xs
xsm
sm
md
lg

สงครามเชื้อโรคกับสงครามมนุษย์ (จบ)

เผยแพร่:   โดย: ทับทิม พญาไท



นับแต่เกิด “สงครามกลางเมือง” ขึ้นมาในประเทศซีเรียเมื่อเกือบ 20 ปีที่แล้ว...บรรดา “ฐานที่มั่น” สำคัญๆ ของพวกผู้ก่อการร้ายหรือกบฏผู้ต่อต้านรัฐบาล “อัล-อัสซาด” แห่งซีเรีย น่าจะมีอยู่ประมาณ 4 จุด 4 พื้นที่ด้วยกัน คือ 1. บริเวณพื้นที่ภาคตะวันออกหรือ “Eastern Ghouta” ใกล้ๆ กับกรุงดามัสกัส 2. เขตจังหวัด “Deraa” และ “Quneitra” แถวๆ ภาคใต้ของประเทศ 3. พื้นที่ในปริมณฑล “Rastan” และ “Talbiseh” รวมไปถึงจังหวัด “Homs” ซึ่งล้วนแล้วแต่ค่อยๆ “เหี่ยวปลาย” ลงไปเรื่อยๆ หลังจากกองทัพรัฐบาลซีเรีย รัสเซีย และอิหร่าน ได้ผนึกกำลังทั้งภาคพื้นดินและการหย่อนระเบิดใส่หัว บรรดาฝ่ายต่อต้านในพื้นที่เหล่านี้จนแทบไม่เหลือติดปลายนวมใดๆ ต่อไปอีกแล้ว...

แต่ยังติดอยู่ที่จังหวัด “อิดลิบ” (Idlib) พื้นที่ด้านตะวันตกเฉียงเหนือ ที่อยู่ติดกับชายแดนด้านใต้ของตุรกี ที่รัฐบาลตุรกีตั้งแต่ครั้งยังถือหาง หรือยัง “เล่นไพ่ตะวันตก” ก่อตั้งและให้การสนับสนุนบรรดา “ผู้ก่อการร้าย” รวมถึงบรรดากบฏ ไม่ว่าฝ่ายไหนต่อฝ่ายไหนที่คิดโค่นล้มรัฐบาลซีเรีย ต่างได้รับการเลี้ยงดูปูเสื่อ การอุปถัมภ์ค้ำชู โดยรัฐบาลตุรกีไปด้วยกันทั้งสิ้น และทำให้กลายเป็นพื้นที่ที่ไม่ว่าใครก็ตามที่เหม็นหน้า ไม่ชอบขี้หน้า รัฐบาล “อัล-อัสซาด” ต่างอพยพเข้าไปอยู่อาศัย ชนิดจากที่เคยมีจำนวนประชากรไม่กี่หมื่น กี่พันคน กลายเป็นหลักแสน หลักล้าน หรือกลายเป็น “ฐานที่มั่นสุดท้าย” ของผู้ก่อการร้าย หรือผู้ต่อต้านรัฐบาลซีเรียไปจนได้ รวมทั้งบรรดาประชาชนผู้ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ทั้งหลาย ก็อาศัยพื้นที่เหล่านี้นี่เอง เป็นช่องทางในการอพยพหลบหนีภัยสงคราม เข้าไปอยู่ในดินแดนประเทศตุรกีนับเป็นล้านๆ และก่อให้เกิด “ปัญหา” จำนวนไม่น้อยต่อรัฐบาลประธานาธิบดี “เออร์โดกัน” ในทุกวันนี้ ชนิดถึงกับต้อง “แพ้เลือกตั้ง” ระดับท้องถิ่น อันเนื่องมาจากปัญหาดังกล่าวนี่เอง...

ความพยายามสลาย “ฐานที่มั่นสุดท้าย” ของผู้ก่อการร้ายและผู้ต่อต้าน เพื่อเริ่มต้นขับเคลื่อน “กระบวนการสันติภาพ” ในซีเรียให้เป็นจริงเป็นจังขึ้นมาให้ได้ โดยความร่วมมือระหว่างรัฐบาลซีเรีย-รัสเซีย-และอิหร่าน มันจึงเกิดอาการติดๆ ขัดๆ มาโดยตลอดอันเนื่องมาจากปฏิบัติการเช่นนี้ สามารถส่งผลกระทบต่อ “ผลประโยชน์แห่งชาติ” ของตุรกี ไม่ทางหนึ่ง ทางใดขึ้นมาจนได้ ไม่ว่าผลประโยชน์จากการเคย “ลักลอบค้าน้ำมันเถื่อน” กับบรรดาผู้ก่อการร้ายที่ตัวเองเคยเลี้ยงดู เคยอุปถัมภ์ค้ำชูไว้ในพื้นที่แถบนี้ หรือผลประโยชน์จากการเป็น “พื้นที่แนวกันชน” เพื่อไม่ให้พวกชนชาติส่วนน้อย อย่าง “ชาวเคิร์ดในซีเรีย” เติบใหญ่ เติบกล้า จนอาจต่อเส้น ต่อสาย ร่วมมือกับ “ชาวเคิร์ดในตุรกี” คิดแยกดินแดน แยกประเทศตุรกีเอาง่ายๆ รวมทั้งผลประโยชน์จากการแผ่อิทธิพลของตุรกี จากภาคตะวันตกของซีเรีย ข้ามน้ำ-ข้ามทะเลไปยังประเทศลิเบียที่เต็มไปด้วย “แหล่งน้ำมัน” จำนวนมหาศาล และกำลังแตกกระสานซ่านเซ็น จนเปิดโอกาสให้ใครต่อใคร สามารถเข้าไป “ฮุบ” ได้ไม่ยากส์ส์ส์...ฯลฯ

ดังนั้น...ไม่ว่ารัฐบาลตุรกีจะเห็นดี เห็นงาม ในการลงนามความร่วมมือตาม “ข้อตกลงอัสตานา” หรือ “ข้อตกลงโซชิ” ก็ตาม แต่โดยผลแห่งการปฏิบัติ กลับเป็นไปในแบบ “กลิ้งไว้ก่อนพ่อสอนไว้” มาโดยตลอดนั่นเอง หรือทำให้ “ปฏิบัติการอิดลิบ” เพื่อกวาดล้างฐานที่มั่นสุดท้ายของพวกผู้ก่อการร้าย ที่กองทัพซีเรีย-รัสเซียและอิหร่าน เงื้อง่า ราคาแพงมาชนิดข้ามปี ก็ยังไม่อาจลงมือได้สักกะที และเมื่อคิดเอาจริง-เอาจังขึ้นมาในช่วงนี้ เลยต้องเจอกับการประกาศตอบโต้ถึงขั้นพร้อมส่งทหารตุรกีบุกเข้าไปในดินแดนซีเรีย หรือแม้แต่คิดเปลี่ยนข้าง ย้ายข้างหันไปเผชิญหน้ากับรัสเซีย แล้วกลับไป “จูบปาก” อเมริกาแบบเดิมๆ ได้ทุกเมื่อ โดยเฉพาะเมื่อรัฐบาลตุรกีนั้น ดันไปถือหางฝ่ายตรงข้ามกับผู้ที่รัฐบาลรัสเซียให้การสนับสนุนถึงในประเทศลิเบียโน่นเลย...

“กระบวนการสันติภาพในซีเรีย” ที่ทำท่าว่าใกล้เห็นหน้า เห็นหลัง ในอีกไม่นาน-ไม่ช้านับจากนี้ ระดับท่าอากาศยานกรุงดามัสกัสสามารถเปิดให้เครื่องบินนานาชาติ เข้าไปใช้บริการกันได้มั่งแล้ว ก็เลยชักออกอาการกึกๆ-กักๆ “ยักตื้นติดกึก-ยักลึกติดกัก” ขึ้นมาจนได้ หรือจนกว่าจะเกิดการหาข้อยุติ หา “จุดลงตัว” ระหว่างบรรดาผู้มีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนกระบวนการสันติภาพ อย่างรัสเซีย-อิหร่าน-และตุรกีกันได้แบบหมดเรื่อง หมดราว สิ้นเรื่อง สิ้นราว โดยไม่เปิดโอกาสให้ “ผู้ใฝ่สงคราม” หรือ “ผู้กระหายสงคราม” อย่างคุณพ่ออเมริกา อิสราเอลเข้ามาตอดโน่น ตอดนี่ เข้ามายุแยงตะแคงรั่ว จนต้องเกิดเรื่อง เกิดราว เกิดฉากสถานการณ์อันไม่พึงปรารถนา หรือฉากสถานการณ์ที่รัฐบาลรัสเซียเรียกว่า “ขั้นที่เลวร้ายที่สุด” (worst-case scenario) อุบัติขึ้นมานับจากนี้เป็นต้นไป โดยเฉพาะการเผชิญหน้าทางทหารโดยตรง ระหว่างกองทัพตุรกีกับกองทัพซีเรีย ที่มีรัสเซียและอิหร่านให้การสนับสนุน...

อย่างไรก็ตาม...ถ้าว่ากันตาม “ข่าวล่า-มาเรือ” เห็นว่า ผู้นำตุรกี ประธานาธิบดี “เออร์โดกัน” ท่านได้ยกหูไปเจ๊าะๆ แจ๊ะๆ กับผู้นำรัสเซีย อย่างประธานาธิบดี “ปูติน” กันบ้างแล้ว รวมทั้งรัฐมนตรีต่างประเทศอิหร่าน “นายโมฮัมหมัด ชารีฟ” ก็ยังไม่คิดถอดใจ ยังคงพยายามตั้งความหวังเอาไว้ต่อกระบวนการสันติภาพ ว่าการพบปะเจรจาระหว่างพันธมิตร 3 ฝ่าย อย่างรัสเซีย-อิหร่านและตุรกี หรือ “Astana Summit” คงต้องหาทางดำเนินต่อไปให้จงได้ แม้ว่าผู้นำตุรกีจะออกอาการสะบัดสะบิ้ง ประกาศว่าไม่คิดจะพูดคุย เจรจาอีกต่อไปก็ตามที หรือพูดง่ายๆ ว่า...ทุกสิ่งทุกอย่าง คงต้องขึ้นอยู่กับความอดทน อดกลั้น และโดยเฉพาะ “ความเสียสละ” หรือ “ความไม่เห็นแก่ตัว” ของบรรดาผู้ที่เลือกจะเดินไปในแนว “สันติภาพ” ทั้งหลาย ว่าพร้อมจะร่วมมือ ร่วมใจ พร้อมที่จะแสดงความจริงใจและบริสุทธิ์ใจไปได้ถึงขั้นไหน...

ต่างไปจากผู้ที่เลือกเดินไปในแนว “สงคราม” หรือผู้หวังจะอาศัยความฉิบหายของผู้อื่น เพื่อให้ได้มาซึ่งผลประโยชน์ของตัวเอง อันได้แก่บรรดาผู้เห็นแก่ “ตัวกู-ของกู” ทั้งหลาย ที่นอกจากไม่ต้องเสียเวลาคิดหน้า คิดหลังอะไรแล้ว ยังแทบไม่ต้องสนใจกับความทุกข์ ความเดือดร้อนของผู้อื่น ขอเพียงแต่ให้ “ตัวกู” เป็นฝ่ายชนะ หรือเป็นฝ่ายได้รับประโยชน์ก็เป็นพอ การบาดเจ็บล้มตายของมวลมนุษยชาตินับเป็นล้านๆ ไม่ว่าจากสงครามระดับประเทศ ระดับภูมิภาค หรือระดับโลกก็แล้วแต่ มันจึงกลายเป็น “สงครามที่ไม่มีวันอวสาน” ไม่ว่าจะเกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 ครั้งที่ 2 สงครามเย็น สงครามกับการก่อการร้าย ฯลฯ มาแล้วกี่ครั้งต่อกี่ครั้งก็ตามที จนเป็นอะไรที่ร้ายแรงซะยิ่งกว่า “เชื้อโรค” หรือ “สงครามกับเชื้อโรค” ไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า แต่ก็ด้วยเหตุเพราะ “ความเห็นแก่ตัว” นั่นเอง ไม่ว่าใน “ระดับปัจเจกบุคคล” หรือ “ระดับชาติ” ก็แล้วแต่ ที่เป็นต้นเหตุ ต้นตอ และเป็นบทสรุปสุดท้าย ในการชี้ขาดถึงชัยชนะหรือความพ่ายแพ้ต่อบรรดา “สงคราม” ทั้งหลาย...
กำลังโหลดความคิดเห็น