คนทั่วโลกกำลังถูกทดสอบอย่างแรง ถึงขั้นเอาเป็นเอาตายโดยศัตรูที่มองไม่เห็น เป็นตัวแทนของธรรมชาติซึ่งถูกมองว่ากำลังกำหนดเส้นทาง จัดระเบียบชีวิตมนุษย์ พร้อมกับบทเรียนราคาแพงว่า ไม่มีอะไรสามารถเอาชนะธรรมชาติได้ ถ้าไม่ยั้งมือปรานี
เชื้อโรคโคโรนาไวรัส ได้คร่าชีวิตผู้คนทุกนาที ตัวเลขขยับใกล้ 1 แสนคนทุกขณะ และมีผู้ติดเชื้อยืนยันแล้วกว่า 1.23 ล้านคน และยังไปต่อได้เรื่อยๆ ตราบใดที่หลายชาติก้าวหน้าด้านเทคโนโลยียังไม่สามารถค้นคิดวัคซีนเฉพาะได้สำเร็จเพื่อป้องกันและรักษา
คำตอบของผู้เชี่ยวชาญได้แต่การประเมินว่าต้องใช้เวลา 1 ปีถึง 1 ปีครึ่ง! กว่าจะถึงวันนั้นคนจะติดเชื้อล้มตายอีกมากน้อยเท่าไหร่ คงคาดเดาได้ไม่ง่าย ในสหรัฐอเมริกา ซึ่งตัวเลขผู้ติดเชื้อกว่า 3 แสนรายและเสียชีวิตเป็นหมื่นแล้วมีผู้เชี่ยวชาญประเมินเช่นกัน
สัปดาห์ก่อน ตัวเลขผู้เสียชีวิตคาดว่าจะอยู่ที่ 1-2.4 แสนคน แต่สถานการณ์ปัจจุบันอาจแปรเปลี่ยนเมื่อประเมินความเร็วของการติดเชื้อ ความขาดแคลนเครื่องมือ เวชภัณฑ์ อุปกรณ์การแพทย์ทุกอย่าง กำลังขีดความสามารถในการตั้งรับเริ่มใกล้ฉุกเฉิน
สหรัฐฯ คงมองประเทศจีน ต้นตอของโคโรนาไวรัส และคงสงสัยว่าทำได้อย่างไรในการหยุดการระบาดอย่างเด็ดขาด และมาตรการที่รัฐบาลจีนทำนั้น ไม่ใช่ว่าจะทำได้ง่ายๆ ในประเทศประชาธิปไตยซึ่งประชาชนอ้างสิทธิพลเมือง แม้จะเสี่ยงตายก็ยังเรียกร้องสิทธิ
โดยเฉพาะพวกบาทหลวง ยังทำปากเก่ง ไม่ยอมเลิกกิจกรรมในโบสถ์ แม้จะมีคำเตือน อ้างสิทธิของพระเจ้า ไม่ยอมรับว่าจะพาคนเข้าโบสถ์ไปเสี่ยงตาย จนกว่าจะโดนเอง
ในยุโรปก็เป็นแหล่งติดเชื้อทั่วทั้งทวีป เพียงแค่เฉพาะชาติเป็นตัวหลัก เช่น เยอรมนี ฝรั่งเศส อิตาลี สเปน ตัวเลขทั้งผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตก็กว่า 3 หมื่นราย ละยังมีประเทศเพื่อนบ้านทั้งสวิตเซอร์แลนด์ ก็ยังมีตัวเลขการระบาดอย่างน่าสะพรึงกลัว
ภาพเก่าๆ ในยุคการระบาดของไข้หวัดสเปนในปี 1918 เริ่มกลับมาหลอน เพราะระบาดไปทั่วโลกเช่นกัน คนติดเชื้อในยุคนั้นมากถึง 500 ล้านคน มีผู้เสียชีวิต 50 ล้านคน กว่าจะสงบได้ก็ใช้เวลา 2 ปี แต่เป็นยุคที่เทคโนโลยีไม่พัฒนาอย่างเช่นปัจจุบัน
ส่วนหนึ่งที่หยุดการระบาดได้คือการสวมหน้ากากผ้า ป้องกันการติดเชื้อ!
แต่คนรุ่นลูกหลานของคนยุค 1918 ไม่ดูตัวอย่าง มีความเห็นของผู้เชี่ยวชาญยุคใหม่ในยุโรปและสหรัฐฯ อ้างว่า “ถ้าไม่ป่วยก็ไม่ต้องสวมหน้ากาก” ทั้งๆ ที่ตัวอย่างมีให้เห็น แต่ไม่จดจำบทเรียน ต่างฝ่ายต่างร้อนวิชา ฝรั่งผิวขาวดูถูกคนเอเชียเรื่องการสวมหน้ากาก
ทั้งยังเอามาเป็นประเด็นความเกลียดชัง ไล่รุมกระทืบคนเอเชียในยุโรป โดยเฉพาะอังกฤษ ที่เห็นคนหน้าเอเชียคาดหน้ากาก ทั้งก่นด่าว่าคนเอเชียเป็นต้นตอของเชื้อโรค กว่าจะฉลาด รู้ซึ้ง ต้องให้คนตายเป็นเบือกว่าจะหันมายอมรับว่าต้องสวมหน้ากาก
ทุกวันนี้ ฝรั่งทั้งยุโรปและสหรัฐฯ ต่างส่งเสียงแบบอ้อมๆ แอ้มๆ ว่า การสวมหน้ากากช่วยป้องกันได้ แต่ยังไม่วายไว้ลายถือดีว่าให้สวมเฉพาะออกจากบ้าน เข้าสังคมเท่านั้น ผลที่ตามมาก็คือ การระบาดไปไกลกว่าที่จะหยุดได้ง่าย เพราะความถือดี ดื้อรั้นอวดเก่ง
เหลือเพียงผู้นำทำเนียบขาวโดนัลด์ ทรัมป์ที่ยังปากแข็ง ไม่ยอมสวม ซึ่งคนอเมริกัน โดยเฉพาะคนที่ไม่ชอบขี้หน้าทรัมป์ บอกว่าดีแล้ว ดีแล้ว! และทรัมป์ได้ตรวจเลือด 2 ครั้งแล้ว ยังเป็นลบ แต่มีคำเตือนให้คนใกล้ชิดทรัมป์และไมค์ เพนซ์ รับการตรวจเลือดด้วย
ทุกวันนี้สหรัฐฯ ต้องขึ้นอยู่กับความปรานีของจีน เพราะทุกอย่างที่จำเป็นในการต่อสู้กับไวรัสต้องทำจากจีน ซึ่งได้มีฐานการผลิตสินค้าประเภทนี้หลังจากได้ต่อสู้กับการระบาดของไข้หวัดนก ซาร์ส เมอร์ส และโรคอื่นๆ ขณะที่โลกตะวันตกไม่มีความพร้อม
ทรัมป์ต้องยอมไปคุยกับผู้นำจีน สี จิ้นผิง แทบทุกรัฐต้องสั่งซื้อหน้ากากอนามัย เครื่องช่วยหายใจ ชุดป้องกัน และอุปกรณ์อื่น ต้องแข่งกันประมูลระหว่างรัฐด้วยและแข่งกับผู้ซื้อในยุโรป ที่ต้องการมาก เช่น ฝรั่งเศส อิตาลี เยอรมนี และชาติอื่นๆ อย่างเข้มข้น
เป็นสินค้าที่มีเงิน มีอำนาจ ก็หาซื้อไม่ได้ เว้นแต่จะยอมจ่ายแพงสู้ราคาหน้าโรงงาน ต่อรองราคากันด้วยเงินสด ทำให้สินค้าราคาแพงกว่าที่ควรจะเป็นถึง 5 เท่าตัว
บริษัท 3 เอ็ม ผู้ผลิตหน้ากากเอ็น 95 ไปตั้งโรงงานในจีนหวังค่าแรง วัตถุดิบราคาถูก ช่วงไม่มีความต้องการมากก็ไม่เกิดปัญหา เพราะไม่ได้เป็นส่วนหลักของธุรกิจ จีนได้เรียนรู้เทคโนโลยีและมีฐานการผลิต เมื่อเกิดการระบาดในอู่ฮั่นจึงเร่งการผลิตได้เต็มที่
แม้จะขาดแคลน โรงงานอื่นๆ ก็มีความคล่องตัวเร่งผลิต เพราะมีทั้งวัตถุดิบและทรัพยากรด้านอื่นๆ ทำให้มีอุปกรณ์ เวชภัณฑ์ต่างๆ พร้อมรับศึกไวรัส และหนุนด้วยมาตรการเด็ดขาด ทำให้ตัวเลขผู้ติดเชื้ออยู่ไม่ถึง 8.2 หมื่น คนตายไม่ถึง 8.4 พันราย
และยังมีมาตรการเฝ้าระวังเชื้อนำเข้าจากต่างประเทศ ด้วยการปิดประเทศ!
การแก้ปัญหาต่างกัน เมื่อการระบาดที่จีนเกิดขึ้น แพทย์จีนและบุคลากรด้านการแพทย์ที่ทำมาหากินในสหรัฐฯ แห่กันเดินทางกลับ เช่าเหมาลำเครื่องบิน ขนเวชภัณฑ์ต่างๆ กลับไปช่วย ตอนนั้นสหรัฐฯ ยังไม่มีการระบาด ต่างมองดูจีนด้วยสายตาแบบหมิ่นๆ
จีนทุ่มทุกอย่างช่วงการระบาดหนัก เทียบกับสหรัฐฯ มีแต่ผู้เชี่ยวชาญถกเถียงกัน!
เมื่อการระบาดย้อนกลับสหรัฐฯ แพทย์จีนที่เคยทำงานในสหรัฐฯ ยังไม่กลับ และมาตรการห้ามเข้าประเทศ ทำให้จำนวนแพทย์ขาดแคลน ต้องประกาศรับแพทย์จากหลายประเทศรวมทั้งไทย เสนอวีซ่าทำงาน 1-7 ปี ไม่มีเงื่อนไขมาก เป็นสภาวะเลือดเข้าตา
สหรัฐฯ ยุโรป และชาติอื่นๆ ทั่วโลกต้องทุ่มทรัพยากรสารพัดอีกมหาศาล กว่าจะหยุดการระบาดได้ ไม่มีใครรู้ว่าจะเป็นเมื่อไหร่ ต้องเสียชีวิตอีกแค่ไหน จากนั้นต้องฟื้นฟูเศรษฐกิจที่ถดถอยหรือถึงขั้นตกต่ำ จะมีกลียุคคนไม่มีจะกินลุกฮือไม่อยากอดตายหรือไม่
โคโรนาไวรัสบอกแล้วว่า จะยอมแพ้ ถ้าทุกคนอยู่บ้าน ไม่ทำตัวเป็นพาหะ!