ผู้จัดการ สุดสัปดาห์ - หลังมะงุมมะงาหรามาหลายเพลา “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ก็ถึงเวลาต้องตัดสินใจขั้นเด็ดขาดด้วยการประกาศใช้ “พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน” เพื่อแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เพราะทำท่าว่าจะ “เอาไม่อยู่” หลังตัวเลข “ผู้ติดเชื้อ” เพิ่มแบบก้าวกระโดด
ทั้งนี้ ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินครอบคลุมทั่วราชอาณาจักรไทย โดยมีกำหนดตั้งแต่ 26 มี.ค. 63 ถึงวันที่ 30 เม.ย. 63
อย่างไรก็ดี ถ้าวิเคราะห์ประเด็นสำคัญของการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ จะเห็นชัดเจนว่าเป็น “การยึดอำนาจจากพรรคร่วมรัฐบาล” มารวมศูนย์ไว้ที่ “นายกรัฐมนตรี” เพียงคนเดียว จากนั้นจะสั่งการตรงไปที่ “ปลัดกระทรวง” ในสายงานต่างๆ
โดยยกระดับ “ศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19” ให้เป็น “หน่วยงานพิเศษ” เพื่อบูรณาการหน่วยงานราชการ ให้รวมศูนย์ไว้ที่เดียว ให้เกิดการสั่งการอย่างเป็นเอกภาพ
“เนื่องจากในสถานการณ์วิกฤตเช่นนี้ จำเป็นต้องรวมศูนย์สั่งการไว้ที่เดียว เพื่อกำหนดแนวทางที่ชัดเจน และขจัดปัญหาการทำงานแบบ ต่างคนต่างทำของหน่วยงานต่างๆ โดยมีผมเป็นประธาน” นายกฯ ลุงตู่ให้เหตุผลเอาไว้อย่างชัดเจน
ความจริง “ไม่น่าแปลกใจ” ที่เป็นเช่นนี้ เพราะที่ผ่านมาเห็นได้ชัดเจนว่า มีปัญหาขาดเอกภาพในการทำงาน เพราะแต่ละกระทรวง เจ้ากระทรวงต่างพากันสร้างผลงานเพื่อแย่งชิงคะแนนเสียงทางการเมือง แถมยังมีปัญหาให้ พล.อ.ประยุทธ์ต้องมาตามล้างตามเช็ดอยู่เป็นประจำตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดก็คือ “กระทรวงพาณิชย์” ที่มี “นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์” หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เป็นรัฐมนตรีว่าการ ซึ่งจนถึงป่านนี้ปัญหาเดิมๆ อย่าง “หน้ากากอนามัย” ก็ยังหาซื้อยาก แถมมีปัญหาใหม่คือ “ไข่ไก่” ที่ดำเนินไปในร่องเดียวกันจนราคาขยับขึ้นพรวดพราด
ดังที่ มทร.อีสานโพล ออกมาเปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นจากประชาชนที่ยังคงมีปัญหาเรื่องหน้ากากอนามัยยังแพง-หายาก และพบกลุ่มตัวอย่างถึงร้อยละ 25.2 ไม่ได้ใช้หน้ากากอนามัย เนื่องจากหาซื้อไม่ได้
อย่างไรก็ดี นอกเหนือจากความไม่เป็นเอกภาพในการบริหารที่ทำให้ความเชื่อมั่นในรัฐบาลลดลงฮวบฮาบแล้ว ปัญหาใหญ่อีกปัญหาหนึ่งก็คือในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของโควิด-19 ก็คือ “กลุ่มคนที่ไร้ความรับผิดชอบต่อสังคม” ประเภทที่เรียกว่ารัฐบาลขอความร่วมมืออะไร ข้าไม่สน ยังคงใช้ชีวิตแบบเดิม
ขณะที่ผู้คนพากันระแวดระวังกักตัวอยู่ที่บ้าน แต่คนพวกนี้ยังคงใช้ชีวิตสนุกสนานเฮฮา กินเหล้ายาปลาปิ้ง แสวงหาความสำราญ มีนิสัยอวดดี ขาดความตระหนักถึงภยันตราย และไร้วินัย
คนกลุ่มนี้คือกลุ่มที่ทำให้มีการแพร่เชื้อเป็นไปอย่างรวดเร็ว
นอกจากนั้น ยังมีพวกที่ “ปกปิดข้อมูล” คือ รู้ว่าตัวเองเสี่ยงติดเชื้อ หรือสงสัยว่าตัวเองติดเชื้อ แต่เมื่อไปโรงพยาบาลกลับไม่บอกความจริง ซึ่งส่งผลทำให้ แพทย์ พยาบาล และบุคลากรทางการแพทย์ต้องพลอยฟ้าพลอยฝนติดโควิด-19 ไปแล้ว ทำให้ต้องกักตัวเองและสูญเสียบุคลากรที่จะไปช่วยเหลือคนอื่นไปอย่างน่าเสียดาย
นี่ไม่นับรวมถึงพรรคการเมืองและติ่งการเมืองทั้งหลายที่ตั้งหน้าตั้งตาจะด่าจะวิพากษ์วิจารณ์ จะคัดค้านไปหมดทุกเรื่อง เพื่อฉกฉวยสถานการณ์วิกฤตสร้างชื่อหรือสร้างคะแนนนิยมทางการเมืองให้กับตัวเอง
คนพวกนี้รวมๆ แล้วสมควรเรียกว่า “Covid Idiot”
เพราะฉะนั้น ถ้าประเทศไทยจะมีการแพร่เชื้ออย่างรวดเร็วก็คงมาจาก Covid Idiot พวกนี้
ถ้าจะใช้คำทางการเมืองยุคใหม่ว่า “รจตกทปท เพราะ #Covid Idiot” ก็คงไม่เกินเลยจากความเป็นจริงเท่าใดนัก
“ที่ผ่านมาภาครัฐเชิญชวนให้ประชาชนปฏิบัติตัวป้องกันโรคหลายอย่าง แต่ทุกคนยังใช้ชีวิตปกติ จึงทำให้ตัวเลขสูงขึ้น หลังจากนี้ถ้าเชิญชวนแล้วไม่ปฏิบัติ รณรงค์แล้วไม่ทำตัวเลขก็จะยิ่งสูงขึ้น และไม่รู้ตัวเลขจะจบตรงไหน จึงเป็นที่มาของการกำหนดมาตรการ แต่ถ้าพฤติกรรมยังไม่เปลี่ยนและตัวเลขสูงขึ้นก็จะนำไปสู่การปิดประเทศ ผลกระทบการดำเนินชีวิตของประชาชนจะสูงขึ้น ตัวเลขนับพันที่เกิดขึ้นในขณะนี้เกิดจากความหละหลวม ไม่ทำตามคำแนะนำเมื่อ 10 วันก่อน สิ่งที่จะทำวันนี้ก็จะส่งผลถึงตัวเลขผู้ติดเชื้อใน 10 วันข้างหน้า และจากการประเมินถ้าทุกคนทำตามคำแนะนำแพทย์อย่างเคร่งครัด ผู้ติดเชื้อจนถึงวันศุกร์หน้าจะอยู่ที่ 2 พันราย แต่ถ้าไม่ปรับวิธีดำเนินชีวิตตัวเลขจะสูงถึง 7,000-10,000 ราย” พล.อ.พรพิพัฒน์ เบญญศรี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.ทสส.) ในฐานะผู้รับผิดชอบด้านความมั่นคง ให้ข้อมูล
ตัวอย่างที่ชัดเจนก็คือ การที่บรรดาวัยรุ่นในหลายพื้นที่ที่แม้ “สถานบันเทิง” เช่น ผับ บาร์ ร้านเหล้า ฯลฯ จะปิดตัวลง แต่พวกเขาก็ยังคงใช้ชีวิตอยู่เหมือนเดิมด้วยการรวมตัวกันไปสังสรรค์ตามที่ต่างๆ เช่น กลุ่มวัยรุ่นภูเก็ตที่ไปรวมตัวจัดปาร์ตี้ปลายแหลมสะพานหิน หรือกลุ่มวัยรุ่นจำนวนมาก รวมตัวกันนั่งชิลริมหาดวอนนภา บางแสน จังหวัดชลบุรี เป็นต้น
ไม่นับรวมถึงกรณีผู้ป่วยโควิด-19 โดดระเบียงโรงพยาบาลจังหวัดกระบี่ เพื่อหนีกลับบ้านที่ตรัง ทำให้เจ้าหน้าที่ต้องระดมกำลังออกติดตาม โดยพบว่าหลังหลบหนีออกจากโรงพยาบาล ชายคนดังกล่าวได้โดยสารจักรยานยนต์รับจ้างจากหน้าโรงพยาบาล เดินทางไปยังสถานี บขส.กระบี่ ตำบลกระบี่ใหญ่ เมื่อถึง บขส.ได้เดินเข้าไปในอาคารผู้โดยสาร หลังจากนั้นซื้อตั๋วโดยสาร ซื้อไก่ทอด น้ำดื่ม ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจภูธรเมืองกระบี่ เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลกระบี่ เข้าควบคุมตัวไว้ได้ขณะนั่งรอรถขึ้นรถตู้โดยสาร เดินทางกลับบ้านพักที่จังหวัดตรัง
อย่างไรก็ดี ทีมสอบสวนโรค สาธารณสุขจังหวัดกระบี่ ออกติดตามบุคคลกลุ่มเสี่ยงทั้งหมดที่ใกล้ชิดกับผู้ป่วย ทั้งคนขับขี่จักรยานยนต์รับจ้างที่รับผู้ป่วยมาจากหน้าโรงพยาบาลกระบี่ คนขับรถแท็กซี่ป้ายเขียว ที่รับผู้ป่วยจาก บขส.ไปส่งยังท่าเรือ คนขับรถตู้โดยสารสายตรัง-กระบี่ หมายเลข 8 ทะเบียน 10-1790 ตรัง ที่รับผู้ป่วยมาจาก จ.ตรัง พ่อค้าแม่ค้าที่สถานี บขส.กระบี่
ต้องบอกว่า เดชะบุญที่เจอตัวเพราะถ้าเล็ดลอดไปแล้วย่อมหมายความว่าจะมีผู้รับได้เชื้อการผู้ป่วยรายนี้อีกเป็นจำนวนมาก
หรือก่อนหน้านี้ก็เป็น “สนามมวยลุมพินี” ซึ่งอยู่ภายใต้การรับผิดชอบของ “กองทัพบก” ที่การกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) ส่งหนังสือให้หยุด หรือเลื่อนการแข่งขัน แต่ก็ยังดันทุรังจัดจนกลายเป็นเคส Super Spread ที่มีผู้ติดเชื้อเป็นจำนวนมาก ซึ่งตัวเลขผู้ติดเชื้อที่กระจายออกไปยังต่างจังหวัดส่วนใหญ่ก็มาจากบรรดา “เซียนมวย” และคนที่ไปร่วมเวทีในวันนั้น
หนักไปกว่านั้นก็คือ จากข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ยังพบด้วยว่า ผู้ติดเชื้อจำนวนไม่น้อยไม่ยอมแจ้งประวัติอย่างครบถ้วน ซึ่งส่งผลทำให้เกิดการติดเชื้อในแพทย์ พยาบาลและบุคลากรทางการแพทย์หลายต่อหลายรายด้วยกัน โดยเมื่อวันที่ 26 มีนาคมที่ผ่านมา สธ.รายงานว่า มีบุคลากรทางการแพทย์ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 สะสม รวม 9 ราย โดย 4 รายเป็นบุคลากรทางการแพทย์ 4 ราย ของ จ.ภูเก็ต, ยะลา, บุรีรัมย์ และ นครปฐม โดยติดเชื้อโควิด-19 จากผู้ป่วยที่ไม่ยอมแจ้งประวัติเสี่ยง
พญ.ศุภลักษณ์ ละอองเพชร รองผู้อำนวยการ (ฝ่ายการแพทย์) โรงพยาบาลวชิระภูเก็ต กล่าวว่า บุคลากรทางการแพทย์ที่พบติดเชื้อโควิด-19 เป็นพยาบาล ปฏิบัติงานเวชกรรมระบาด โรงพยาบาลวชิระภูเก็ต อายุ 35 ปี ไม่มีประวัติเดินทางไปต่างประเทศ แต่มีประวัติสัมผัสกลุ่มเสี่ยงจำนวนมาก
หรือที่จังหวัดตรังก็พบแพทย์ประจำโรงพยาบาลตรัง ติดเชื้อจากการเข้าไปทำการผ่าตัดผู้ป่วยร่วมกับทีมแพทย์คนอื่นอีก 15 คน เป็นต้น
อย่างไรก็ดี ไม่ใช่แค่ประเทศไทย ในหลายประเทศก็เป็นไปในทำนองนี้ อย่างที่ออสเตรเลียที่รัฐบาลต้องตัดสินใจล็อกดาวน์ปิดผับ สโมสร โรงยิม และศาสนสถานต่างๆ หลังพบว่าประชาชนจำนวนมากไม่ใส่ใจคำเตือนให้เว้นระยะห่างทางสังคม (social distancing) และยังคงไปเที่ยวเตร่ตามชายหาด บาร์ และร้านอาหาร ขณะที่ตัวเลขผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา สายพันธุ์ใหม่ในแดนจิงโจ้พุ่งกว่า 1,300 ราย
หรือ “อิตาลี” ที่มีรายงานว่าแม้อยู่ระหว่างการล็อกดาวน์ทั่วประเทศ แต่ว่ายังไม่อาจลดการระบาดของไวรัสดังกล่าว ด้วยประชาชนยังคงใช้ชีวิตปกติ เดินไปเดินมากันทั่วเมือง ใช้ระบบขนส่งสาธารณะ กินอาหารในโรงแรม และไม่สวมหน้ากากอนามัย
“มันคล้ายกับประกาศในช่วงสงคราม เพราะเรากำลังเผชิญสงครามอย่างแท้จริง... ตอนนี้ผมอยากขอร้องให้พวกคุณอยู่บ้าน! ไม่เข้าใจเหรอว่าคนกำลังจะตาย? มีคนตายตั้งวันละ 400 คนนะ!” มัสสิมิเลียโน เพรสจุตติ นายกเทศมนตรีเมืองกูอัลโดตาดิโน (Gualdo Tadino) โพสต์คลิปวิดีโอลงเฟซบุ๊กระบายความในใจ
เพราะฉะนั้น ประเทศไทยจึงจำเป็นต้องใช้ “ยาแรง” ทั่วประเทศ เพื่อควบคุมจัดการกับพวก Covid Idiot ซึ่งแม้มาตรการที่ออกมาตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินแม้จะยังไม่ “ขั้นสุด” แต่ก็ต้องบอกว่า “กระชับพื้นที่” ได้เป็นอย่างดี กล่าวคือแม้จะยังไม่ “ประกาศเคอร์ฟิว” แต่ก็ห้ามต่างชาติเข้าประเทศ แม้จะไม่ล็อกดาวน์หรือไม่ “ปิดเมือง” แต่มีด่านตรวจ จุดสกัด คัดกรองเข้ม เพื่อลดหรือชะลอการเดินทางข้ามจังหวัด
ขณะเดียวกันก็มีคำแนะนำให้กลุ่มเสี่ยงอยู่ในที่พำนัก ได้แก่ ผู้สูงอายุตั้งแต่ 70 ปีขึ้นไป ผู้มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ความดันสูง หลอดเลือดหัวใจและสมอง ระบบทางเดินหายใจ ภูมิคุ้มกันต่ำ และเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 5 ปี
ที่สำคัญคือด้วยความเข้มแข็งของ “อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.)” และฝ่ายปกครองที่รู้ทุกซอกทุกมุมของหมู่บ้าน จะช่วยยับยั้งการแพร่ระบาดให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
สุดท้ายและที่สุดคือต้องไม่ลืมว่า การที่จีน เกาหลีใต้ หรือประเทศที่สามารถควบคุมโควิด-19 ได้สำเร็จ เป็นเพราะทำตามมาตรการอย่างเคร่งครัด เช่น การรักษาระยะห่าง 1-2 เมตรขึ้นไป การล้างมือ และใส่หน้ากากอนามัย คนป่วยแยกอยู่บ้าน ไม่เช่นนั้นแล้วตัวเลขผู้ติดเชื้อในประเทศไทยจะขยับตัวสูงขึ้นตามประมาณการณ์ขั้นสุดว่าหลังวันที่ 15 เมษายน จะมีผู้ป่วยโควิด-19 ถึง 350,000 ราย
“ถึงเวลาที่เราต้องบังคับกัน ผมเห็นหลายวันที่ผ่านมา มีบางคนดื้อแพ่ง ไม่สนใจ ไม่แคร์ จับกลุ่มกันกินเหล้า อันนี้ อันตรายมาก จึงต้องเบรกคนกลุ่มสุดท้ายกลุ่มนี้ เพราะเราได้มีการปิดสถานบริการต่างๆไปแล้ว แต่ก็ยังเหลือกลุ่มที่ดื้อแพ่ง ที่ไม่มีความจำเป็นต้องออกมานอกบ้าน แต่คนพวกนี้ก็ไปรวมตัวที่อื่น พ.ร.ก.ต้องการการจัดการกับคนกลุ่มนี้” นพ.ทวี โชติพิทยสุนนท์ ผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ กล่าว
เพราะฉะนั้นต้องร่วมไม้ร่วมมือกัน “อยู่บ้านเพื่อชาติ” และ “อยู่บ้านเพื่อหมอ” เพราะหากจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มมากขึ้นทบเท่าทวีคุณ คนที่จะต้องทำงานหนักก็คือ “บุคลากรทางการแพทย์”
นอกจากนี้ เมื่อบุคลากรทางการแพทย์ต้องทุ่มเทเวลาไปดูแลรักษาผู้ป่วยโควิด-19 ก็ยังส่งผลทำให้ “ผู้ป่วยอื่นๆ” ที่รอการรักษาต้องเสียโอกาสอันนั้นไป รวมทั้งการที่บุคลากรทางการแพทย์ติดเชื้อ 1 คน ย่อมหมายถึงความสุ่มเสี่ยงที่จะเกิดต่อผู้ป่วยในโรงพยาลและบุคลากรทางการแพทย์อื่นๆ ซึ่งจะส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ไปในทุกมิติ
“ผมต้องกราบเท้าประชาชน ผมไม่ใช่คนใหญ่คนโตอะไร คือถ้าตัวเลขผู้ติดเชื้อในวันที่ 15 เม.ย. ถึง 350,000 คน ผมก็ต้องแสดงความรับผิดชอบเพราะผมเป็นคนพูดกับพี่น้องประชาชนทุกวัน อธิบายให้แก่พี่น้องประชาชนทุกวัน สร้างความเข้าใจทุกวัน แต่หากพี่น้องประชาชนทำตามไม่ได้ ผมต้องกราบเรียนและความสงสารเมตตา หมอทุกคนก็เหนื่อยมากนะ เราไม่อยากออกมาตรการแรงๆ เพราะคนส่วนใหญ่เป็นคนดี” นพ.รุ่งเรือง กิจผาติ โฆษกกระทรวงสาธารณสุข วิงวอนประชาชนคนไทยทุกคน
ส่วนบรรดา “โควิดอีเดียต” ที่ยังคงดื้อด้าน คงไม่มีอะไรดีไปกว่าการใช้กฎหมายจัดการให้เด็ดขาด เพราะไม่เช่นนั้น #รจตกทปท เพราะพวก Covid Idiot เหล่านี้อย่างแน่นอน.