ช่วงระหว่างนี้...คงหนีไม่พ้นต้องวนไป-วนมาอยู่แถวๆ ตะวันออกกลางนั่นแหละทั่น!!! เพราะไม่ใช่แค่ต้อง “ตามไปดู” ต้องคอยจับตารายการล้างแค้น เอาคืน ของอิหร่าน ต่อกองทัพอเมริกัน ในกรณีการลอบสังหาร นายพล “สุไลมานี” ว่าจะไปถึงขั้นไหน แบบไหน จะสามารถ “บรรลุเป้าหมาย” ถึงขั้นทำให้ทหารอเมริกันต้อง “แยงกี้ โกโฮม” ต้องถอนออกไปจากภูมิภาคแห่งนี้แบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด หรือไม่? อย่างไร? หรือจะต้องเจอกับการเปิดฉาก “สงครามโลกครั้งที่ 3” ขึ้นมาก่อนหน้านั้น???
เพราะสิ่งที่น่าสนใจ และน่าตั้งข้อสังเกตเอาไว้ในช่วงระหว่างนี้...ก็น่าจะเป็นความเคลื่อนไหวใหม่ๆ หรือความพยายามที่จะ “พลิกเปลี่ยนสถานการณ์” เปลี่ยนฉากแนวรบในตะวันออกกลาง ให้กลับคืนมาสู่จุดๆ เดิมอีกครั้ง ซึ่งผู้ที่ออกมาตั้งข้อสังเกตในลักษณะทำนองนี้ ก็คือผู้ที่มีบทบาทไม่น้อยต่อ “ดุลอำนาจ” ในภูมิภาคดังกล่าว นั่นก็คือ “กษัตริย์อับดุลลาห์” แห่งจอร์แดน ที่ได้ให้สัมภาษณ์สถานีโทรทัศน์ช่อง 24 ของฝรั่งเศส เมื่อช่วงวันจันทร์ (13 ม.ค.) ที่ผ่านมานี่เอง และเว็บไซต์ “ผู้จัดการ” ของหมู่เฮาก็ได้นำมาเผยแพร่ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว...
คือโดยสรุปคร่าวๆ...กษัตริย์แห่งจอร์แดน ท่านได้ทรงตั้งข้อสังเกต ตั้งข้อสมมติฐาน ไว้ประมาณว่า แนวโน้มที่กลุ่มผู้ก่อการร้ายอย่าง “ไอเอส” หรือ “ไอซิส” ที่เป็นตัวก่อปัญหา สร้างปัญหาให้กับภูมิภาคทั้งภูมิภาค หรือกระทั่งโลกทั้งโลก ซึ่งเคยถูกกองทัพซีเรีย-รัสเซีย-อิหร่านและอิรัก ร่วมประสานมือ ประสานตีน บดขยี้จนต้องหนียะย่าย พ่ายจะแจ แทบหมดสภาพลงไปแล้วนั้น น่าจะกำลังเริ่มรวมตัวขึ้นมาใหม่ และกำลังฟื้นบทบาทของตัวเองขึ้นมาอีกครั้ง โดยท่านได้ทรงแจกแจงตำแหน่งพิกัดและพื้นที่เอาไว้เสร็จสรรพว่า... “ไม่ใช่แต่เฉพาะในภาคตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศซีเรียเท่านั้น...แต่ยังรวมไปถึงภาคตะวันตกของประเทศอิรักอีกด้วย... !!! !!! !!!”
ซึ่งความพยายามรวมตัว และพยายามก่อบทบาทขึ้นมาใหม่ของบรรดาพวกผู้ก่อการร้าย “ไอซิส” ทั้งหลาย ก็คงเป็นไปดังที่สำนักข่าว “BBC” ของอังกฤษเขาได้รายงานไว้ก่อนหน้านี้ ด้วยการอ้างถึงข้อเขียนในบทบรรณาธิการ ในนิตยสาร “Al-Naba” ของพวกไอซิสเอง ที่ได้สรุปเอาไว้ประมาณว่า...การลอบสังหารนายพลอิหร่าน อย่าง “พลตรีกอเซ็ม สุไลมานี” ที่มีบทบาทเอามากๆ ในการต่อสู้กับผู้ก่อการร้ายมาโดยตลอด โดยคำสั่งของประธานาธิบดีอเมริกัน อย่าง “ทรัมป์บ้า” นั้น ก็คือการเปิดช่อง เปิดโอกาส ให้กับการรื้อฟื้นบทบาทและอำนาจอิทธิพลของพวก “ไอซิส” ให้กลับคืนมาสู่ภูมิภาคตะวันออกกลางได้ไม่ยากส์ส์ส์...
แม้ว่าในข้อเขียนดังกล่าว...บรรดาผู้ก่อการร้าย “ไอซิส” จะไม่ได้แสดงความขอบคุณ ขอบอก ขอบใจ ต่อประธานาธิบดีอเมริกันออกมาโดยเปิดเผย หรือโดยตรงไป-ตรงมาก็แล้วแต่ แต่สำหรับผู้ที่ติดตามฉากเหตุการณ์ความเคลื่อนไหวในภูมิภาคตะวันออกกลางมาโดยตลอด ก็คงพอเข้าใจได้ไม่ยากว่า ผู้ประกาศตัวเป็น “ศัตรูกับผู้ก่อการร้าย” อย่างคุณพ่ออเมริกา กับ “ผู้ก่อการร้ายตัวจริง” อย่างไอเอส หรือไอซิส ไปจนถึงพวก “อัล กออิดะห์” เอาเลยก็ยังได้ ล้วนแต่เป็น “พวกเดียวกัน” แบบ “คนละเรื่องเดียวกัน” มาโดยตลอด เพราะการอาศัยเหตุผล-ข้ออ้าง ในเรื่องผู้ก่อการร้ายไอซิสนี่เอง ที่ทำให้ “กองทัพอเมริกัน” ที่เคยถอนตัวออกไปจากประเทศอิรัก เมื่อช่วงปี ค.ศ. 2011 ถึงได้สามารถยกพหลพลโยธาร่วมกับบรรดาประเทศพันธมิตรตะวันตก กลับเข้ามาปักหลัก ตั้งฐานบัญชาการอยู่ในประเทศนี้ได้อีกครั้ง ตามคำขอร้องของอดีตนายกรัฐมนตรีอิรักคนก่อน (Nouri al-Maliki) ในช่วงปี ค.ศ. 2014 จนแม้รัฐสภาและนายกรัฐมนตรีอิรักคนปัจจุบัน (Adel Abdul Mahdi) พยายามไล่ให้ออกไปอยู่ทุกวันนี้ แต่ก็ยังไม่คิดจะออก แถมยังขู่ว่าถ้าจะให้ออกต้องจ่ายค่าก่อสร้างฐานทัพนับเป็นพันๆ ล้านดอลลาร์ หรือยังอาจถูกแซงชั่น ถูกอายัดบัญชีธนาคารที่ฝากเงินรายได้หลักๆ ของประเทศไว้กับธนาคารกลางสหรัฐฯ ตามมาซะอีกด้วยต่างหาก...
การสู้กับผู้ก่อการร้ายไอซิสของกองทัพอเมริกาและพันธมิตรตะวันตกเท่าที่ผ่านมา...จึงกลายเป็นการสู้แบบ ยิ่งสู้ผู้ก่อการร้ายก็ยิ่งเติบใหญ่ เติบโต ยิ่งเข้าไปทุกที ชนิดสามารถยึดพื้นที่ “ภาคตะวันออกเฉียงใต้ของซีเรีย” และ “ภาคตะวันตกของอิรัก” สถาปนาขึ้นเป็น “รัฐอิสลามซูเปอร์สเตท” ขึ้นมาจนได้ หรือกลายเป็น “ฉีกประเทศในตะวันออกกลาง” ออกไปเป็นชิ้นๆ จนกระทั่งรัฐบาลประธานาธิบดี “อัล-อัสซาด” แห่งซีเรีย ท่านต้องหันไปขอความช่วยเหลือจากรัสเซีย อิหร่าน และร่วมกับประเทศบ้านใกล้เรือนเคียงอย่างอิรัก ลงมือปราบกันแบบจริงๆ จังๆ สู้กับพวกผู้ก่อการร้ายตัวจริงแบบจริงๆ จังๆ อันนั้นนั่นแหละ...ถึงจะส่งผลให้บรรดาพวกผู้ก่อการร้ายไอซิส ต้องหนียะย่าย พ่ายจะแจ และทำให้ “นักปราบผู้ก่อการร้าย” อย่างคุณพ่ออเมริกา เลยทำท่าว่าจะต้องหนีตาม ต้องถอนทหารออกจากซีเรีย หรือต้องหักหลักพวก “กบฏชาวเคิร์ด” กันอุตลุด...
แต่การถอนทหารสหรัฐฯ ออกจากซีเรีย...แล้วดันส่งทหารอีกส่วนหนึ่ง ย้อนกลับเข้าไป “ยึดบ่อน้ำมัน” ในแถบภาคตะวันออกเฉียงใต้ของซีเรีย และภาคตะวันตกของอิรัก โดยประธานาธิบดีอเมริกันอย่าง “ทรัมป์บ้า” ได้ประกาศจุดมุ่งหมายเอาไว้ชัด ว่าเพื่อที่จะเอา “น้ำมัน” ในพื้นที่เหล่านั้น มาขายทำกำไรให้กับบริษัทธุรกิจของอเมริกา แม้กระทั่งครั้งล่าสุด...ขณะที่ให้สัมภาษณ์พิธีกรรายการโทรทัศน์ “Fox News” “นางLaura Ingraham” ก็ยังคง “ย้ำ” อยู่นั่นแหละว่า... “ทหารที่เรามีอยู่ในซีเรีย ก็เพื่อน้ำมัน เพื่อปกป้องน้ำมัน และสิ่งที่ผมคิดจะทำ บางที...ผมอาจต้องตกลงกับ Exxon Mobil บริษัทที่ยิ่งใหญ่ของเรา เพื่อเข้าไปบริหารจัดการน้ำมันเหล่านี้” แม้ว่าพิธีกรทีวีจะพยายามเฉไฉ แก้ไขให้ไปเป็นเรื่องอื่น เพราะการยึดบ่อน้ำมัน หรือการ “ยึดทรัพยากร” ของประเทศใดก็ตามที่เป็นคู่ขัดแย้ง ถือเป็น “อาชญากรสงคราม” ตามสนธิสัญญาเจนีวา ที่ประเทศอเมริการ่วมลงนาม หรือถือเป็นการ “ปล้น” เอาดื้อๆ นั่นเอง แต่ถึงกระนั้น...ผู้นำอเมริกาอย่าง “ทรัมป์บ้า” ก็ยังคงไม่หายบ้า ยังคงอาศัยเรื่อง “น้ำมัน” มาใช้เป็นเหตุผลข้ออ้างในการคงทหารอเมริกันเอาไว้ในภาคตะวันออกของซีเรีย เช่นเดิม...
ไม่ต่างไปจากความพยายามคงกองกำลังทหารอเมริกันเอาไว้ในอิรัก แม้ถูกขับไล่ ไสส่งเพียงใดก็ตามที โดยอาศัยข้ออ้างเรื่องการเข้ามาช่วยปราบปรามผู้ก่อการร้ายที่แพ้ไปแล้ว หรือแทบหมดสภาพไปแล้วอีกนั่นแหละ...การแสดงท่าทีของอเมริกาในลักษณะเช่นนี้นี่เอง จึงเป็นสิ่งสอดคล้องรองรับกับความพยายามรื้อฟื้นอำนาจอิทธิพลของ “ผู้ก่อการร้ายไอเอส” ขึ้นมาอีกครั้งในภูมิภาคนี้ อย่างชนิดแทบไม่ต้องเสียเวลาอธิบาย ดังนั้น...เมื่อไหร่ก็ตามที่บรรดาผู้ก่อการร้ายไอเอส ปรากฏตัวขึ้นมาใหม่ ไม่ว่าในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงใต้ของซีเรีย หรือภาคตะวันตกของอิรัก ดังที่ “กษัตริย์อับดุลลาห์” แห่งจอร์แดน ท่านตั้งข้อสังเกต ข้อสมมติฐานเอาไว้ นั่นก็เท่ากับเป็นการกระชากหน้ากาก การเปิดเผยโฉมหน้าแบบตรงไป-ตรงมา ว่า “นักปราบผู้ก่อการร้าย” อย่างอเมริกา เอาเข้าจริงๆ แล้ว...ก็คือ “ผู้ก่อการร้ายตัวจริง-เสียงจริง” นั่นเอง และใครก็ตามที่ยังคิดจะร่วมมือกับอเมริกา โดยเฉพาะบรรดาประเทศพันธมิตรตะวันตกทั้งหลาย ก็คงไม่ต่างอะไรไปจาก “ผู้สนับสนุนผู้ก่อการร้าย” นั่นแล...