ศูนย์ข้อมูลโควิดรัฐบาล แถลงพร้อมรับผีน้อยกลับไทย ยันมีมาตรการเข้มจากเกาหลี ส่ง จนท.ติดตามอาการ โฆษก สธ.ชี้ผู้ป่วยไม่ใช่เชื้อโรค วอนเห็นใจ สร้างความร่วมมือ เล็งใช้แอปฯ ติดตาม กรมการค้าภายในเตรียมฟันโทษหนักขายหน้ากากเกินราคา จันทร์นี้ 2.50 บ.ทั่วประเทศ
วันนี้ (6 มี.ค.) เมื่อเวลา 14.00 น. ที่ตึกนารีสโมสร นายเทวัญ ลิปตพัลลภ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลมาตรการแก้ไขปัญหาจากโรคติดต่อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) พร้อมด้วยนายเชิดเกียรติ อัตถากร อธิบดีกรมสารนิเทศ ในฐานะโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ นพ.รุ่งเรือง กิจผาติ โฆษกกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) นายจักษ์ พันธ์ชูเพชร ที่ปรึกษา รมว.แรงงาน และนายวิชัย โภชนกิจ อธิบดีกรมการค้าภายใน ร่วมแถลงข่าวสถานการณ์ไวรัสโควิด-19
โดยนายเชิดเกียรติกล่าวว่า เรามีแรงงานที่อยู่ในประเทศเกาหลีใต้ทั้งหมด 209,909 แบ่งเป็นถูกกฎหมาย 57,470 คน แบบผิดกฎหมาย 152,439 คน โดยแสดงความประสงค์กลับไทยแล้ว 5,386 คน ในจำนวนนี้เดินกลับไทยแล้ว 4,727 คน ซึ่งทางเกาหลีกำหนดให้ผู้ที่จะเดินทางกลับรายงานตัวระหว่างวันที่ 11 ธ.ค. - 30 มิ.ย. 2563 จะไม่มีความผิด และไม่เสียค่าปรับ และสามารถกลับมาทำงานที่เกาหลีได้อีก โดยจะใช้เวลาพิจารณาขั้นตอนด้านเอกสาร 3-15 วัน จากนั้นจะคัดกรองก่อนขึ้นเครื่อง 3 จุด คือ 1. ก่อนเข้าอาคารผู้โดยสารขาออก 2. จุดตรวจหนังสือเดินทางก่อนกระบวนการตรวจร่างกายและ 3. จุดตรวจประตูทางออกก่อนขึ้นเครื่องซึ่งถ้ามีอุณหภูมิร่างกายมากกว่า 37 องศาเซลเซียสจะถูกกักตัวไม่ให้ขึ้นเครื่อง โดยเริ่มตั้งวันที่ 9 มีนาคมเป็นต้นไป
นายเชิดเกียรติกล่าวว่า โดยทาง ตม.เกาหลี และกระทรวงการต่างประเทศไทย ทำเอ็มโอยูเพื่อรับส่งข้อมูลระหว่างกัน ทั้งนี้ กระทรวงการต่างประเทศห่วงใยในเรื่องของการที่จะทำอย่างไรให้ทุกคนได้เดินทางกลับมา ยืนยันว่าเราต้องรับทุกคนกลับมา ไม่ว่าจะอยู่ในสถานะใด แต่การกลับมาเราต้องห่วงใยถึงความปลอดภัยภายในประเทศ เราจึงต้องให้ความสำคัญต่อการคัดกรอง
ด้าน นพ.รุ่งเรืองกล่าวว่า ถ้าหากพบว่าผู้ที่เดินทางเข้าประเทศ 3 กลุ่ม คือ กลุ่มแรกไม่สบาย มีไข้ หรือมีอาการระบบทางเดินหายใจ จะนำตัวส่งโรงพยาบาลในเครือข่าย สธ. หรือสถาบันบำราศนราดูรทันที กลุ่มที่ส 2 มาจากพื้นที่เสี่ยง รัฐบาลได้จัดสถานที่ในการดูแลแล้ว และกลุ่มที่ส 3 กลุ่มเสี่ยงน้อย เจ้าหน้าที่กระทรวง สธ.มีอำนาจหน้าที่ให้คำแนะนำในการปฏิบัติตัว และจะมีเจ้าหน้าติดตามดูแลสอบถามอาการอย่างต่อเนื่อง จากการประสานกับทุกหน่วยงานเราทราบข้อมูลทุกคนที่เดินทางกลับเข้าประเทศ โดยจะมีทีมแพทย์ที่แยกติดตามดูกลุ่มนี้โดยเฉพาะ อีกทั้งจะมีการเริ่มนำแอปพลิเคชันติดตามตัวเหมือนในต่างประเทศมาใช้เพื่อเตรียมการไปสู่ในระยะต่อไปทั้งนี้ ตนยืนยันว่าเชื้อไวรัสไม่ได้ลอยในอากาศ จะติดต่อกัน 2 วิธี คือ ไอ หรือจามใส่กันเป็นละอองฝอยขนาดใหญ่ ในระยะ 1 เมตร หรือหนึ่งเอื้อมแขน และการพบเชื้อตามจุดต่างๆ แล้วไปสัมผัสและใช้มือหยิบจับอาหารเข้าปาก
“สิ่งสำคัญที่ต้องฝาก คือ บุคคลเหล่านี้ไม่ใช่เชื้อโรค เขาเป็นประชาชน ถ้าเราให้ความเห็นอกเห็นใจ เขาจะให้ความร่วมมือ” นพ.รุ่งเรืองกล่าว
ขณะที่นายจักษ์กล่าวว่า สำหรับแรงงานไทยที่เดินทางกลับจากประเทศเกาหลี มีการเดินทางกลับตั้งแต่เดือน ธ.ค. 2562 สัปดาห์ละ 200-400 คน เดือน ม.ค. 200-300 คน และเดือน ก.พ.300 คน แสดงให้เห็นว่ากลุ่มคนเหล่านี้อยู่ในระยะเวลาเฝ้าดูอาการ 14 วันแล้ว แต่ก็ได้ส่งอาสาสมัครเข้าไปดูแล ยืนยันว่าไม่ได้ละเลย หรือมองข้าม
นายวิชัย โภชนกิจ อธิบดีกรมการค้าภายใน กล่าวว่า กรณีของหน้ากากอนามัยนั้น กระทรงพาณิชย์ และกระทรวงสาธารณสุขบริหารจัดการร่วมกัน โดยมีโรงงานที่ผลิตทั้งหมดในประเทศ 11 โรงงาน มีกำลังการผลิตได้ล่าสุดวันละ 1.2 ล้านชิ้นต่อวัน โดยส่งให้บุคลากรทางการแพทย์ไปใช้วันละ 7 แสนชิ้น ที่เหลือส่งไปขายตามสนามบิน สายการบินและร้านขายยา 2 แสนชิ้น
ทั้งนี้ การนำหน้ากากมาใช้ป้องกันโรคเราต้องบริหารให้ได้ผลต้องจัดอันดับความจำเป็นในการใช้ เพราะถ้าเราสนองความจำเป็นในการใช้ทั่วไปนั้น ใช้เท่าไหร่ก็ไม่พอ โดยเราให้ความสำคัญกับผู้ที่มีความจำเป็นต้องใช้อันดับแรกคือบุคลากรทางการแพทย์ โรงพยาบาล สถานพยาบาล ยืนยันว่ากลุ่มเหล่านี้ไม่ขาดแคลน แต่ถ้าหากไม่เพียงพอ หรือต้องใช้เพิ่มจะบริหารจาก 5 แสนชิ้นที่เหลือมาเพิ่มในจุดนี้ อย่างไรก็ตามยืนยันว่าตั้งแต่วันจันทร์ที่ 9 มีนาคมนี้เป็นต้นไปราคาหน้ากากต้องไม่เกิน 2.50 บาท หากพบมีการขายเกินราคาให้แจ้งหน่วยงานเกี่ยวข้อง ซึ่งผู้กระทำความผิด มีโทษจำคุก 5 ปี หรือปรับ 1 แสนบาท