เอเจนซีส์ - ผู้นำสูงสุดอิหร่านลั่น ปฏิบัติการแก้แค้นด้วยขีปนาวุธถล่มฐานทัพอเมริกัน 2 แห่งในอิรักเช้าตรู่วันพุธ (8 ม.ค.) เป็นการตบหน้าอเมริกาฉาดใหญ่ ขู่โจมตีหนักขึ้นถ้าวอชิงตันขืนตอบโต้โดยขณะนี้ล็อกเป้าหมายไว้แล้วอย่างน้อย 140 จุด ด้านทรัมป์คุย “ทุกอย่างยังปกติ” ยันยังไม่มีแผนถอนทหารออกจากอิรักแม้ถูกไล่
สถานีทีวีของทางการอิหร่านรายงานเมื่อวันพุธว่า อิหร่านยิงขีปนาวุธ 15 ลูกใส่ฐานทัพสหรัฐฯ ในอิรักในช่วงเช้า ขณะที่กองทัพอเมริกันระบุว่า ฐานทัพอย่างน้อย 2 แห่งในอิรักที่มีทหารสหรัฐฯและทหารของชาติพันธมิตรในกองกำลังนานาชาติประจำการอยู่ ถูกโจมตีเมื่อเวลาประมาณ 1.30 น. ตามเวลาท้องถิ่นของอิรัก (5.30 น. ตามเวลาไทย) ส่วนอิรักระบุว่า มีขีปนาวุธยิงเข้าไป 22 ลูก
กระทรวงกลาโหมอิหร่านระบุว่า ขีปนาวุธที่ใช้โจมตีทั้งหมดผลิตขึ้นในประเทศ และแหล่งข่าวผู้หนึ่งเสริมว่า ไม่มีขีปนาวุธลูกใดถูกเรดาร์ของอเมริกาตรวจพบ
ขณะที่กองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิหร่านเตือนว่า จะโจมตีหนักขึ้นหากอเมริกาตอบโต้กลับ โดยระบุว่า เล็งเป้าหมายอย่างน้อย 140 จุดซึ่งเป็นผลประโยชน์ของอเมริกาและพันธมิตรไว้แล้ว พร้อมแนะนำให้อเมริกาถอนทหารออกจากตะวันออกกลางเพื่อไม่ให้มีคนบาดเจ็บล้มตายเพิ่ม และเตือนพันธมิตรของอเมริกา ซึ่งรวมถึงอิสราเอล อย่าปล่อยให้มีการโจมตีอิหร่านเกิดขึ้นในดินแดนของตน
อยาตอลเลาะห์ อาลี คอเมเนอี ผู้นำสูงสุดของอิหร่าน ปราศรัยกับประชาชนที่พากันตะโกนว่า “อเมริกาไปตายซะ” โดยบอกว่า การโจมตีครั้งนี้เป็นการตบหน้าสหรัฐฯ แต่ยังไม่ถือว่าเพียงพอ สิ่งสำคัญคือกองกำลังอเมริกันต้องถอนตัวจากตะวันออกกลาง
ผู้นำสูงสุดของอิหร่านย้ำว่า จะไม่ฟื้นการเจรจากับอเมริกาเกี่ยวกับข้อตกลงนิวเคลียร์ปี 2015 ที่ทรัมป์เป็นฝ่ายถอนตัวตามอำเภอใจเมื่อสองปีที่แล้ว
ก่อนหน้านั้นสถานีทีวีของอิหร่านยังอ้างอิงการเปิดเผยของเจ้าหน้าที่สำนักงานของคอเมเนอีว่า การโจมตีด้วยขีปนาวุธเมื่อเช้าวันพุธเป็นสถานการณ์การตอบโต้ขั้นต่ำที่สุดในบรรดาสถานการณ์มากมายที่เตรียมการไว้
ทว่า โมฮัมหมัด จาวัด ซารีฟ รัฐมนตรีต่างประเทศอิหร่าน แสดงท่าทีว่า จะพักปฏิบัติการตอบโต้ไว้เพียงเท่านี้ โดยทวิตว่า อิหร่านดำเนินมาตรการที่เหมาะสมแล้วในการป้องกันตนเองจากการรุกรานภายใต้มาตรา 51 ของกฎบัตรสหประชาชาติ
ทางด้านโจนาธาน ฮอฟฟ์แมน โฆษกเพนตากอนแถลงว่า อยู่ระหว่างการประเมินความเสียหายเบื้องต้นของฐานทัพอากาศ เอน อัล-อาซัด ที่ตั้งอยู่ในจังหวัดอันบาร์ ทางภาคตะวันตกของอิรัก และฐานทัพอีกแห่งในเมืองอาร์บิล ซึ่งอยู่ในเขตกึ่งปกครองตนเองของชาวเคิร์ดทางภาคเหนือของอิรัก และจะดำเนินมาตรการที่จำเป็นทั้งหมดเพื่อปกป้องและป้องกันเจ้าหน้าที่ หุ้นส่วน และพันธมิตรของอเมริกาในตะวันออกกลาง
เมื่อวันอังคาร (7)ก่อนการโจมตีของอิหร่านไม่กี่ชั่วโมง มาร์ก เอสเพอร์ รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ แถลงว่า อเมริกาควรคาดเอาไว้ว่า อิหร่านจะตอบโต้ต่อกรณีที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ สั่งส่งโดรนติดขีปนาวุธลอบสังหารพลเอกกาเซ็ม โซไลมานี ผู้บัญชาการหน่วยรบพิเศษคุดส์ของอิหร่านเมื่อวันศุกร์ที่แล้ว (3)
วอชิงตันอ้างว่า ที่ต้องสังหารโซเลมานี เนื่องจากนายพลผู้นี้กำลังวางแผนโจมตีกองกำลังอเมริกันในตะวันออกกลาง แต่ไม่ได้แสดงหลักฐานใดๆ
ทางด้านแหล่งข่าวสหรัฐฯคนหนึ่งเผยว่า ไม่มีทหารอเมริกันบาดเจ็บหรือเสียชีวิตจากการโจมตีของอิหร่านคราวนี้ ขณะที่เยอรมนี เดนมาร์ก นอร์เวย์ และอิรักยืนยันว่า ไม่มีทหารบาดเจ็บหรือเสียชีวิตเช่นเดียวกัน
ทว่า สถานีทีวีของอิหร่านกลับระบุว่า “ผู้ก่อการร้ายอเมริกัน 80 คน” ถูกสังหาร นอกจากนั้นยังมีเฮลิคอปเตอร์หลายลำและยุทโธปกรณ์ของอเมริกาได้รับความเสียหาย แต่ไม่ได้แสดงหลักฐานว่า ได้รับข้อมูลดังกล่าวมาอย่างไร
ฟิลิป สมิธ ผู้เชี่ยวชาญด้านกองกำลังชีอะต์ ชี้ว่า การโจมตีด้วยขีปนาวุธอย่างเปิดเผยจากอิหร่านและพุ่งเป้าหมายที่ผลประโยชน์หรือกองทัพอเมริกัน รวมทั้งประกาศความรับผิดชอบกันตรงๆ เช่นนี้เป็นเรื่องที่ไม่ปกติ เพราะที่ผ่านมาอิหร่านมักใช้กองกำลังชีอะต์เป็นตัวแทนและใช้อาวุธแนวสงครามกองโจร
ทางด้านทรัมป์ที่เคยเดินทางเยือนฐานทัพอัล-อาซาดเมื่อปลายปี 2018 ทวิตภายหลังการโจมตีของอิหร่านว่า จากการประเมินเบื้องต้น “ทุกอย่างยังปกติดี” และจะออกแถลงการณ์ในช่วงเช้าวันพุธตามเวลาท้องถิ่นของสหรัฐฯ
ภายหลังการลอบสังหารโซไลมานี สถานการณ์ระหว่างอเมริกาและอิหร่านตึงเครียดอย่างหนัก โดยต่างฝ่ายต่างขู่เปิดสงครามใส่กัน
ในพิธีศพโซไลมานีเมื่อวันอังคาร พลเอกฮุนเซน ซาลามี ผู้บัญชาการกองกำลังพิทักษ์อิหร่าน ประกาศล้างแค้น และก่อนหน้านั้นทรัมป์เตือนว่า ถ้าอิหร่านโจมตี อเมริกาจะตอบโต้กลับด้วยการถล่มเป้าหมาย 52 จุด ซึ่งรวมถึงสถานที่สำคัญทางวัฒนธรรมของอิหร่าน โดยไม่ฟังเสียงวิจารณ์ว่า การกระทำดังกล่าวจะเท่ากับเป็นอาชญากรรมสงคราม
กระนั้น เมื่อวันอังคาร ทรัมป์กลับลำเรื่องการโจมตีสถานที่สำคัญทางวัฒนธรรมของอิหร่าน ทั้งยังประกาศว่า แม้ถูกรัฐสภาอิรักลงมติให้ขับไล่ แต่กองกำลังอเมริกันจะคงอยู่ในอิรักต่อไป เนื่องจากแม้ตนต้องการให้ถอนทหารออกจากอิรัก แต่การออกไปภายใต้สถานการณ์ที่ไม่เหมาะสมจะเท่ากับเป็นการมอบของขวัญทางยุทธศาสตร์ให้แก่อิหร่าน
ทว่า จุดยืนของทรัมป์ไม่อาจทำให้พันธมิตรของอเมริกามั่นใจได้ หลายประเทศ เช่น แคนาดาประกาศโอนย้ายทหารบางส่วนจากทั้งหมด 500 นายในอิรักไปยังคูเวต ขณะที่เยอรมนีและโรมาเนียประกาศแผนเคลื่อนย้ายกำลังพลในอิรักเช่นเดียวกัน
ประมุขทำเนียบขาวสำทับว่า ไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับจดหมายที่นายพลจัตวาวิลเลียม ซีลีย์ ผู้บัญชาการกองกำลังเฉพาะกิจของอเมริกาในอิรัก ส่งถึงรัฐบาลแบกแดดเพื่อแจ้งว่า อเมริกากำลังถอนทหารออกจากอิรัก
ทว่า นายกรัฐมนตรีอับเดล มาห์ดีของอิรัก กลับแถลงในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีว่า จดหมายดังกล่าวไม่ได้ถูกส่งมาด้วยความบังเอิญ
สำนักนายกรัฐมนตรีอิรักยังเปิดเผยว่า ได้รับการบอกกล่าวทางวาจาอย่างเป็นทางการจากอิหร่านว่า ได้เริ่มหรือกำลังจะเริ่มการโจมตีซึ่งจำกัดเป้าหมายที่กองกำลังสหรัฐฯ ในอิรัก แต่ไม่ได้ระบุพิกัดแน่นอน จึงแจ้งเตือนผู้บัญชาการทหารท้องถิ่นทันที