มาตลอด ก่อนได้โอกาสขยับมายืนแถวหน้า เมื่อพรรคเก่าถูกยุบไป
ที่น่าสนใจไปกว่านั้น เมื่อถอดรหัสแถลงการณ์พรรคก้าวไกลเมื่อวันที่ 24 มี.ค. แล้วก็จะพบอีกว่า “หลักใหญ่ใจความ” อยู่ที่ข้อ 3 ที่อ้าง “เสรีภาพ” การแสดงออกของทั้งสื่อมวลชน-ประชาชน พร้อม “ดักคอ” ด้วยว่า อย่าละเมิดสิทธิเสรีภาพ โดยการจับกุม ควบคุมตัว ตรวจค้น ตรวจสอบการสื่อสาร ที่ระบุในข้อ 4 ด้วย มากกว่า
ที่เชื่อได้ว่าเป็นการออกมาปกป้อง “แนวรบไซเบอร์” ที่เป็นแนวรบหลัก และมีประสิทธิภาพที่สุด มาตั้งแต่สมัยพรรคอนาคตใหม่ ต่อเนื่องมาถึงพรรคก้าวไกลในปัจจุบัน ซึ่งก็เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่เกิดวิวัฒนาการที่เรียกว่า “เฟกนิวส์-ข่าวปลอม” แพร่ระบาดรุนแรงยิ่งเสียกว่าไวรัส จน ส.ส.ของพรรคบางคนเอาเข้าไปอภิปรายในสภาเป็นคุ้งเป็นแคว หรืออย่าง “สาวช่อ” ก็เคยโอดโอยว่าตกเป็นเหยื่อของ “เฟคนิวส์” มาแล้ว
เป็นที่รู้กันว่า ในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 มี “ขบวนการสร้างข่าวปลอม” สร้างความตื่นตระหนกในสังคมมากกว่าที่ควรจะเป็น หากรัฐบาลจำเป็นต้องใช้อำนาจตรวจสอบ หรือกำหนดโทษร้ายแรง ในห้วงนี้ก็ถือว่าเป็นเหตุเป็นผลหรือไม่
และอย่าบอกว่า “พรรคก้าวไกล-คณะก้าวหน้า” ที่ช่ำชองเชี่ยวชาญ “แนวรบไซเบอร์” ยิ่งกว่าใครในประเทศ จะไม่รับรู้ถึงความเคลื่อนไหวอย่างผิดปกติของ “ขบวนการปั่น” ที่กำลังสนุกสนานกับการตั้ง “แฮชแท็กแปลกๆ” ใน “ทวิตเตอร์” หรือเปล่า
คิดจะเล่นการเมืองในระบบก็ต้องก้าวให้พองาม อย่าออกตัวแรงให้คนคิดไปว่า “พรรคก้าวไกล-คณะก้าวหน้า” กำลังพยายามปกป้อง “แก๊งปั่นแฮชแท็ก” เหล่านั้นเลย.