xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

“หน้ากากอนามัย...ที่หายไป” กับ “ขบวนการกักตุนสินค้า” และความไร้น้ำยาของ “ก.พาณิชย์ฯ”

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ขบวนรถธงฟ้าของกรมการค้าภายในที่เตรียมนำ “หน้ากากอนามัย” ไปขายตามจังหวัดต่างๆ
ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - หน้ากากอนามัยหายไปไหน?

ยังจำได้ดีว่า ไม่กี่สัปดาห์ก่อนหน้านี้ “อู๊ดด้า - นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์” รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (พณ.) หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ออกมานั่งยันนอนยันว่า หน้ากากอนามัยมีเพียงพอต่อความต้องการของประชาชน

แต่บัดนี้หน้ากากอนามัยกลายเป็นของหายาก ร้านขายยาทั่วทุกแห่งหนพร้อมใจปิดป้ายประกาศ “หน้ากากอนามัยหมด” พี่น้องประชาชนหาซื้อไม่ได้ หรือที่ยังพอมีขายก็โก่งราคาแพงหู่ฉี่ อ้างต้นทุนแพง กอบโกยกำไร หน้ากากเขียวธรรมดา ตกชิ้นละ 35 - 70 บาท

ขณะที่บรรยากาศร้านค้าขององค์การเภสัชกรรม รัฐวิสาหกิจภายใต้กระทรวงสาธารณสุข จัดจำหน่ายราคาไม่แพง 1 แพค10 ชิ้น 10 บาท มีประชาชนไปต่อคิวรอตั้งแต่ตี 5 - 6 โมงเช้าทุกวัน และไม่ใช่ว่าทุกคนได้หน้ากากอนามัยกลับบ้าน เพราะจำเป็นต้องจำกัดจำนวน กลับกันในโซเชียลฯ เฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ ชอปปี้ ลาซาด้า ฯลฯ มีประกาศเสนอขายหน้ากากอนามัยล็อตใหญ่กันเป็นหมื่นเป็นพันชิ้น

ค้าขายเกินราคาไม่อินังขังขอบต่อประกาศ พณ. ที่กำหนดให้ “หน้ากากอนามัย- เจลล้างมือ” เป็น “สินค้าควบคุม 1 ปี” หากพบกระทำผิด ขายแพงเกินราคา กักตุนสินค้า และปฏิเสธการจำหน่าย มีโทษจำคุก 7 ปี ปรับไม่เกิน 140,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ หรือหากไม่ปิดป้ายราคามีโทษ ปรับ 10,000 บาท

ยิ่งไปกว่านั้น บุคลากรทางการแพทย์ หมอ พยาบาล ฯลฯ โรงพยาบาลรัฐและเอกชนทั่วราชอาณาจักร กำลังเผชิญปัญหาขาดแคลนหน้ากากอนามัยทางการแพทย์ ทุกโรงพยาบาลต้องกำหนดโควตาการเบิกใช้ ช่วยกันประหยัดทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด

อย่างไรก็ตาม ข้อมูลเปิดเผยจากสมาคมโรงพยาบาลเอกชน ถึงวิกฤตขาดแคลนหน้ากากอนามัยในโรงพยาบาล สาเหตุส่วนหนึ่งเป็นผลพวงมาจาก การเข้ามาควบคุมของกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ หลังจากประกาศให้ “หน้ากากอนามัยเป็นสินค้าควบคุม” ทำให้โรงงานผู้ผลิตต้องจัดส่งให้กับกรมการค้าภายในเท่านั้น ไม่สามารถจำหน่ายให้กับโรงพยาบาลโดยตรง ซึ่งก็สะท้อนให้เห็นถึง “ความไร้ประสิทธิภาพ” ของกระทรวงพาณิชย์ในการบริหารจัดการชัดแจ้งขึ้นไปอีก

หน้ากากอนามัยไม่เพียงขาดแคลน แต่ยังมีการโก่งราคา และหลอกจำหน่ายสินค้าไม่ได้มาตรฐานเกิดกรณี “แจกหน้ากากอนามัยไร้คุณภาพ10,000 ชิ้น” ที่ “นายสิระ เจนจาคะ” ส.ส.กรุงเทพมหานคร พรรคพลังประชารัฐ ถูกหลอกขาย โดยคว้านซื้อมาจากช่องทางออนไลน์ ราคาชิ้นละ 14.75 บาท รวมทั้งหมด 147,500 บาท กระทั่ง มีการนำไปตรวจสอบวิเคราะห์ด้วยเทคนิค FT-IR-ATR พบว่า หน้ากากอนามัยที่นายสิระนำมาแจก เป็ นผ้าสปันบอนด์ ที่เกิดจากเส้นใยสังเคราะห์ของโพลิเมอร์ ที่เป็นพอลิโพรไพลีน (Polypropylene หรือ PP) ลักษณะทางกายภาพมีกลิ่นเหม็นพลาสติก มีขนาด 3 ชั้นแต่บางมาก ลักษณะย้อมสีฟ้าเพื่อให้ดูรู้สึกดี แตกยุ่ยได้ง่าย ซึ่งจะก่อให้เกิดฝุ่นละอองขนาดเล็กที่เรียกว่าไมโครพลาสติก หากสูดดมเข้าไปในร่างกาย มีความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็ง

รวมทั้ง หากนำไปล้างน้ำและไหลลงไปในระบบนิเวศ เช่น แม่น้ำ ลำคลอง สัตว์น้ำสัตว์ทะเลจะได้รับไมโครพลาสติกพวกนี้กลับเข้ามาสู่ระบบและมนุษย์ก็ไปกินสัตว์น้ำเหล่านี้ก็จะเข้ามาสู่ร่างกายได้เช่นกัน ในระยะยาวพลาสติกเหล่านี้ย่อยสลายได้ยากมาก และเป็นกลุ่มเสี่ยงซึ่งมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

นอกจากนี้ ยังมีการนำ “หน้ากากอนามัยใช้แล้ว” มาหลอกลวงจำหน่ายฟาดกำไรไปเต็มๆ ดังที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมให้เห็นกันจะจะที่วิหารแดง จ.สระบุรี

คำถามที่ดังอึงมี่ไปทั่วทั้งประเทศก็คือ “หน้ากากอนามัย” หายไปไหน “ใคร” คือคนที่กักตุนสินค้า และ “กระทรวงพาณิชย์” ที่อยู่ภายใต้ความรับผิดชอบของ “รัฐมนตรีอู๊ดด้า” ทำอะไรกันอยู่ เพราะมีข้อมูลอยู่ในมือหมดแล้วว่า โรงงานผลิตหน้ากากอนามัยในประเทศไทยมี 11 แห่ง และแต่ละแห่งมีกำลังการผลิตมากน้อยแค่ไหนต่อวัน

ทั้งนี้ มีการตั้งข้อสังเกตว่า วิกฤตหน้ากากอนามัยขาดแคลน “มีขบวนการกักตุนสินค้า” มี “ไอ้โม่ง” ผู้ใกล้ชิดกับรัฐบาลหรือนักการเมืองคนใดหรือพรรคไหน ไปกว้านซื้อล็อตใหญ่จากโรงงานหรือไม่?

จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (พณ.) หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์

นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยนายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการรกระทรวงการคลัง และนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม หารือร่วมกันเพื่อแก้ไขปัญหาหน้ากากอนามัยให้เพียงพอต่อความต้องการของประชาชน ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กลุ่มผู้ผลิตหน้ากากอนามัย สมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย กรมโรงงานอุตสาหกรรมฯลฯ
เพราะนับตั้งแต่ โควิด-19 ระบาด ลากยาวตั้งแต่ช่วงต้นปี 2563 หน้ากากอนามัยเริ่มขาดตลาดและขาดแคลนหนัก ในห้วงเวลาประกาศเป็นสินค้าควบคุม ของกระทรวงพาณิชย์ เกิดการกักตุน โก่งราคา แม้มีบทลงโทษทางกฎหมายร้ายแรง

นายวิชัย โภชนกิจ อธิบดีกรมการค้าภายใน ออกมาแจกแจงเผยรายละเอียดว่า ปัจจุบันโรงงานในประเทศมีกำลังการผลิตที่จำกัด 1.35ล้านชิ้นต่อวัน แต่ความต้องการเพิ่มขึ้นถึง 5 เท่า ประกอบกับปัญหาวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตเริ่มขาดแคลนและหายาก

ปลายเดือน ก.พ. ที่ผ่านมา ไทยมีสต็อกหน้ากากอนามัย 30 ล้านชิ้น ซึ่งสต็อกมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา โดยอัพเดทอีกครั้งในวันที่ 10 มี.ค. 2563 ขณะที่ความต้องการหน้ากากอนามัยเพิ่มขึ้นเป็นไม่ต่ำกว่า 100 ล้านชิ้น ซึ่งกำลังการผลิตของผู้ผลิตรายใหญ่ 11ราย รวมกันวันละ 1.3 ล้านชิ้น หรือเดือนละประมาณ 36 ล้านชิ้นเท่านั้น

ก่อนหน้านี้ กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ จัดระเบียบให้โรงงานผลิตกระจายหน้ากาก ต้องส่งหน้ากากอนามัยส่วนเข้า “ศูนย์บริหารจัดการหน้ากากอนามัย” ของกระทรวงพาณิชย์ ประมาณ 40 - 45% โดยแบ่งเป็น 2 ส่วน

ส่วนแรก จัดสรรให้กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงสาธารณสุข รวม 600,000 ชิ้นต่อวัน โดยจัดสรรให้บุคลากรทางการแพทย์ 350,000 ชิ้น ผ่านโรงพยาบาลโดยตรง 150,000 ชิ้น ผ่านองค์การเภสัชกรรม 200,000 ชิ้น และส่งมาที่กรมการค้าภายใน 250,000 ชิ้น เพื่อกระจายไปยังสมาคมร้านขายยา การบินไทย ร้านธงฟ้า เซเว่นอีเลฟเว่น บิ๊กซี เทสโก้โลตัส ขายให้ประชาชนคนละไม่เกิน 1 แพ็คๆ ละ 4 ชิ้น ราคาชิ้นละ 2.50 บาท รวมจำหน่ายแพ็คละ 10 บาท

ส่วนที่สอง เหลืออีกจำนวน 750,000 ชิ้นต่อวัน ทางโรงงานอุตสาหกรรมดำเนินการบริหารจัดการตามการค้าปกติ ซึ่งอาจจะต้องเข้าไปตรวจสอบว่าจำหน่ายไปในช่องทางใดบ้าง

ตามข้อมูลข้างต้น โรงงานต้องส่งหน้ากากอนามัยส่วนเข้า “ศูนย์บริหารจัดการหน้ากากอนามัย” ของกระทรวงพาณิชย์ ประมาณ 40 - 45% เพื่อให้ศูนย์ฯ สามารถบริหารจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพและทั่วถึงมากขึ้น ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวไม่ถือว่าเป็นการแทรกแซงการทำธุรกิจปกติของภาคเอกชน เพราะ พ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 ให้อำนาจกระทรวงพาณิชย์เต็มที่ในการบริหารจัดการสินค้าควบคุมภายใต้ภาวะวิกฤต

เห็นภาพเห็นข้อมูลจากกรมการค้าภายในแล้ว คำถามก็เกิดขึ้นเหมือนเคยว่า แล้วทำอะไรกันอยู่ เพราะไม่ใช่ไม่รู้ว่า ความต้องการหน้ากากอนามัยเพิ่มสูงขึ้น ทั้งจากการแพร่ระบาดของ “โควิด-19” และปัญหา “ฝุ่นพิษ PM 2.5”

แล้วจะว่าไป ปัญหานี้ไม่ใช่เพิ่งเกิด หากแต่เกิดมานานแล้ว

4 มี.ค. นายจุรินทร์ประชุมเคร่งเครียดกว่า 8 ชั่วโมงก็หาข้อสรุปไม่ได้ กระทั่งวันที่ 5 มี.ค. นายจุรินทร์ถึงได้มี “บทสรุป” ที่ชัดเจน โดยเปิดเผยถึงแนวทางการแก้ไขปัญหาหน้ากากอนามัยราคาแพง และการกระจายหน้ากากอนามัย ว่า ได้ลงนามในประกาศคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ (กกร.) กำหนดราคาจำหน่ายสูงสุดหน้ากากอนามัยแบบสีเขียวในราคาไม่เกินชิ้นละ 2.50 บาท สำหรับหน้ากากอนามัยที่ผลิตได้ในประเทศ แต่ได้ยกเว้นให้สำหรับหน้ากากอนามัยที่เป็น สต๊อกเก่าและมีการจำหน่ายจากโรงงานไปยังผู้จำหน่ายต่างๆ ก่อนหน้านี้ โดยให้เวลาเคลียร์สต๊อกให้หมดภายใน 3 วัน และตั้งแต่วันจันทร์ที่ 9 มี.ค. 2563 เป็นต้นไปจะต้องจำหน่ายในราคาชิ้นละ 2.50 บาททั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นที่ไหน หากขายเกินราคาสูงสุดที่กำหนดจะมีโทษตามกฎหมาย คือ จำคุก 5 ปี ปรับ 1 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ข้อความที่เห็นกันชินตาตามร้านขายยาทั่วประเทศ
ส่วนหน้ากากอนามัยนำเข้า ได้กำหนดให้ผู้นำเข้าต้องแจ้งต้นทุนนำเข้าต่อกรมการค้าภายใน และสามารถบวกค่าบริหารจัดการ เช่น ต้นทุนค่าบริหาร การขนส่ง ค่าน้ำค่าไฟ ค่าบริหารงานบุคคล ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT 7%) ค่าใช้จ่ายอื่นๆ และค่าตอบแทน รวมกันทั้งหมดแล้วต้องไม่เกิน 60% จากต้นทุนนำเข้า เช่น สินค้านำเข้าราคา 100 บาทบวกได้เป็น 160 บาท หรือราคา 1 บาท บวกได้เป็น 1.60 บาท เป็นต้น แต่การกำหนดราคาจำหน่ายสูงสุด ไม่รวมหน้ากากอนามัยแบบผ้า ที่เป็นหน้ากากทางเลือก ที่รัฐบาลกำลังส่งเสริมและผลักดันให้มีการผลิต

รัฐมนตรีอู๊ดด้าบอกด้วยว่า กระทรวงพาณิชย์ได้มีการสรุปตัวเลขการผลิตที่ชัดเจนร่วมกับโรงงานที่มีอยู่ 11 โรงงาน พบว่ามีกำลังการผลิตรวมกันวันละ 1.2 ล้านชิ้น ลดลงจากเดิม 1.35 ล้านชิ้น เพราะมีปัญหาเรื่องวัตถุดิบ หรือจะมียอดรวมเดือนละ 36 ล้านชิ้น โดยการกระจายจะบริหารจัดการโดยศูนย์บริหารจัดการหน้ากากอนามัย โดย 7 แสนชิ้นมอบให้กระทรวงสาธารณสุขนำไปกระจายให้โรงพยาบาล สถานพยาบาลทุกสังกัดทั้งรัฐและเอกชน ส่วนอีก 5 แสนชิ้น กรมการค้าภายในจะเป็นผู้ระบายให้ประชากร 60 ล้านคน ผ่านช่องทางที่มีอยู่เดิม และรถโมบายล์ที่เพิ่มเข้ามาใหม่

สำหรับการกระจายผ่านรถโมบายล์มีจำนวน 111 คัน แยกเป็นกรุงเทพฯ 21 คัน และต่างจังหวัด 90 คัน มีหน้ากากประมาณ 3 แสนชิ้นต่อวันไปขาย โดยรถที่วิ่งในกรุงเทพฯ จะขาย 5,000-10,000 ชิ้นต่อวัน และในต่างจังหวัด 3,000-5,300 ชิ้นต่อวัน และอีก 2 แสนชิ้นจะกระจายผ่านช่องทางเดิม คือ ร้านขายยา ส่งให้กับการบินไทย ร้านสะดวกซื้อ และร้านธงฟ้า ซึ่งการกระจาย ศูนย์ฯ จะมีการประชุมกันทุกวันเพื่อติดตามดูว่าตรงไหนขาด ตรงไหนเพียงพอ ก็จะปรับเปลี่ยน หรือเกลี่ยการระบายไปยังส่วนที่ขาดแคลนต่อไป

นอกจากนี้ ยังได้มีการกำหนดให้ “เจลล้างมือ” เป็นสินค้าที่จะต้องขออนุญาตก่อนปรับขึ้นราคา เพื่อแก้ไขปัญหาราคาแพง โดยหากขอมาแล้วไม่ได้รับการอนุมัติก็ไม่สามารถปรับขึ้นราคาได้

ส่วนการออกประกาศกำหนดให้ผู้ใดผู้หนึ่งที่มีหน้ากากอนามัยในครอบครองเกินกว่าปริมาณที่กำหนด จะต้องแจ้งปริมาณการครอบครองต่อกรมการค้าภายในเพื่อป้องกันการกักตุน ยังไม่ได้มีการกำหนดเป็นมาตรการออกมา เพราะเกรงว่าจะกระทบต่อผู้ที่เก็บหน้ากากอนามัยที่บริสุทธิ์ โดยเฉพาะการครอบครองเพื่อใช้งาน เช่น โรงพยาบาล หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แต่จะมีการติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด

ขณะที่ในด้านการดูแลและแก้ไขปัญหาการกักตุน ได้กำหนดพฤติกรรม คือ 1. การเก็บสินค้าไว้ในสถานที่อื่นตามที่ได้แจ้งไว้กับเจ้าหน้าที่ 2. ไม่นำหน้ากากที่มีเพื่อจำหน่ายออกจำหน่ายตามปกติ 3. ปฏิเสธการจำหน่าย 4. ประวิงการจำหน่าย และ 5. การส่งมอบโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร จะถือว่าพฤติกรรมเหล่านี้เป็นการกักตุนสินค้า จะมีความผิดตามกฎหมาย มีโทษจำคุก 7 ปี ปรับ 1.4 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

และด้วยความเชื่องช้านี้เอง ทำให้ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยนายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมได้หารือร่วมกันเพื่อแก้ไขปัญหาหน้ากากอนามัยให้เพียงพอต่อความต้องการของประชาชน ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กลุ่มผู้ผลิตหน้ากากอนามัย สมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย กรมโรงงานอุตสาหกรรมฯลฯ

โดยได้มอบหมายให้กระทรวงอุตสาหกรรมเร่งรัดกับผู้ผลิตหน้ากากอนามัยที่ป้อนให้แก่โรงพยาบาลประมาณ 11 แห่ง กำลังผลิต 36 ล้านชิ้นต่อเดือน ให้ผลิตเต็มกำลังที่มีอยู่เพื่อให้สถานพยาบาลต่างๆ มีเพียงพอใช้

ส่วนกรณีของประชาชนทั่วไป ที่ประชุมเห็นชอบที่จะร่วมมือกับภาคเอกชนผลิตหน้ากากอนามัยที่ทำจากผ้าจำนวนประมาณ 30 ล้านชิ้น เพื่อแจกให้กับประชาชนฟรีในพื้นที่ชุมชนแออัด โดยเฉพาะในเขตกรุงเทพฯ ปริมณฑล และหัวเมืองใหญ่ๆ โดยมีโควตาให้คนละประมาณ 3 ชิ้น ซึ่งคาดว่าจะสามารถเริ่มแจกได้ภายใน 1 เดือน หรือเร็วสุดภายใน มี.ค. โดยจะมีการนำเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติของบประมาณในการดำเนินงานในสัปดาห์หน้าต่อไป

คงต้องลุ้นกันเฮือกใหญ่ว่า ประชาชนจะเข้าถึงหน้ากากอนามัยง่ายขึ้นกว่าที่ผ่านมาหรือไม่?


กำลังโหลดความคิดเห็น