xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

ฝันที่(ไม่)กล้าฝัน ตั้งเป้า 5 ปี ดันไทยฮับ EV นำร่อง “วินมอไซค์ไฟฟ้า” 5.3 หมื่นคัน

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - รถยนต์พลังงานไฟฟ้า หรือ อีวี (EV) ในประเทศไทย ปัจจุบันยังมีราคาค่อนข้างสูงจึงยังไม่บูมในตลาดเมืองไทยเท่าใดนัก แต่ต้องยอมรับว่าเป็นที่นิยมขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากใช้พลังงานสะอาดจากธรรมชาติ เป็นมิตรสิ่งแวดล้อม บวกกับสถานการณ์ฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ยิ่งทำให้รถอีวีที่ไม่สร้างมลพิษทางอากาศเข้ามาเป็นตัวเลือกของผู้คนในยุคนนี้มากขึ้น

สถานการณ์รถพลังงานไฟฟ้าในรอบปีที่ผ่านมา ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า มีจำนวนรถยนต์ไฟฟ้าราว 5 ล้านคันทั่วโลก หรือคิดเป็นสัดส่วน 0.4% จากรถยนต์ทั่วโลก โดยประเทศที่มียอดขายรถยนต์ไฟฟ้าสูงที่สุด คือ จีน ครองสัดส่วน 55% รองลงมา คือ สหรัฐฯ มีสัดส่วน 18% ของยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลก

ขณะที่ในประเทศไทย มีรถยนต์ไฟฟ้าเฉพาะรถยนต์นั่งส่วนบุคคลประมาณ 120,000 คัน คิดเป็นสัดส่วนเพียง 1.2% ของจำนวนรถยนต์นั่งส่วนบุคคลทั่วประเทศ ซึ่งเป็นผลจากการสนับสนุนจากภาครัฐ เช่น การยกเว้นภาษีรถอีวี 0% การสนับสนุนการลงทุน โดยคาดการณ์ว่าในปี 2579 จะทำให้ประเทศไทยมีรถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นเป็นราว 1.2 ล้านคัน มีสถานีชาร์จไฟฟ้า 690 สถานีทั่วประเทศ

อย่างไรก็ดี มีการแต่งตั้ง “คณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้า” แห่งชาติรวม 19 คน โดยมี นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี กำกับในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ (บอร์ดยานยนต์ไฟฟ้า หรือ บอร์ดอีวี)

โดย บอร์ดอีวี ทำหน้าที่กำหนดทิศทางและเป้าหมาย ติดตามประเมินผลการดำเนินงานขับเคลื่อนแผนงานให้เป็นไปตามแผนงานที่กำหนด เพื่อให้นโยบาย เกิดผลทางปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม เพราะบอร์ดฯ มาจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องทั้งด้านการผลิต การลงทุน การกำหนดสิทธิประโยชน์ต่างๆ เพื่อจูงใจด้านการทำตลาด เรื่องสถานีชาร์จไฟฟ้าตามปั๊มน้ำมัน เพราะเมื่อทำให้ผู้ประกอบการมีแรงจูงใจผลิตอีวีมากขึ้น ราคาก็จะถูกลง ประชาชนจะหันมาใช้รถยนต์อีวีเพิ่มขึ้น

นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานบอร์ดอีวี ตั้งเป้าประเทศไทยก้าวสู่การเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้า หรือ อีวี ให้ได้ภายใน 5 ปีนับจากนี้ โดยเปิดเผยถึงยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนไปสู่เป้าหมายว่า ภายใต้ความร่วมมือของ กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงพลังงาน และกระทรวงคมนาคม ร่วมหารือทุกส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อนำพาไทยสู่ฮับอีวี โดยเฉพาะการส่งเสริมการใช้ในระยะเร่งด่วน ได้แก่ การใช้รถอีวีในหน่วยงานราชการ และรัฐวิสาหกิจ, Smart City Bus และรถจักรยานยนต์รับจ้างสาธารณะไฟฟ้า เพื่อลดมลพิษ (วินสะอาด)

"เป้าหมายคือเราต้องก้าวไปสู่ฮับในภูมิภาคอาเซียน แต่ตัวเลขแต่ละส่วนว่าจะเป็นอย่างไรนั้นไม่ใช่สิ่งสำคัญเพราะถ้ามาเร็วตัวเลขมันก็จะต้องเปลี่ยนอยู่แล้ว ขอให้ไปลดอุปสรรคต่างๆ และสร้างตลาดเบื้องต้นก่อนทั้งดีมานด์รถ สถานีชาร์จ ทุกอย่างต้องมาด้วยกัน สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) จะต้องไปดูมาตรการสนับสนุนว่าจะทำอย่างไรให้เกิดขึ้นเร็วจะต้องเพิ่มสิทธิประโยชน์ในส่วนใดได้บ้างทั้งรถยนต์และแบตเตอรี่" นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี และประธานบอร์ดอีวี กล่าว

ในส่วนสถานีชาร์จไฟฟ้ารถอีวี (EV Charging Stations) บอร์ดยานยนต์ไฟฟ้าได้มอบหมายให้ บมจ.ปตท. และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ร่วมมือกันพัฒนาเพื่อกระจายให้มากขึ้น โดยไม่ใช่เป็นการไปแข่งขันกันเอง ซึ่งทางบีโอไอควรจะมาพิจารณามาตรการส่งเสริมฯ ในส่วนนี้ เพื่อให้มีโครงสร้างพื้นฐานรองรับโดยระยะห่างของสถานีชาร์จควรจะอยู่ในรัศมีไม่เกิน 200 กิโลเมตร (กม.)

โดยก่อนหน้านี้ มีการจัดสร้างศูนย์ทดสอบแบตเตอรี่ยานยนต์ไฟฟ้าแห่งแรกของอาเซียน ซึ่งสถาบันยานยนต์ได้จับมือร่วมกับ บริษัท ทูฟ ซูด (ประเทศไทย) จำกัด บริษัทที่มีประสบการณ์และมีความเชี่ยวชาญในการทดสอบแบตเตอรี่ระดับโลกในการดำเนินการ โดยใช้ งบประมาณลงทุนเบื้องต้น 300 ล้านบาท บนพื้นที่กว่า 3,000 ตารางเมตร โดยตั้งอยู่ภายในบริเวณพื้นที่เดียวกับศูนย์ทดสอบยานยนต์และยางล้อแห่งชาติ อ.สนามชัยเขต จ.ฉะเชิงเทรา ตลอดจนมีการการพัฒนาบุคลากร สถาบันยานยนต์ได้จัดตั้งศูนย์การเรียนรู้เทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อการพัฒนา อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า เพื่อศึกษาและถ่ายทอดข้อมูล และองค์ความรู้เกี่ยวกับ ยานยนต์สมัยใหม่ โดยคาดว่าศูนย์ทดสอบนี้จะเปิดให้บริการในปี 2563

นอกจากนี้ กรมสรรพสามิตเตรียมเสนอร่าง พ.ร.บ.กองทุนส่งเสริมและพัฒนายานยนต์ไฟฟ้า ในปี 2563 เพื่อบริหารระบบในการกำจัดแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า (EV) เนื่องจากแบตเตอรี่รถยนต์ดังกล่าวเป็นแบบลิเธียมไอออน, นิกเกิล เป็นต้น ไม่สามารถรีไซเคิลได้เหมือนกับแบตเตอรี่รถยนต์แบบตะกั่วกรด

สำหรับ รูปแบบ พ.ร.บ.กองทุนส่งเสริมและพัฒนารถยนต์ EV จะกำหนดให้ผู้ที่ซื้อรถยนต์ EV ทุกคันในประเทศต้องจ่ายค่าธรรมเนียมแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าลูกละไม่เกิน 1,000 บาทต่อยูนิต โดยจะนำเงินจำนวนดังกล่าวไปเข้ากองทุนเพื่อเป็นเงินหมุนเวียนสำหรับใช้บริหารจัดการและติดตามการกำจัดแบตเตอรี่ และเมื่อแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าครบอายุการใช้งานที่กำหนดแล้ว เจ้าของรถจะต้องส่งแบตเตอรี่คืนค่ายรถยนต์ จากนั้นกองทุนส่งเสริมและพัฒนารถนต์ EV จะคืนเงิน จำนวน 1,000 บาท ให้แก่เจ้าของรถคันนั้นๆ ทั้งนี้ ค่ายรถยนต์ก็จะนำแบตเตอรี่ไปทำลายอย่างถูกต้อง เป็นการนำกลไกภาษีเข้ามาจัดการปัญหามลพิษจากแบตเตอรี่รถที่ไม่สามารถรีไซเคิลได้

ทั้งนี้ ตามยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่การเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าในปี 2573 นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า จะมีรถอีวีสัดส่วน 30% ของปริมาณผลิต 2.5 ล้านคัน หรือขั้นต่ำ 750,000 คัน ซึ่งหลายฝ่ายมองว่าถ้าอีวีมาเร็วตัวเลขเหล่านี้ย่อมเปลี่ยนแปลงได้ ดังนั้น สิ่งสำคัญคือจะต้องเร่งสร้างตลาดโดยระยะเร่งด่วนที่จะเป็นการช่วยลดภาวะมลพิษ ในส่วนของการส่งเสริมวินสะอาดซึ่งมีเป้าหมายจักรยานยนต์รับจ้างจำนวน 53,000 คันในช่วงปี 2563 - 2565 รวมถึงส่งเสริมผู้ผลิตไทย และประชาชนให้เข้าถึงรถอีวี หรือ Smart City Bus 5,000 คัน ใน 5 ปี เป็นต้น

“ที่ผ่านมา มาตรการสนับสนุนรถยนต์อีวีมีปัญหาอุปสรรคอยู่มาก โดยเฉพาะยานยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ เช่น รถยนต์สาธารณะไฟฟ้า และรถยนต์ส่วนบุคคล ที่มีราคาสูงเกินไปทำให้ประชาชนไม่สามารถเข้าถึงได้ และเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาโครงข่ายสถานีอัดประจุไฟฟ้าจึงเชื่อว่าบอร์ดชุดนี้จะช่วยทุกหน่วยงานทำงานร่วมกันผลักดันขับเคลื่อนในเรื่องนี้ให้เป็นไปตามเป้าหมาย” นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผย

ทั้งนี้ กระทรวงพลังงาน วางแนวทางการส่งเสริมพื้นที่ติดตั้งสถานีอัดประจุยานยนต์ไฟฟ้า (EV Mapping) โดยกรอบนโยบายครอบคลุมพื้นที่ชุมชน สถานีบริการน้ำมัน ห้างสรรพสินค้า อาคารพาณิชย์ อาคารสำนักงาน ถนนสายหลักระหว่างเมือง สำหรับผู้ใช้ยานยนต์ไฟฟ้าที่อาศัยอยู่ในพื้นที่นั้น หรือรองรับที่เดินทางมาจากเมืองอื่น โดยให้ภาครัฐและเอกชนสามารถยื่นขอรับการสนับสนุนจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานได้ เพื่อให้มีจำนวนสถานีเพิ่มขึ้น สร้างความเชื่อมั่นผู้ใช้รถอีวี และกระตุ้นตลาด อีวีในภาพรวม

รวมทั้ง มีการศึกษาอัตราค่าไฟฟ้าและการจัดการระบบจำหน่ายไฟฟ้าที่เหมาะสมสำหรับสถานีอัดประจุไฟฟ้าของยานยนต์ไฟฟ้า และความเป็นไปได้ในการกำหนดอัตราค่าไฟฟ้าสำหรับระบบขนส่งสาธารณะ (Mass Transit) โดยเป็นอัตราค่าไฟฟ้าแบบคงที่ตลอดทั้งวัน มีค่าเท่ากับอัตราค่าพลังงานไฟฟ้า ช่วงเวลา Off Peak ของผู้ใช้ไฟฟ้าตามโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าปัจจุบันประเภท 2.2 กิจการขนาดเล็ก อัตราตามช่วงเวลา (Time Of Use (TOU) หรือเท่ากับ 2.6369 บาทต่อหน่วย (สำหรับแรงดันไฟฟ้าน้อยกว่า 22 kV) โดยจะเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) พิจารณาต่อไป

นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า ขณะนี้ กฟผ. เตรียมที่จะนำร่องปรับมอเตอร์ไซต์รับจ้าง (วิน) มาใช้รถมอเตอร์ไซต์ไฟฟ้าหรือ อีวี นำร่องในเขตกทม.ได้ในช่วงแรก 500 คัน คาดว่าจะเริ่มได้ใน ก.ค. 2563 ซึ่งจากการศึกษาเบื้องต้นเมื่อเปรียบเทียบค่าน้ำมันที่ใช้ประมาณ 2 ลิตรระยะทาง 100 กม.ต่อวัน วินที่ใช้น้ำมันคิดเป็น 55 บาท แต่หากเปลี่ยนมาใช้รถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า ในสัดส่วนที่เท่ากัน คิดเป็นค่าไฟฟ้าเพียง 10 บาทเท่านั้น หรือสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายได้วันละประมาณ 45 บาท หรือประหยัดได้ปีละ 16,425 บาท เป็นต้น

โจทย์ใหญ่ของรัฐคือการจูงใจ รัฐต้องให้สิทธิในเรื่องภาษีอย่างเข้มข้น เพื่อจูงใจให้ผู้ประกอบการหันมาผลิตมากขึ้น เพราะราคาก็จะถูกลง ทำให้ประชาชนจะหันมาใช้รถอีวีเพิ่มขึ้น นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) แสนอแนะถึงกรณีที่จะเปลี่ยนวินมอเตอร์ไซต์มาใช้อีวี เห็นควรว่าต้องให้สิทธิประโยชน์ทั้งในเรื่องการสนับสนุนส่วนลด รวมทั้ง จัดสินเชื่ออัตราพิเศษ ที่สำคัญรัฐควรเร่งสนับสนุนให้รถสามล้อรับจ้าง หรือรถตุ๊กตุ๊ก เปลี่ยนมาเป็นรถตุ๊กตุ๊กไฟฟ้าโดยเร็ว อาจเพิ่มสิทธิประโยชน์ลดหย่อนภาษีให้กับผู้ประกอบการ เมื่อเปลี่ยนมาใช้รถไฟฟ้าทั้งหมด เป็นต้น

การผลักดันไทยสู่ศูนย์กลางผลิตยานยนต์ไฟฟ้า หรือ ฮับอีวี ภายใน 5 ปี นับเป็นเรื่องท้าทาย เพราะประเทศอินโดนีเซียและเวียดนาม ต่างชิงความเป็นผู้นำในการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าของอาเซียน แต่ยังมีหวังหากวิเคราะห์ตามคำพูดของ นายมนูญ ศิริวรรณ รองประธานเครือข่ายพัฒนาศักยภาพไทย ที่ระบุว่า ไทยมีความได้เปรียบในเรื่องการผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ ที่สามารถป้อนชิ้นส่วนรถยนต์ที่ไม่เกี่ยวข้องกับระบบไฟฟ้าได้ทันที เช่น ระบบช่วงล่าง ล้อ ยางรถยนต์ ตัวถัง และชิ้นส่วนตกแต่งภายในทั้งหมด และก็มีอุตสาหกรรมไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ที่เข้มแข็ง ที่สามารถปรับมาสู่การผลิตชิ้นส่วนในรถยนต์ไฟฟ้าได้ไม่ยาก เพียงแต่ไทยมีจุดอ่อนในเรื่องของตลาดรถยนต์ภายในประเทศที่เล็กกว่า

อย่างไรก็ดี ต้องยอมรับว่าการผลักดันประเทศไทยสู่ศูนย์กลางผลิตยานยนต์ไฟฟ้า (EV) มีแนวทางมีนโยบายชัดเจนเป็นรูปธรรมจับต้องได้มากขึ้นเรื่อยๆ ฉะนั้น การก้าวสู่ “ฮับอีวี” จะไม่ใช่แค่ฝัน?


กำลังโหลดความคิดเห็น