วันนี้...คงได้เวลาที่จะแวะไปดูประเทศซึ่งอาจต้องใช้คำว่า “เคยรวย” แต่ปัจจุบันอาจเหลืออยู่แค่ “มะเขือ” ไม่กี่ลูก กี่ใบ นั่นก็คือประเทศอิรัก ที่ได้ชื่อว่าเป็น “แหล่งสำรองน้ำมันอันดับ 4 ของโลก” นั่นเอง คือหลังจากที่ถูกคุณพ่ออเมริกาบุกเข้าไปเล่นงานผู้นำประเทศ อย่างจอมเผด็จการ “ซัดดัม ฮุสเซน” ตั้งแต่เมื่อเกือบ 20 ปีที่แล้ว (ค.ศ. 2003) จนผู้คนต้องบาดเจ็บล้มตายนับเป็นหมื่นๆ แสนๆ หรืออาจเป็นล้านๆ ด้วยภัยสงครามหรือผลกระทบหลังจากนั้นก็แล้วแต่ บ้านเมืองกลายเป็นซากปรักหักพัง ที่ต้องหาทางฟื้นฟูไปพร้อมๆ กับ “ประชาธิปไตย” ที่บรรดาประเทศตะวันตกยัดเยียดไว้ให้ แต่ทุกวันนี้...ก็ยังต้องตกอยู่ในภาวะโรคซ้ำ กรรมซัด วิบัติเป็น มิแลเห็นที่ซึ่งจะพึ่งพา เอาเลยก็ว่าได้...
เพราะไม่เพียงแต่ภายในประเทศต้องเจอกับ “คลื่นแห่งการประท้วง” มาตั้งแต่เดือนตุลาคมปีที่แล้ว และยังคงไม่สงบเรียบร้อยอยู่จนทุกวันนี้ แม้ผู้นำประเทศ อย่างนายกรัฐมนตรี “อาเดล อับดุล มาห์ดี” (Adel Abdul Mahdi) จะยอมเซ็นใบลาออกไปเรียบร้อยแล้ว มีฐานะเป็นแค่นายกฯ รักษาการ รอเวลาที่สภาจะแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีคนใหม่ขึ้นมาแทนที่ แต่เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (20 ม.ค.) ก็ยังคงต้องไล่ทุบ ไล่ตี ต้องยิงแก๊สน้ำตาสกัดบรรดาผู้ประท้วง โดยต้องบาดเจ็บ ล้มตายไปอีกกี่คนต่อกี่คนก็ยังมิอาจสรุปๆ ได้ แต่ที่หนักยิ่งไปกว่านั้น...คือต้องเจอกับแรงกด แรงบีบ จากภายนอกประเทศ โดยเฉพาะคุณพ่ออเมริกาที่แม้รัฐสภาอิรักจะลงมติอย่างเป็นเอกฉันท์ ให้ “ถอนทหารต่างชาติ” ออกจากดินแดนอันมีเอกราชและอำนาจอธิปไตยโดยสมบูรณ์อย่างอิรักไปโดยทั้งแผง แต่ไม่เพียงคุณพ่ออเมริกาจะไม่คิดถอนทหารอเมริกันออกจากอิรักโดยเด็ดขาด ผู้นำอเมริกาอย่างประธานาธิบดี “ทรัมป์บ้า” (ที่น่าจะ “บ้าจริง” ตามคำกล่าวอ้างของคุณพี่ “สนธิ ลิ้มทองกุล” ของหมู่เฮานั่นแหละ) กลับออกมาขู่ว่าพร้อมจะ “อายัดบัญชีธนาคาร” ของรัฐบาลอิรัก ที่ถูกบังคับให้ฝากเงินรายได้ค่าขายน้ำมันเอาไว้กับ “ธนาคารกลางสหรัฐฯ” หรือ “Fed” มาตั้งแต่ปี ค.ศ. 2003 หรือหลังจากที่ยึดประเทศอิรักจาก “ซัดดัม ฮุสเซน” ได้เป็นที่เรียบโร้ยย์ย์ย์แล้ว แถมยังอาจลงโทษทางเศรษฐกิจต่ออิรัก ด้วยการ “แซงชั่น” ที่หนักหนาสาหัสยิ่งกว่าอิหร่านเอาเลยก็ไม่แน่!!!
พูดง่ายๆ ก็คือ...ถ้าหากรัฐบาลอิรัก และนายกรัฐมนตรีรักษาการ อย่าง “นายอับดุล มาห์ดี” ยังคิดจะเสือกไสไล่ส่งทหารต่างชาติอันมีทหารอเมริกันเป็นหลักใหญ่อยู่แล้วล่ะก็ โอกาสที่ประเทศอิรักจะมีแต่ “เจ๊ง...กับ...เจ๊ง” หรืออาจถึงขั้น “ล่มสลาย” เอาง่ายๆ เพราะแค่บัญชีเงินฝากในธนาคารกลางสหรัฐฯ ซึ่งเคยมีกระแสเงินสดหมุนเวียนอยู่ในปริมาณ 35,000 ล้านดอลลาร์ โดยรัฐบาลอิรักต้องถอนเอามาจ่ายค่าใช้จ่ายต่างๆ ไม่ว่าเงินเดือนลูกจ้าง ข้าราชการประจำในแต่ละเดือนตกประมาณ 1-2 พันล้านดอลลาร์ ก็อาจต้องเป็นอันเหลือแต่ “มะเขือ” ล้วนๆ นั่นยังไม่รวมถึงการ “แซงชั่น” ในรูปแบบต่างๆ ที่อาจทำให้คลื่นแห่งการประท้วงภายในประเทศ ยิ่งมีแต่ต้องหนักหน่วง รุนแรง ซะยิ่งกว่า “สึนามิ” เอาเลยก็เป็นได้...
และก็ไม่ใช่เพียงแค่เท่านั้น...เพราะการดำรงคงอยู่ของ “ทหารอเมริกัน” จำนวนประมาณ 5,000 กว่าคนในอิรักนั้น มันมีที่มา-ที่ไป มีเงื่อนไข-ข้ออ้าง มาจากการปรากฏตัวของบรรดาพวก “ผู้ก่อการร้าย” ไอซิส หรือไอซิล ที่โผล่เข้ามายึดดินแดนบางส่วนของประเทศอิรักและบางส่วนของประเทศซีเรียเอาไปจัดตั้งเป็น “รัฐอิสลามซูเปอร์สเตท” นั่นเอง หรือพูดง่ายๆ ว่า...ด้วยเหตุเพราะมี “ผู้ก่อการร้าย” ก็เลยต้องมี “นักปราบผู้ก่อการร้าย” อย่างคุณพ่ออเมริกา ยกพหลพลโยธาเข้ามาในดินแดนอิรักในช่วงปี ค.ศ. 2014 และยังไม่คิดจะออกไปจนตราบเท่าทุกวันนี้ แม้ผู้นำอเมริกาจะเคยป่าวประกาศว่าพวกผู้ก่อการร้ายทั้งหลายพ่ายแพ้ หรือหมดสภาพลงไปแล้ว แต่จะด้วยเหตุเพราะ “นักปราบผู้ก่อการร้าย” อย่างอเมริกายังคิดจะอยู่ต่อไปในดินแดนอิรักให้จงได้ หรือไม่ อย่างไร ก็แล้วแต่ เมื่อช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา เว็บไซต์ข่าวภาษาอารบิกของสำนักข่าว “al-Ma’aloumeh” เขาถึงได้รายงานข่าวเอาไว้ว่า บรรดาพวกผู้ก่อการร้ายไอซิส ไอซิล ที่เคยหนียะย่าย พ่ายจะแจ ไปเพราะกองทัพซีเรีย-รัสเซีย-และอิหร่าน ร่วมมือกันรุมถล่มอย่างเป็นจริง เป็นจัง กำลังเริ่มทยอยกลับมาสู่ดินแดนภาคตะวันตกของอิรัก เช่นที่จังหวัด “Wadi al-Houran” จังหวัด “al-Qadaf” และ “al-Haaj” ฯลฯ อันเป็นพื้นที่อยู่ภายใต้อำนาจอิทธิพลของกองทัพอเมริกา แถมยังอาจกลับมาโดย “เครื่องบินลำเลียง” ของอเมริกันซะอีกต่างหาก???
การที่ “นักปราบผู้ก่อการร้าย” อย่างทหารอเมริกันไม่คิดถอนตัวออกจากประเทศอิรักโดยเด็ดขาด แถมยังมีแนวโน้มว่าบรรดา “ผู้ก่อการร้าย” ทั้งหลาย ก็กำลังทยอยกลับมาเอาเถิด-เอาล่อกับกองทัพอเมริกันซะอีกต่างหาก มันเลยทำให้โอกาสที่ประเทศอิรักจะมีฐานะเป็นประเทศที่มีเอกราช มีอิสระ หรือมีอำนาจอธิปไตยอย่างแท้จริง จึงแทบเป็นไปไม่ได้ยิ่งขึ้นเรื่อยๆ แม้ว่ารัฐบาลอิรักในบางช่วง บางขณะ เพียรพยายามสร้างสรรค์สิ่งเหล่านี้ขึ้นมาภายในประเทศตัวเองเพียงใดก็ตาม โดยเฉพาะรัฐบาลของท่านนายกฯ “อาเดล อับดุล มาห์ดี” ที่ได้ผ่านการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยแบบตะวันตกมาแล้วก็เถอะ แต่ในช่วงเวลาแค่ประมาณปีกว่าๆ ของความพยายามเป็น “อิสระ” ความพยายามยึดมั่นอยู่ใน “ผลประโยชน์แห่งชาติ” ของประเทศตัวเอง บรรดาความพยายามเหล่านี้นี่เอง...ที่น่าจะกลายมาเป็น “เหตุปัจจัย” อันให้เกิดภาวะโรคซ้ำ กรรมซัด วิบัติเป็น มิแลเห็นที่ซึ่งจะพึ่งพาขึ้นมาจนได้ ชนิดไม่ว่า “การประท้วง” ในอิรัก “การลอบสังหาร” นายพลอิหร่านในดินแดนอิรัก ไปจนถึงการหวนกลับมาของพวกผู้ก่อการร้ายในภาคตะวันตกของอิรัก ฯลฯ อาจเกิดจากสาเหตุ หรือเหตุปัจจัย อันเดียวกันทั้งสิ้น!!!
คือถ้าดูจากข่าวคราว...ที่สำนักข่าวบางสำนักนำมาเผยแพร่กันในวงแคบ เพราะยังไม่อาจสรุปได้ว่าเป็น “ข่าวจริง” หรือ “ข่าวปลอม” กันแน่??? นั่นคือข่าวที่ว่าด้วยคำพูด คำอภิปรายของนายกรัฐมนตรี “อะเดล อับดุล มาห์ดี” ในการประชุมรัฐสภาอิรัก เมื่อช่วงวันอาทิตย์ที่ 5 มกราคมที่ผ่านมา ก่อนที่สภาอิรักจะลงมติโดยเอกฉันท์ ให้ถอนทหารต่างชาติทั้งหมดออกจากดินแดนอิรัก คือแม้ว่าบางสำนักอาจ “เชื่อ” บางสำนักอาจ “ไม่ค่อยเชื่อ” เพราะมันออกจะเป็นอะไรที่น่าตกตะลึงพรึงเพริดเอามากๆ โดยเฉพาะการอ้างคำพูด ว่านายกรัฐมนตรีอิรักระบุว่าตัวเองถูกผู้นำอเมริกา อย่าง “ทรัมป์บ้า” โทรศัพท์มา “ขู่” ครั้งแล้ว ครั้งเล่า ไม่ว่าขู่ว่าจะยุให้มีการประท้วงในอิรัก ขู่จะยกระดับการประท้วงให้หนักหน่วงรุนแรง ด้วยการอาศัย “มือที่สาม” จุดชนวนโดยการลอบยิงผู้ประท้วง และเจ้าหน้าที่ตำรวจ จนนายกรัฐมนตรีอิรักต้องอยู่ไม่เป็นสุข หรืออยู่ไม่ได้ในวาระสุดท้าย ฯลฯ อันเป็นอะไรที่ออกจะ “บ้า” เอามากๆ ดังนั้น...บรรดา “สื่อฯ” ที่ยังไม่เชื่อว่า ผู้นำอเมริกานั้น “บ้าไปแล้ว” หรือ “บ้าโดยเบ็ดเสร็จ สมบูรณ์” เลยยังก้ำๆ กึ่งๆ ไม่คิดจะหยิบเอามาเป็นข่าวกันมากมายสักเท่าไหร่นัก ยกเว้นข่าว “การลอบสังหาร” นายพล “กอเซ็ม สุไลมานี” ที่นายกรัฐมนตรีอิรักออกมาให้สัมภาษณ์กับผู้ข่าวโดยตรง ว่าแม้จะพยายามห้ามแต่ฝ่ายอเมริกันไม่เชื่อ อันนั้น...ก็เลยพอจะเป็น “ข่าว” แม้ว่าจะเป็นอะไรที่น่าจะ “บ้า” อยู่พอสมควรทีเดียว...
แต่เอาเป็นว่า...ไม่ว่าจะข่าวจริง หรือข่าวปลอม แต่ถ้ามองจากเนื้อหาสาระที่ถูกหยิบมาเป็นพื้นฐานของคำพูด คำอภิปรายที่ว่าก็เป็นอะไรที่น่าคิด น่าสะกิดใจ มิใช่น้อย โดยเฉพาะเมื่อมองถึงสาเหตุที่ทำให้ผู้นำอเมริกาต้องออกมา “ขู่แล้ว-ขู่เล่า” ต่อผู้นำอิรักในแต่ละเรื่อง แต่ละกรณี มันออกจะสอดคล้องรองรับกับข่าวคราวความเคลื่อนไหวในเรื่องที่ต้องถือเป็น “ข่าวจริง” อยู่แล้วแน่ๆ นั่นคือ...ด้วยเหตุเพราะรัฐบาลอิรักพยายามจะสร้างความเป็นอิสระ ภายใต้เอกราชและอำนาจอธิปไตยของตัวเอง โดยยึดถือ “ผลประโยชน์แห่งชาติ” เป็นที่ตั้ง ด้วยการ “หันไปหาจีน” ทุกสิ่งทุกอย่างก็ระเบิดเถิดเทิงขึ้นมาทันที!!! จริง-ไม่จริง เชื่อ-ไม่เชื่อ ก็ลองไปตามกันต่อในวันพรุ่งนี้ก็แล้วกัน...