วันนี้...ลองเปลี่ยนอารมณ์ เปลี่ยนบรรยากาศ ด้วยการแวะไปดู “พันธมิตรอันศักดิ์สิทธิ์” ของคุณพ่ออเมริกา อย่างประเทศอิสราเอลเขาดูสักหน่อย เพราะแม้ว่าภายใต้สภาวะที่ใครต่อใครยังคงต้อง “หูแหก-ตาแหก” กับการออกอาละวาดของเชื้อไวรัส “COVID-19” อยู่เช่นเดิมก็ตาม หรือแม้ว่าประเทศลูกหลานกษัตริย์ “ดาวิด” และ “โซโลมอน” แห่งนี้ เขาจะมีจำนวนผู้ติดเชื้อ “COVID-19” อยู่แค่ประมาณ 200 ราย และยังไม่มีรายใดที่ต้องเด๊ดสะมอเร่ อิน เดอะ เท่งทึง ลงไปเลยแม้แต่น้อย แต่เรื่องของเชื้อไวรัส “COVID-19” ตัวนี้ ก็ออกจะก่อให้เกิดฉากสถานกาณ์แบบ “พิลึกกึกกือ” ที่น่าคิด น่าสะกิดใจอยู่ไม่น้อย สำหรับประเทศอิสราเอล อันถือเป็นจุด “ไฮไลต์” ของการเมืองระดับโลกมาโดยตลอด...
คืออันที่จริง...นับตั้งแต่ปลายเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา บรรดาชาวโลกจำนวนมิใช่น้อย ที่กำลังปวดเศียรเวียนเกล้า หรือกำลัง “หูแหก-ตาแหก” ต่อการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส “COVID-19” ก็น่าจะรู้สึกตื่นเต้ลล์ล์ล์ ยินดีอยู่พอประมาณ เมื่อได้รับทราบข่าวคราวที่มีการแถลงและเผยแพร่อย่างเป็นทางการ โดยรัฐมนตรีกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของอิสราเอล “นายOfir Akunis” ที่ป่าวประกาศเอาไว้ว่า ประเทศอิสราเอล โดยสถาบัน “MIGAL” แห่งกาลิลี ได้ประสบความสำเร็จในการประดิษฐ์คิดค้น “วัคซีน” ที่สามารถปราบเชื้อไวรัส “COVID-19” ได้แล้ว โดยจะใช้เวลาผลิตและตรวจสอบอีกแค่ไม่กี่สัปดาห์ ก็สามารถนำมาจำหน่ายจ่ายแจก ให้กับใครต่อใครได้ภายในช่วงระยะเวลา ไม่เกิน 90 วัน นับจากนี้...
โดยได้อ้างเอาไว้ด้วยว่า...ด้วยเหตุที่นักวิทยาศาสตร์อิสราเอล ได้เฝ้าติดตาม ตรวจสอบ สังเกตและทดลองต่อเชื้อไวรัสบางชนิดที่เรียกย่อๆ ว่า “IBV” (Avian Infectious Bronchitis Virus) หรือถ้าเรียกแบบไทยๆ ก็อาจประมาณ “ไข้หวัดไก่” หรือ “โรคหลอดลมอักเสบจากไก่” อะไรทำนองนั้น มาเป็นระยะเวลาไม่ต่ำกว่า 4 ปี อันเป็นเชื้อไวรัสที่มีความคล้ายคลึงกับไวรัสอย่าง “COVID-19” เป็นอย่างยิ่ง ดังนั้น...ไม่ว่าจะเป็น “ทหารอเมริกัน” ที่เดินทางไปแข่งกีฬากองทัพบกที่เมืองอู่ฮั่น เมื่อปีที่แล้ว จะเป็นผู้นำเอาเชื้อโรคชนิดนี้ไปปล่อยในเมืองจีน หรือเป็นเพราะนักวิทยาศาสตร์จีน ที่ขโมยเชื้อชนิดนี้มาจากห้องแล็บในแคนาดา แล้วดันมาทำหลุดมือ หลุดจากห้องทดลองไปสู่ตลาดอาหารทะเลในเมืองอู่ฮั่น หรือเป็นเพราะ “งู” ในเมืองอู่ฮั่น ดันไปรับประทาน “ค้างคาว” กันตามธรรมชาติโดยปกติ แล้วถ่ายเชื้อโรคชนิดไปสู่บรรดาชาวจีนที่รับประทานงูเป็นอาหารเปิบพิสดาร ฯลฯ ก็ตามที แต่โดยท้ายที่สุดแล้ว “วัคซีน” จากห้องแล็บ “MIGAL” แห่งกาลิลีนั้น ก็สามารถ “เอาอยู่” ไปด้วยกันทั้งสิ้น...
แต่แทนที่ลูกหลานกษัตริย์ “ดาวิด” และ “โซโลมอน” จะเร่งปั๊ม “วัคซีน” ชนิดนี้ ออกมาช่วยเหลือชาวโลกที่เด๊ดสะมอเร่ อิน เดอะ เท่งทึงไปแล้วประมาณ 6,000 ราย ติดเชื้อไปแล้วเกือบ 200,000 ราย ด้วยเชื้อไวรัสตัวนี้ อีกทั้งกำลังหูแหก-ตาแหกชนิดแทบไม่ต่างอะไรไปจากต้องเจอกับ “วันสิ้นโลก” ตามคำทำนายของพระคัมภีร์ไบเบิล หรือคัมภีร์โตราห์ ก็แล้วแต่ รัฐบาลอิสราเอลภายใต้การนำ หรือการรักษาการของนายกรัฐมนตรี “เบนจามิน เนทันยาฮู” กลับหันมานำเอาการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสตัวนี้ มาใช้เป็นเหตุผลและข้ออ้าง ในการยืดเวลาเพื่อไม่ให้นายกรัฐมนตรีต้องเดินทางไปขึ้นศาล ในคดี “คอร์รัปชัน” ที่ถูกอัยการของรัฐตั้งข้อกล่าวหาไว้ถึง 3 เรื่อง 3 ประเด็นด้วยกัน ไปอีกประมาณ 2 เดือนเป็นอย่างน้อย หรือจากที่ต้องถูกดำเนินคดีตั้งแต่ช่วงวันอังคาร (17 มี.ค.) ที่ผ่านมา ยืดออกไปเป็นประมาณปลายเดือนพฤษภาฯ (24 พ.ค.) โน่นเลย อันส่งผลให้นายกรัฐมนตรี อย่าง “นายเนทันยาฮู” ยังพอมีเวลาเตะถ่วง มีเวลาเล่นการเมืองแบบซิกๆแซกๆ กับฝ่ายค้าน เพื่อหาทางจัดตั้งรัฐบาลโดยมีตัวเอง กลับมาเป็น “นายกรัฐมนตรี” ได้ดังเดิม...
คืออย่างที่ทราบๆ กันไปแล้วนั่นแหละว่า...การเมืองอิสราเอลนั้น ต้องตกอยู่ในสภาพ “เด๊ดล็อก” มาแล้ว ไม่รู้จะต่อกี่ครั้ง กี่หน ต้องจัดให้มีการเลือกตั้งทั่วไป มาแล้วถึง 3 ครั้งด้วยกัน อันเนื่องมาจากไม่มีพรรคการเมือง พรรคหนึ่ง พรรคใด สามารถรวบรวมเสียงข้างมากในรัฐสภาได้ถึง 61 เสียง จากจำนวนเสียงทั้งหมด 120 เสียงในสภา “Knesset” แม้จะหันไปอาศัยพันธมิตรอย่างคุณพ่ออเมริกา มาช่วยสร้าง “จุดขาย” เพื่อหาเสียง หาคะแนนนิยมกันเพียงไรก็แล้วแต่ เช่น การยกกรุงเยรูซาเล็มให้เป็นเมืองหลวงของอิสราเอล การยึดที่ราบสูงโกลันของซีเรียมาเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักร การยึดพื้นที่หลบลี้หนีภัยของชาวปาเลสไตน์ในเขตฉนวนกาซามาเป็นของตัว หลังจากที่ยึดประเทศทั้งประเทศมาแล้วก่อนหน้านี้ ฯลฯ แต่อะไรต่อมิอะไรเหล่านี้ ก็ยังมิอาจช่วยให้ผู้นำอิสราเอลอย่าง “นายเนทันยาฮู” ผู้ซี้แหง ย่ำปึ่ก กับผู้นำอเมริกาอย่าง “ทรัมป์บ้า” แบบชนิด “ผีเน่ากับโลงผุ” สามารถรวบรวมเสียงข้างมาก แล้วจัดตั้งรัฐบาลอิสราเอลอย่างเป็นตัว เป็นตน หรืออย่างเป็นทางการได้เลย...
มิหนำซ้ำช่วงล่าสุด...บรรดาพรรคฝ่ายค้านที่นำโดยนายพล “เบนนี แกนตซ์” (Benny Gantz) แห่งพรรค “ฟ้า-ขาว” หรือพรรค “Blue and White” ที่แม้ว่าจะได้รับเลือกตั้งมาน้อยกว่า พรรค “ลิคุด” ของ “นายเนทันยาฮู” แค่ไม่กี่เก้าอี้ กลับสามารถรวบรวมบรรดาผู้ที่ “ไม่เอาบิ๊กตู่” ...ประทานโทษ ผู้ที่ “ไม่เอาเนทันยาฮู” ได้รวมแล้วเป็นจำนวนถึง 61 เก้าอี้ในสภาฯ ไม่ว่าจากบรรดาพวกพรรคพันธมิตรอาหรับ (Joint List of Arab) อันถือเป็นตัวแทนของบรรดาชาวอาหรับที่อาศัยอยู่ในประเทศอิสราเอล หรือจากพรรคประเภท “ฝ่ายค้านอิสระ” อย่างพรรค “Yisrael Beitenu” ของอดีตรัฐมนตรีกลาโหม “เอวิกดอร์ ลีเบอร์แมน” เพียงแต่ว่าในบรรดา 61 เก้าอี้ที่ “ไม่คิดจะเอาเนทันยาฮู” นั้น อาจยังไม่สามารถ “เอากันเอง” ได้อย่างลงร่อง ลงตัวมากมายสักเท่าไหร่ หรือยังมีรอยแยก รอยแตกระหว่างพรรค ระหว่างตัวบุคคล แบบคล้ายๆ ยังมี “เทพไท เสนพงศ์” ในพรรคประชาธิกัด อะไรทำนองนั้น...
ภายใต้สภาพเช่นนี้นี่เอง...เลยทำให้สถานะความเป็นนายกรัฐมนตรี ของ “นายเนทันยาฮู” จึงเป็นไปในแบบที่สำนักข่าวรัสเซีย ทูเดย์ เขาได้สรุปไว้ในข่าวพาดหัวนั่นแหละว่า “Save by Virus” หรือเกิดความอยู่รอดปลอดภัยไปอีกสักพักใหญ่ๆ ก็ด้วยการอาศัยเหตุผลในเรื่อง “COVID-19” นั่นแหละเป็นข้ออ้าง คือนอกจากอาศัยการ “ประกาศภาวะฉุกเฉิน” เพื่อรับมือกับโรคระบาดโดยรัฐมนตรียุติธรรม ทำให้ไม่ต้องขึ้นโรง ขึ้นศาล ไปอีก 2 เดือนนับจากนี้ แถมยังมีเวลาพอที่จะหาช่อง หาทาง แยกสลายบรรดาพันธมิตรฝ่ายค้าน ไม่ให้มีโอกาสรวมกันได้ติด แม้ว่าภายใต้ความเป็น “รัฐบาลรักษาการ” ของตัวเอง จะทำให้ไม่มีโอกาสผ่านงบประมาณ หรือสามารถนำเอาเม็ดเงินงบประมาณออกมาสู้รบ ปรบมือ กับเชื้อไวรัส “COVID-19” ได้เลยแม้แต่น้อย แต่ก็นั่นแหละ...ในเมื่อความอยู่รอดปลอดภัยของ “ตัวกู-ของกู” ย่อมต้องสำคัญกว่าชะตากรรมของบรรดาชาวอิสราเอลเป็นไหนๆ ยิ่งถ้าเป็นบรรดาชาวโลกด้วยแล้ว ก็คงไม่น่าแปลกใจ...ว่าเหตุใด “วัคซีน” ป้องกันเชื้อ “COVID-19” โดยนักวิทยาศาสตร์อิสราเอล มันถึงไม่ได้ถูกนำมาจำหน่ายจ่ายแจก อย่างที่เคยคุยโม้ คุยโตเอาไว้ก่อนล่วงหน้า กันสักกะที...