ยกเว้นจีน ประเทศอื่นๆ ทั่วโลกยังคงทำศึกกับโคโรนาไวรัสอย่างเต็มกำลัง พร้อมกับปัญหาขาดแคลนเวชภัณฑ์ อุปกรณ์การแพทย์แทบทุกอย่าง เริ่มด้วยหน้ากากอนามัย เครื่องช่วยหายใจ ประเทศที่ผลิตได้ก็เร่งมือ มีการแข่งขันแย่งซื้อในต่างประเทศ
และจีนเป็นแหล่งผลิตใหญ่ แม้แต่สหรัฐฯ ชาติมหาอำนาจก็ยังขาดพื้นฐาน เพราะบริษัทที่มีเทคโนโลยี เช่น 3เอ็ม ไปตั้งโรงงานในจีน ทำให้จีนมีเทคโนโลยีทุกด้าน มีประสบการณ์รับมือกับไข้หวัดนก ซาร์ส เมอร์ส และไข้หวัดธรรมดา จึงพร้อมกว่าทุกชาติ
คนเอเชียมีความเชื่อมั่นด้านการสวมหน้ากากอนามัยป้องกันการติดเชื้อ ทำให้การผลิตในจีนสามารถเร่งรับมือกับความต้องการได้อย่างเต็มที่ มีเท่าไหร่ก็ไม่พอขาย
การระบาดของโคโรนาไวรัส หรือโควิด-19 เป็นการทดสอบความพร้อม ขีดความสามารถด้านสาธารณสุขของแต่ละประเทศ ความเชื่อ แนวนโยบาย ยุทธศาสตร์ในการตั้งรับ และต้องระดมสมอง สรรหาบรรดาผู้เชี่ยวชาญ ผู้รู้ในสาขาต่างๆ มาช่วยกัน
ขณะที่จีนและประเทศอื่นๆ ในเอเชียเริ่มหายใจได้โล่งคอ โดยเฉพาะจีนเริ่มเปิดเมืองอู่ฮั่นให้คนเข้าเมืองได้ มณฑลหูเป่ยเปิดให้เครื่องบินขนคนเข้าออกได้ ทางยุโรปและสหรัฐฯ ได้กลายเป็นแหล่งแพร่ระบาดเชื้อ ตัวเลขคนติดเชื้อ คนตายแซงจีนไปหลายเท่าตัว
ทั้งยุโรปและสหรัฐฯ เคยปรามาส ดูหมิ่นจีนว่าการตั้งรับไม่เพียงพอ จนแทบช็อกเมื่อเห็นมาตรการปิดเมือง ปิดมณฑลอย่างเข้มงวด กว่าจะเห็นผลก็ต้องทนรับคำพูดเหยียดหยามนาน คนเชื้อสายเอเชียในสหรัฐฯ และยุโรปสวมหน้ากากอนามัยถูกทำร้ายร่างกาย
เมื่อการติดเชื้อลามเข้ายุโรปและสหรัฐฯ ความเชื่อที่ว่า “คนปกติไม่ต้องสวมหน้ากากอนามัย” ตามคำแนะนำของ “ผู้เชี่ยวชาญ” ต่างๆ ทั้งในประเทศและองค์การอนามัยโลก ทำให้คนเริ่มตายเป็นเบือ การแพร่ระบาดติดเชื้อวันละเป็นหมื่นๆ คน
กว่าจะรู้ว่าหน้ากากอนามัยเป็นอาวุธหน้าด่านแรก คนก็ตายทั้งทวีปแอตแลนติกและทวีปอเมริกา คนตายในยุโรปเก็บศพแทบไม่ทัน ต้องใช้รถทหาร และอาคารต่างๆ เป็นที่เก็บศพเพราะตายวันละเป็นพันคน ความขาดแคลนเริ่มวิกฤต มีแพทย์เสียชีวิตมาก
ยุโรปเลิกเถียงเรื่องหน้ากาก เพราะจีนเริ่มขนบุคลากร เวชภัณฑ์ และอุปกรณ์ต่างๆ ไปช่วยหลายประเทศ โดยเฉพาะอิตาลี เพราะอยู่ในสภาพกับระบบเกือบล่มสลาย แต่การระบาดยังคงหนักที่สเปน เยอรมนี ฝรั่งเศส ซึ่งมีผู้ติดเชื้อแต่ละแห่งเกิน 1 แสนคนแล้ว
และยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุด เพียงแค่ชะลอตัวลงทั้งการติดเชื้อและการเสียชีวิต ส่วนประเทศยุโรปอื่นๆ ก็มีตัวเลขขยับขึ้นต่อเนื่อง อังกฤษเป็นเกาะห่างออกไปมีผู้ติดเชื้อมากกว่า 5 หมื่นราย และอัตราผู้เสียชีวิตเกินกว่า 10 เปอร์เซ็นต์ ถือว่าหนักมาก
คงจำกันได้ว่ามี “ผู้เชี่ยวชาญ” ในอังกฤษแนะวิธีตั้งรับโคโรนาไวรัสว่าต้องให้คนติดเชื้อถึงระดับหนึ่ง แล้วจะมีภูมิต้านทานตามมา แต่ไม่ได้ผล การลองวิธีทำให้คนตายมากเกินกว่าจะถึงบทพิสูจน์ขั้นสุดท้าย เหยื่อวีไอพีคือนายกฯ บอริส จอห์นสัน ในห้องไอซียู
และยังมีรัฐมนตรีอังกฤษอีก 3-4 ราย ก่อนหน้านี้คือเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์
การร้อนวิชา การถกเถียงกันระหว่างผู้เชี่ยวชาญ ต่างคนก็ว่ากันไปตามตำราที่เรียนมาและความรู้สะสม เอามาลองกับโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ซึ่งมีความแตกต่าง รุนแรงและทำให้คนตายเร็ว มีทั้งสายพันธุ์ในจีน อิตาลี และแหล่งอื่นๆ ที่ออกฤทธิ์อยู่
ในสหรัฐฯ ยิ่งไปกันใหญ่ แพทย์คนดัง หมอแอนโทนี เฟาซี ที่เคยได้รับการเชื่อถือต้องเผชิญการลองของกับผู้เชี่ยวชาญสารพัด เช่นแพทย์ใหญ่ surgeon general ศูนย์ควบคุมป้องกันการระบาด CDC องค์การอนามัยโลก มหาวิทยาลัยต่างๆ
ที่แสบคือบรรดาคนแวดล้อมตัวผู้นำทำเนียบขาว โดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งไม่ได้มีภูมิรู้ด้านการแพทย์ แต่อ้างความรู้ด้านอื่นๆ มาถกเถียง ในทำนอง “รู้มากยากนาน รู้น้อยพลอยรำคาญ” “มากหมอมากความ” เถียงบนจอทีวี และเวทีต่างๆ ให้สัมภาษณ์สื่อ
และก็มีประเภทรู้มาก “คนปกติ ไม่จำเป็นต้องสวมหน้ากากอนามัย” พวกนี้จะดูหมิ่นการตั้งรับในจีน และมองว่าจีนเละแน่ มีประชากรเยอะ ระบบสาธารณสุขไม่ดี
ตอนนี้ “อเมริกามาก่อนจริงๆ” ตัวเลขแซงหน้าทุกชาติด้านตัวเลขติดเชื้อ มีมากถึง 20 กว่าเปอร์เซ็นต์ของตัวเลขคนป่วยทั่วโลก อีกไม่นานตัวเลขคนตายน่าจะเป็นอันดับ 1 ด้วย และนอกจากผู้เชี่ยวชาญเถียงกันแล้ว “คนรู้มาก” กว่าใครคือตัวผู้นำทรัมป์นั่นแหละ
ในสหรัฐฯ ก็มีปัญหาเรื่อง “ควรสวมหน้ากากหรือไม่” เมื่อคนตายเป็นเบือ ก็อ้อมแอ้มยอมรับ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะระบบการผลิตไม่เพียงพอ ทรัมป์ต้องใช้อำนาจพิเศษให้บริษัทยักษ์ใหญ่หลายแห่งปรับระบบเพื่อเร่งผลิตอุปกรณ์ต่างๆ และเครื่องช่วยหายใจ
ตอนนี้ผู้เชี่ยวชาญใกล้ตัวทรัมป์ คือ ปีเตอร์ นาวาร์โร เถียงกันหมอเฟาซี อ้างว่ายารักษาโรคมาเลเรีย ไฮดรอกซีคลอโรควิน สามารถบรรเทาการโคโรนาไวรัสได้ และตัวทรัมป์เองก็เชื่อเช่นนั้น โดยไม่อ้างว่าตัวเองรู้มาจากไหน ที่แน่ๆ ในเอเชียใช้แล้วได้ผล
เมื่อผู้สื่อข่าวถามหมอเฟาซีว่ายาตัวนี้ใช้ได้ผลแน่หรือ ก่อนหมอจะตอบ ทรัมป์ตัดบท สั่งห้ามหมอพูด ใช้ความเป็นผู้นำปิดปาก และยังแสดงอำนาจบาตรใหญ่สั่งอินเดียไม่ให้ระงับการส่งออกยารักษามาเลเรียตัวนี้ ไม่อย่างนั้นจะโดนมาตรการตอบโต้
นายกฯ อินเดีย นเรนทรา โมดี ก็ต้องยอมให้ส่งออกยาตัวนี้ เพราะทรัมป์ขู่!
เอาเป็นว่าสหรัฐฯ อยู่ในสภาพเหมือนไก่ตาแตก จะทำอะไรก็มีปัญหา คนผิวสีโวยว่าถ้าสวมหน้ากากผลิตเอง ไม่ใช่หน้ากากอนามัย ไปไหนมาไหน ซื้อของในห้าง จะเสี่ยงต่อการเข้าใจผิด หาว่าเป็นอาชญากร เพราะความเชื่อฝังหัวว่าคนผิวสีสร้างปัญหานั่นเอง
ตอนนี้กำลังชุลมุนหาทางยับยั้งการระบาด เร่งค้นคิดวัคซีน มีบางตัวใช้ได้แล้ว แต่ยังไม่แพร่หลาย ตัวทรัมป์เองตรวจเลือด 2 รอบแล้วเป็นลบ ยังอยู่ในขั้นปลอดภัย