อันที่จริงช่วงระหว่างนี้...มีเหตุการณ์ ข่าวคราวที่น่าสนใจ น่าจับตา และน่าติดตามอย่างเป็นพิเศษ อย่างเช่นเรื่องเค้าลางแห่ง “สงคราม” ที่อุบัติขึ้นมาเหนือขอบฟ้าแถวๆ จังหวัด “อิดลิบ” (Idlib) ฐานที่มั่นสุดท้ายของพวก “ผู้ก่อการร้าย” ในประเทศซีเรียเขานั่นแหละ ที่อาจลุกลามบานปลาย กลายเป็น “มหาสงคราม” เป็นตัวดึงดูดให้บรรดาประเทศต่างๆ ไม่ว่ารัสเซีย ตุรกี ไปจนถึงกองกำลังระหว่างประเทศอย่าง “นาโต” โน่นเลย อาจต้องเข้าไปชุลมุน ชุลเก เปิดฉาก เปิดผ้าม่านกั้ง “จุดไฟนรกสุดขอบฟ้า” ขึ้นมาได้ง่ายๆ...
เพราะช่วงปลายๆ สัปดาห์ที่แล้ว...หรือช่วงวันพฤหัสบดี (27 ก.พ.) ที่ผ่านมา ด้วยความพยายามที่จะขจัดกวาดล้างฐานที่มั่นแห่งสุดท้ายของพวกผู้ก่อการร้ายในพื้นที่บริเวณนี้ เพื่อเริ่มต้น “กระบวนการสันติภาพ” ในซีเรียให้เป็นจริง เป็นจัง ขึ้นมาซะที กองทัพซีเรียที่ได้รับแรงหนุนจากรัสเซียและอิหร่าน เขาเลยเปิดฉากบุกถล่มพวกผู้ก่อการร้าย ที่ยังคงป้วนๆ เปี้ยนๆ ไม่คิดจะวางอาวุธและไม่ยอมล่าถอย ถอนตัว ออกจากพื้นที่บริเวณนี้ อันเนื่องมาจากได้รับการให้ท้าย การสนับสนุนจากรัฐบาลและกองทัพตุรกีชนิดขนอาวุธหนัก ส่งกำลังบำรุง และส่งทหารตุรกี เข้าไปป้วนเปี้ยน ปะปนอยู่กับบรรดาพวกผู้ก่อการร้าย โดยเฉพาะกลุ่มที่ถูกเรียกขานกันในนาม “Hayat Tahrir al-Sham” หรือ “HTS” ด้วยเหตุผลกลใดก็แล้วแต่ ทั้งๆ ที่ตัวเองก็ประกาศตัวเป็นหนึ่งในผู้ที่พยายามผลักดันให้เกิดกระบวนสันติภาพขึ้นมาในซีเรีย เช่นเดียวกับ รัสเซีย และอิหร่าน และนั่นเอง...ที่เลยก่อให้เกิดการทิ้งระเบิดจากเครื่องบินโจมตีของซีเรีย ใส่หัวกองทหารตุรกี ซึ่งเข้าไปยุ่มย่ามอยู่ในจังหวัดอิดลิบ ลึกเข้าไปในพรมแดนซีเรีย ตายไปรวดเดียว 33 ศพ ชนิดถือเป็นความสูญเสียครั้งใหญ่ที่สุดของกองทัพตุรกี นับจาก “สงครามกลางเมือง” ในซีเรียอุบัติขึ้นมา...
จากเหตุการณ์เช่นนี้...เลยทำให้รัฐบาลและกองทัพตุรกี คิดแก้แค้นเอาคืน หรือคิดเปิดฉากสงครามใหญ่ สงครามโดยตรงกับประเทศซีเรียขึ้นมาดื้อๆ!!! แม้เป็นที่รับรู้ รับทราบ ว่าผู้ที่ให้การสนับสนุนรัฐบาลซีเรีย อย่างรัสเซีย ที่ออกมายืนยันว่ากองทัพซีเรียมีสิทธิโดยชอบธรรมที่จะตอบโต้การโจมตีของพวกผู้ก่อการร้ายภายในดินแดนตัวเอง คงไม่คิดเอามือซุกหีบอยู่แล้วแน่ แต่ระดับที่ปรึกษาความมั่นคงของประธานาธิบดีตุรกี “นายMesut Hakki Casin” ถึงกับออกมาป่าวประกาศหลังการประชุมเครียดนานกว่า 6 ชั่วโมง ชนิดออกจะ “กร้าว” เอามากๆว่า “เรา(ตุรกี)เคยสู้กับรัสเซียมาแล้วถึง 16 ครั้ง (ในประวัติศาสตร์) และเราจะยังสู้ต่อไป” แถมยังเรียกร้องให้กองกำลังระหว่างประเทศอย่าง“นาโต” ที่ตุรกีเป็นสมาชิก จัดประชุมฉุกเฉิน เพื่อปฏิบัติการตาม “มาตรา 5” หรือตามข้อตกลงในหมู่มวลสมาชิก เข้ามาช่วยเหลือและปกป้องตุรกี ในการเปิดฉากสงครามกับซีเรีย หรือกับใครก็ตามที่ยังคงคิดหนุนหลังรัฐบาล “อัล-อัสซาด” อีกต่อไป...
อันนี้นี่แหละ...ที่ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่าง “ร้อนฉ่า” ขึ้นมาโดยทันที ถึงขั้นบรรดาประเทศในยุโรป อย่างอังกฤษ ฝรั่งเศส ต้องขอจัดประชุมฉุกเฉินขึ้นที่สหประชาชาติ หรือบางประเทศที่ออกจะ “หลังเขา” อยู่สักหน่อย อย่างบัลแกเรีย ประกาศว่าพร้อมจะส่งกำลังทหารประมาณ 1,000 คน ไปยังพรมแดนซีเรีย-ตุรกี ตามข้อผูกพันของนาโต แต่ก็ยังโชคดี...ที่บรรดาประเทศ “NATO” โดยรวม ยังคงหนักไปทาง “No Action Talk Only” คือยังหันไปปลอบประโลม หันไปส่ง “กำลังใจ” ให้กับตุรกี โดยไม่ได้มีทีท่าใดๆ ว่าคิดจะส่งกองกำลังนาโต ไปตามการกล่าวอ้างถึงข้อผูกพันดังกล่าว หรือหันมาเรียกร้องให้ทุกๆ ฝ่ายพยายามลดอุณหภูมิความตึงเครียดระหว่างกันและกันเข้าไว้ แบบเดียวกับสหประชาชาติ ที่ต้องเล่นบท “พระเอก” ไปตามสูตรนั่นเอง...
และก็ยังโชคดี...ที่ผู้นำตุรกีและผู้นำรัสเซีย พร้อมจะ “ยกหู” พร้อมจะโทรศัพท์สื่อสารระหว่างกันและกัน ตั้งแต่ช่วงวันศุกร์ (28 ก.พ.) เป็นต้นมา การหันมาเจ๊าะแจ๊ะ เจรจา จึงอาจพอช่วยให้บรรยากาศการเผชิญหน้าทางทหารลดๆ ลงไปได้มั่ง แม้ว่าตุรกีจะยังคงยืนกรานแบบกระต่ายขาเดียว ว่าการยุติการปะทะขัดแย้งอย่างถาวรนั้น จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อ กองทัพซีเรียถอนทหารออกไปจากดินแดนที่อยู่ภายใต้อำนาจอธิปไตยตัวเอง แล้วปล่อยให้กองทัพตุรกีและกองกำลังผู้ก่อการร้าย ป้วนๆ เปี้ยนๆ อยู่ในดินแดนประเทศซีเรีย โดยอาจต้องปิดตาเอาไว้สักข้าง หรือสองข้าง ก็แล้วแต่ หรือยอมรับว่าความพยายามที่จะขยาย “จักรวรรดิออตโตมัน” ของตุรกี ให้กลับมา “Great Again” แบบเดียวกับอเมริกา หรืออิสราเอล ก็แล้วแต่ เป็นสิ่งที่มิควรจะปฏิเสธ อะไรทำนองนั้น...
อันนี้นี่เอง...มันเลยน่าสนใจ น่าจับตา และน่าติดตามเป็นอย่างยิ่ง ว่าสุดท้ายแล้วจะลงเอย หรือ “ลงตัว” กันไปในลักษณะไหนหรือจะทำให้เกิดฉากสถานการณ์แบบที่นักวิเคราะห์การเมืองและนักกฎหมายระหว่างประเทศ ชาวนิวซีแลนด์ อย่าง “นายDarius Shahtahmasebi” ได้สรุปไว้ในข้อเขียน บทความ ที่ใช้ชื่อว่า “The Threat of a Russia-Turkey-NATO hot war over Idlib is a Godsend for US foreign Policy” หรือบรรยากาศความกดดันที่อาจก่อให้เกิดสงครามระหว่างรัสเซีย-ตุรกีและนาโต ณ สมรภูมิอิดลิบ อาจไม่ต่างไปจากสิ่งที่ถูกประทานลงมาจากสรวงสวรรค์ให้กับนโยบายต่างประเทศของอเมริกา เอาเลยถึงขั้นนั้น คือในเมื่อต่างฝ่ายต่างต้องหันมา “กัดกันเอง” ย่อมเป็นอันต้อง “เสร็จอเมริกา” ผู้มุ่งที่จะ “แบ่งแยกแล้วปกครอง” โลกทั้งโลกมาโดยตลอด นั่นแล...
แต่ดูเหมือนว่า...ข่าวคราวในเรื่องนี้ ออกจะไม่ค่อยมีใครสนใจ จับตา หรือติดตามกันสักเท่าไหร่ ด้วยเหตุเพราะโลกทั้งโลก ยังคงต้อง “หูแหก-ตาแหก” อยู่กับเรื่อง “อาจารย์โกวิท” หรือเรื่องเชื้อไวรัส “COVID-19” อย่างชนิดไม่แล้วเสร็จมานับเป็นเดือนๆ ยิ่งเมื่อขอบเขต พื้นที่ และจำนวนปริมาณของผู้ติดเชื้อของการแพร่ระบาด มันชักขยายวงกว้างออกไปทุกที จนแทบจะทั่วทุกซีกโลกไปแล้วก็ว่าได้ แม้จะมีข่าวดี หรือข่าวคราวในด้านบวก ปรากฏให้เห็นอยู่บ้าง เช่น จำนวนปริมาณผู้ติดเชื้อ ผู้ตาย ในประเทศที่มีมาตรการควบคุม ป้องกันอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ทำท่าว่าจะลดๆ ลงไปมั่ง ข่าวความเป็นไปได้ของการค้นพบ “วัคซีน” ที่จะป้องกันโรคระบาดชนิดนี้ ซึ่งกำลังค้นคว้า พัฒนา อย่างหามรุ่ง หามค่ำ ในห้องทดลองไม่น้อยกว่า 20 แห่ง โดยเฉพาะที่สถาบัน “MIGAL” ของอิสราเอลที่ออกมาป่าวประกาศเมื่อช่วงพฤหัสฯ (27 ก.พ.) ที่ผ่านมา ว่าหลังการค้นคว้าเพื่อเอาชนะไวรัสสายพันธุ์ “IBV” ซึ่งมีลักษณะคล้ายไวรัส “COVID-19” มานานถึง 4 ปี เชื่อว่าอีกไม่กี่สัปดาห์ หรือภายใน 90 วันนับจากนี้ อิสราเอลสามารถนำเอา “วัคซีน” ป้องกันเชื้ออาจารย์โกวิท มาใช้เป็น “เครื่องมือ” หรือนำมาแจกจ่าย ให้กับใครต่อใครได้ ฯลฯ ฯลฯ แต่นั่นก็ดูจะไม่ได้ช่วยให้เกิดการลดอาการ “หูแหก-ตาแหก” ลงไปสักเท่าไหร่นัก...
ข่าวคราวเรื่อง “ไวรัส COVID-19” มันเลยกลายเป็นข่าวที่กลบเรื่อง “ไวรัสสงคราม” ลงไปแบบโดยสิ้นเชิง...แม้การเอาชนะเชื้อโรค หรือเชื้อไวรัสทั้งสองอย่าง คงแทบไม่ได้ผิดแผกแตกต่างไปจากกันสักเท่าไหร่ อย่างที่ผู้อำนวยการ “WHO” ผู้มีชื่อเรียกยากเอามากๆ หรือ “นายเทดรอส อาดานอม เกเบรเยซัส” ท่านสรุปเอาไว้ค่อนข้าง “เข้าท่า” มิใช่น้อย ประมาณว่า...“ศัตรูสำคัญที่สุดของเรา...ไม่ใช่ตัวไวรัสเอง แต่เป็น...ความกลัว-ข่าวลือ-การตำหนิประณาม-หรือการใส่ร้ายป้ายสี โดยเรามีเครื่องมือหรือเครื่องป้องกันที่สำคัญที่สุด ในการต่อสู้เพื่อเอาชนะสิ่งเหล่านี้ นั่นคือ...ความจริง-ความมีเหตุมีผล และความร่วมมือ ร่วมใจ หรือความเป็นอันหนึ่งเดียวกันนั่นเอง...”