น่าจะหนักหนาสาหัสมิใช่น้อย...สำหรับทีท่า อาการของนายกรัฐมนตรี “หัวกระเซิง” แห่งเกาะอังกฤษ “นายบอริส จอห์นสัน” เพื่อนร่วมรุ่น ร่วมชั้น ของอดีตนายกรัฐมนตรี “อภิสิทธิ์” บ้านเรา ที่ไม่ว่าต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ หรือยังไม่ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจก็แล้วแต่ แต่การที่ต้องถูกหามส่งเข้าห้อง “ไอซียู” เมื่อช่วงคืนจันทร์ (6 เม.ย.) ที่ผ่านมา หลังกักตัวเองอยู่ในบ้านประมาณ 10 วัน เพราะดันไปติดเชื้อ “COVID-19” จากที่ไหน แบบไหน อย่างไร ก็มิอาจทราบได้ ส่งผลให้ไม่ว่าคนอังกฤษ ไปจนพันธมิตรผู้ใกล้ชิดในแวดวงการเมืองอเมริกา อดใจหาย-ใจคว่ำขึ้นมามิได้...
ระดับผู้นำอเมริกัน อย่าง “ทรัมป์บ้า” ต้องเรียกระดมบรรดาผู้เชี่ยวชาญแห่งบริษัทยาในอเมริกาทั้งหลาย ให้หาทางประดิษฐ์คิดค้นกรรมวิธีในการเยียวยารักษา “หุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์” รายนี้ ให้พอฟื้นๆ ขึ้นมาได้มั่ง เห็นว่าถึงขั้นจัดส่งผู้เชี่ยวชาญระดับ “อัจฉริยะ” เดินทางไปยังกรุงลอนดอน เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพราะถ้านายกรัฐมนตรีอังกฤษรายนี้ เกิดไปไม่กลับ-หลับไม่ตื่น-ฟื้นไม่มี ขึ้นมาจริงๆ อะไรต่อมิอะไรหลายต่อหลายอย่าง ไม่ว่าในทางการเมือง-เศรษฐกิจ-ไปจนถึงการทหารโน่นเลย อาจต้องได้รับผลกระทบไม่ว่ามากหรือน้อยตามไปด้วย อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธได้ แม้ว่ารัฐมนตรีต่างประเทศอังกฤษ “นายDominic Raab” จะทำหน้าที่ “รักษาการ” แทนนายกรัฐมนตรีในขณะนี้ก็ตาม...
คือแม้ตัวเลขจำนวนผู้ติดเชื้อ ผู้ตายจากการออกฤทธิ์ ออกเดช ของเชื้อไวรัส “COVID-19” ช่วงล่าสุด อาจเริ่มออกอาการ “ทรงๆ” หรือเริ่มดูดีขึ้นมามั่ง ไม่ว่าในบ้านเรา ยุโรป หรือแม้แต่อเมริกาที่ตายกันเป็นเบือ ติดเชื้อกันเป็นล้านๆ ตายไปเป็นหมื่นๆ น่าจะเริ่มซาๆ ลงไปตามสมควร แต่ดังที่บทบรรณาธิการของสื่อทางการจีน อย่าง “Global times” เขาได้สรุปเอาไว้เมื่อช่วงจันทร์ที่ผ่านมานั่นแหละว่า น่าจะเป็นเพียงแค่ “จุดเริ่มต้นแห่งการท้าทาย” (Challenge only beginning as storms lie ahead) เพราะพายุลูกใหญ่ๆ หรือเพราะผลกระทบ ผลข้างเคียงจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสตัวนี้ มันยังมีอีกเยอะ ไม่ว่าในทางเศรษฐกิจ การเมือง การผลิต หรือแม้แต่ “ค่านิยมทางสังคม” ก็ตามที...
เฉพาะแค่เรื่อง “ผลกระทบทางเศรษฐกิจ” เพียงอย่างเดียว...ก็เหนื่อยแล้ว!!! เหนื่อยกันไปทั้งโลก หรือแทบทุกๆ ประเทศนั่นแหละ ไม่ว่าประเทศรวย ประเทศจน ประเทศพัฒนาแล้ว หรือกำลังพัฒนา ระดับ “หัวขบวนทุนนิยมโลก” อย่างคุณพ่ออเมริกา ที่เจอเข้ากับตัวเลขคนว่างงานกระโดดพรวดๆ พราดๆ ขึ้นไปถึง 30 เปอร์เซ็นต์ สูงที่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกา หรือสูงซะยิ่งกว่ายุค “The Great Depression” ที่ตัวเลขยังอยู่แค่ 24 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นเอง ตลาดหุ้นอเมริกาสูญเงินไปเป็นล้านล้านดอลลาร์ ร่วงไปถึง 30 เปอร์เซ็นต์ หนักซะยิ่งกว่าช่วง “Black Monday” เมื่อ 30 กว่าปีที่แล้ว อุตสาหกรรมหลักๆของประเทศ ไม่ว่าน้ำมันและแก๊ส อุตสาหกรรมการบิน ฯลฯ มีทั้งตายไปแล้ว ไปจนถึงไม่ตายก็เลี้ยงไม่โต แม้ควักเงินอัดฉีดใส่เข้าไปนับเป็นล้านล้านดอลลาร์ แต่ก็อาจส่งผลให้เกิดภาวะเงินเฟ้อตามมา ไปจนถึงภาวะเงินดอลลาร์กลายเป็น “แบงก์กงเต๊ก” เอาง่ายๆ ฯลฯ...
ไม่ต่างอะไรไปจากยุโรปนั่นแหละ บรรดาประเทศหลักๆ ไม่ว่าเยอรมนี ฝรั่งเศส อิตาลี สเปน ฯลฯ ล้วนแล้วแต่ “เดี้ยง...กับ...เดี้ยง” ไปเป็นแถบๆ ฝรั่งเศสนั้น...ถึงขั้นที่รัฐมนตรีคลัง “นายBruno Le Maire” ต้องออกมาสารภาพกับวุฒิสภาฯ ไปเมื่อช่วงวันจันทร์ที่ผ่านมาว่า เศรษฐกิจประเทศกำลังเจอกับ “ภาวะเลวร้ายที่สุด” นับจากสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา หรือระดับ “GDP” อาจติดลบมากกว่า -2.2 เปอร์เซ็นต์เอาเลยก็ไม่แน่ ยิ่งประเทศที่ตายหนัก ตายเป็นเบือ อย่างอิตาลี ยิ่งน่าจะหนักหนาสาหัสยิ่งไปกว่านั้น เพราะขณะยังไม่ได้เจอกับเชื้อ “COVID-19” ปริมาณหนี้สินประเทศ ก็ปาเข้าไปกว่า 4 ล้านล้านดอลลาร์ จนกลายเป็นที่รังเกียจของอียูทั้งอียู ที่ไม่คิดร่วมทุกข์ ร่วมสุข ร่วมแบกหนี้ของชาวอิตาลีไว้เป็นภาระของตัว และช่วงระหว่างเชื้อไวรัสบุกอิตาลี อียูทั้งอียู...ก็ดันพึ่งไม่ได้ขึ้นมาซะอีก ไม่ว่าจะขอความช่วยเหลือแบบไหน อย่างไร ดันหูหนวก หรือดันฟังแล้วไม่ได้ยิน มีแต่จีนกับรัสเซียเท่านั้น ที่ยังหูดี หรือยังพอมีน้ำใจ ดังนั้น...นอกเหนือจากเรื่องเศรษฐกิจ มันคงหนีไม่พ้นต้องมีเรื่องการเมือง หรือเรื่องภูมิรัฐศาสตร์ทางการเมือง เรื่องความเป็นเอกภาพ ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของอียู ตามมาติดๆอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้...
โอกาสที่อียูทั้งอียู...จะพังครืนลงไปต่อหน้า-ต่อตา นับจากนี้เป็นต้นไป ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เอาเลย!!! หรือทำให้ความพยายาม “พึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน” (Interdependence) อันเป็นคุณลักษณะ หรือคุณสมบัติสำคัญของโลกยุคโลกาภิวัตน์ อาจต้องถูกแปรสภาพกลับไปเป็น “การเป็นอิสระจากกันและกัน” (Independence) อย่างมิอาจปฏิเสธ โดยเฉพาะเมื่อเชื้อไวรัส “COVID-19” มันได้ “กระชากหน้ากาก” ของแต่ละประเทศ ให้เห็นถึงลักษณะอาการแบบ “ตัวใคร-ตัวมัน” ไปด้วยกันทั้งสิ้น โดยเห็นได้ชัดเจนเอามากๆ หลังจากที่สิ่งที่เรียกกันว่า “ห่วงโซ่อุปทาน” หรือ “Supply Chains” ถูกฉีกกระชากให้หลุดออกมาเป็นชิ้นๆ จากห่วงโซที่เคยถูกแยกย้ายไปร้อยเรียงอยู่ในประเทศใดๆ พื้นที่ใดๆ หรือแหล่งใดๆ ที่มี “แรงงานราคาถูก” แล้วถึงค่อยนำเอาชิ้นส่วนต่างๆ มาประกอบภายในประเทศที่เป็นผู้ผลิตสินค้านั้นๆ จนอาจถือเป็น “จุดแข็ง” เอามากๆ ของโลกยุคโลกาภิวัตน์แต่ด้วยอิทธิฤทธิ์ อิทธิเดชของเชื้อ “COVID-19” นี่เอง...ที่มันได้ทำให้ “จุดแข็ง” เหล่านี้ กลับกลายเป็น “จุดอ่อน” ซะเฉยเลย!!! หรือทำให้สินค้าบางประเภท อันกำลังเป็นที่ต้องการเอามากๆ สำหรับทุกๆ ประเทศ ในช่วงที่ต้องรับมือกับเชื้อไวรัสตัวนี้ ไม่ว่าตั้งแต่หน้ากากอนามัย อุปกรณ์เครื่องมือทางการแพทย์ เครื่องช่วยหายใจ ยา และเวชภัณฑ์บางอย่าง ฯลฯ กลายเป็นสิ่งที่ต้องหาทางยื๊อแย่งถึงขั้นต้อง “ปล้น” กันชนิดกลางวันแสกๆ ถึงจะได้มาสนองความต้องการของแต่ละประเทศแบบจริงๆ จังๆ ระดับก่อให้เกิด “สงครามหน้ากาก” ไปแล้วก็ยังมี...
อย่างที่เกิดเป็นข่าวคราวเรื่องคุณพ่ออเมริกา “ปล้นหน้ากาก” จากบริษัท 3M ที่ไปตั้งโรงงานผลิตในจีน ไม่ให้ส่งไปยังฝรั่งเศสแต่ให้ส่งไปยังอเมริกากันแทนที่ ปล้นออร์เดอร์การสั่งซื้ออุปกรณ์การแพทย์ของแคนาดา บราซิล ไปจนถึงเยอรมนี หรือต้องหันไปข่มขู่บีบบังคับให้หุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ “อินโด-แปซิฟิก” อย่างอินตะระเดีย ยอมให้มีการส่งออกยา “Hydroxychloroquine” เพื่อเอามาใช้เป็นส่วนประกอบในการรักษาผู้ติดเชื้อ “COVID-19” ฯลฯ อะไรต่อมิอะไรเหล่านี้เป็นต้น หรือด้วยเหตุเพราะความเป็น “ตัวใคร-ตัวมัน” อันเป็นโฉมหน้าที่แท้จริงของแต่ละประเทศนั่นเอง ที่กำลังทำให้ความเป็น “Interdependence” อันเป็นรากฐานสำคัญของ “Globalization” หรือของโลกยุคโลกาภิวัตน์ กำลังหวนกลับไปสู่ความเป็น “Independence” หรือแบบ “ทางใครก็ทางมัน” อย่างมิอาจปฏิเสธได้เลย...
และนั่นเอง...ที่ทำให้ “จุดเริ่มต้นแห่งการท้าทาย” ที่จะตามมาหลังจากนั้น ไม่ว่าเชื้อไวรัส “COVID-19” จะหมดสภาพ หมดฤทธิ์ หมดเดช ลงไปในเมื่อไหร่ ตอนไหน ยังคงมีอยู่อีกชนิดเยอะแยะตาแป๊ะไก๋ ไม่ว่าในแง่ภูมิรัฐศาสตร์ทางการเมือง เศรษฐกิจ ค่านิยมทางสังคม ฯลฯ อันจะไปประมาท หรือดูเบาไม่ได้เป็นเด็ดขาด เพราะมันอาจนำมาซึ่ง “การเปลี่ยนแปลง” ไม่ว่าในระดับโลก หรือระดับภายในแต่ละประเทศ ชนิดพลิกฟ้า-คว่ำดิน หรือระดับถึงราก ถึงโคนได้ไม่ยากส์ส์ส์...