มาถึงขั้นนี้...ก็ต้องเรียกว่าน่าจะชัดแล้ว สำหรับ “เป้าหมาย” ในการล้างแค้น เอาคืน ของอิหร่าน ต่อการลอบสังหารวีรบุรุษชาวอิหร่าน อย่างนายพล “กอเซ็ม สุไลมานี” ว่าน่าจะมีรูปร่าง หน้าตา ออกมาในแนวไหน คือไม่เพียงแต่ระดับผู้นำทางทหาร ไม่ว่าผู้บัญชาการกองกำลัง “Quds Force” รายใหม่ นายพล “EsmailQaani” หรือผู้บัญชาการกองพลอวกาศ “IRGC” นายพล “Amir Ali Hajizadeh” ที่ได้ออกมาสรุปเอาไว้ประมาณว่า คงไม่ใช่แค่การยิงจรวดถล่มใส่อเมริกาแค่ไม่กี่สิบลูกแล้วเป็นอันยุติลงไป หรือไม่ใช่กระทั่งการลอบสังหารผู้นำอเมริกา อย่าง “ทรัมป์บ้า” ให้ต้องเด๊ดสะมอเร่ ตามไปด้วย แต่จะเป็นไปถึงขั้นต้องหาทาง “ขับไล่” ทหารอเมริกันให้พ้นๆ ไปจากภูมิภาคตะวันออกกลางแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาดเอาเลยถึงขั้นนั้น!!!
โดยผู้ที่ออกมาอธิบายถึงรายละเอียดของ “เป้าหมาย” ที่ว่า ได้อย่างไหลลื่นและลุ่มลึกเอามากๆ และสะท้อนให้เห็นว่า ไม่ได้มุ่งแต่จะอาศัย “การทหาร” ลูกเดียว แต่พร้อมที่จะใช้ “การเมือง” และ “การทูต” ควบคู่ไปด้วย ก็น่าจะได้แก่รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศอิหร่าน “นายโมฮัมหมัด จาวาด ซารีฟ” นั่นเอง ที่ได้หยิบเอาสิ่งเหล่านี้มาใช้เป็นตัวโน้มน้าวต่อบรรดาตัวแทนประเทศอ่าวเปอร์เซีย ที่เข้าร่วมประชุมกลุ่มประเทศอ่าวเปอร์เซียครั้งที่ 23 ณ เวที “Tehran Dialogue Forum” ซึ่งจัดขึ้นที่กรุงเตหะราน ประเทศอิหร่าน เมื่อช่วงวันอังคาร (7 ม.ค.) ที่ผ่านมา ดังเช่นช่วงหนึ่งของคำกล่าวที่ว่า... “ผมขอแจ้งไปยังเพื่อนๆ ทั้งหลายของผมในภูมิภาคนี้ ว่า...ถึงเวลาแล้ว!!! สำหรับการยุติการคงกำลังทหารของอเมริกาเอาไว้ในภูมิภาคนี้ และการนับถอยหลังสำหรับสิ่งที่ว่านี้ ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว โดยที่หยาดเลือดของนายพลสุไลมานีนั่นเอง ที่จะเป็นตัวผลักดันให้ทหารอเมริกันต้องออกไปจากภูมิภาคตะวันออกกลางแบบเบ็ดเสร็จสมบูรณ์...” และ “ผมขออนุญาตแนะนำไปยังเพื่อนทั้งหลายในภูมิภาคนี้ด้วยว่า...อย่าได้แทงม้าตัวที่แพ้ต่อไปอีกเลย อิหร่านนั้นพร้อมเสมอที่จะเปิดอ้อมแขนสำหรับทุกๆ ประเทศ เพราะสิ่งที่เรากระหายอยากได้สำหรับภูมิภาคนี้ ก็คือสันติภาพและความมั่นคงปลอดภัยเท่านั้น เราไม่ได้อยากได้อะไรมากเกินไปกว่านี้...” นี่...ต้องเรียกว่า ทั้งหยดย้อย หยาดเยิ้ม และทั้งน่าสยดสยองไม่น้อย โดยเฉพาะสำหรับบรรดากองกำลังทหารอเมริกันทั้งหลาย
โดยที่รองรัฐมนตรีต่างประเทศ “นายSeyed Abbas Aradchi” ได้ถือโอกาสออกมาอธิบายเพิ่มเติม ด้วยการ “ทวีต” ข้อความต่างๆ ตามมาอย่างเป็นระลอก เช่น “สหรัฐฯ นั้นไม่ฉลาด...ที่ลอบสังหารผู้บัญชาการที่ต่อต้านการก่อการร้ายมาโดยตลอด อย่างนายพล สุไลมานี เพราะนั่นจะกลายเป็นผลให้กองกำลังทหารของอเมริกาจะต้องถอนออกไปจากภูมิภาคนี้ในท้ายที่สุด” หรือ “บรรดาชาวตะวันตกหลายต่อหลายรายก็เห็นด้วยเช่นกัน ถึงความไม่ฉลาดของรัฐบาลอเมริกันในเรื่องนี้ เพราะมันจะนำไปสู่จุดเริ่มต้นในการยุติบทบาททางทหารของอเมริกาในภูมิภาคนี้ และรับประกันได้เลยว่า...สิ่งเหล่านี้จะต้องเกิดขึ้นแน่นอน เพราะการเดินหน้าแบบสุ่มเสี่ยงของผู้นำอเมริกันทำให้เขาต้องได้เห็นจุดจบดังกล่าว เนื่องจากความเคลื่อนไหวใหม่ๆ ได้เริ่มต้นขึ้นแล้วเมื่อวันวานเช่นที่รัฐสภาอิรักได้แสดงให้เห็นด้วยการตัดสินใจขับไล่ทหารอเมริกันออกจากอิรัก ด้วยความปรารถนาของพระผู้เป็นเจ้า สิ่งเหล่านี้จะดำเนินไปจนกระทั่งการถอนตัวของทหารอเมริกันออกจากภูมิภาคนี้ เป็นไปแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด...”
ส่วนทุกสิ่งทุกอย่าง...จะเป็นไปตาม “เป้าหมาย” ดังที่อิหร่านเขาตั้งเอาไว้มาก-น้อยขนาดไหน เมื่อไหร่ และอย่างไร อันนั้นคงต้องไปดูกันอีกที แต่ที่แน่ๆ ก็คือ...หลังจากนายกรัฐมนตรีรักษาการของอิรัก “นายอาเดล อับดุล มาห์ดี” ได้ยกหูโทรศัพท์พูดคุยกับผู้นำเยอรมนี “อังเกลา แมร์เคิล” ทันทีที่สภาอิรักได้ลงมติแนะนำให้รัฐบาลยกเลิกข้อตกลงความร่วมมือทางทหารกับกองกำลังพันธมิตรตะวันตกที่นำโดยอเมริกา ทั้งรัฐมนตรีกลาโหมเยอรมนี “นางAnnegret Kramp-Karrenbauer” และรัฐมนตรีต่างประเทศ “นายHeiko Maas” ก็ได้ออกมาแถลงข่าว ว่าทหารเยอรมนีที่เข้าร่วมกับกองกำลังพันธมิตรเพื่อช่วยเหลือปราบปรามผู้ก่อการร้ายไอเอส หรือไอซิส ที่เข้ามายึดดินแดนบางส่วนของอิรักตั้งแต่ปี ค.ศ. 2014 นั้น ได้ตัดสินใจเคลื่อนย้ายกองกำลังบางส่วนออกจากอิรัคไปยังประเทศจอร์แดน และคูเวต โดยทันที ชนิดไม่คิดอิดๆ เอื้อนๆ ใดๆ เอาเลยแม้แต่น้อย...
แต่สำหรับกองกำลังทหารอเมริกันในอิรัก ซึ่งอยู่ภายใต้การบัญชาการของ “พลเอกWilliam H. Seely” นั้น แม้ว่าตัวผู้บัญชาการจะได้ส่งจดหมายอย่างเป็นทางการ ไปถึงรัฐมนตรีกลาโหมอิรัก เมื่อช่วงวันจันทร์ (6 ม.ค.) ที่ผ่านมา หรือหลังจากได้รับทราบการลงมติของรัฐสภาอิรักในช่วงวันอาทิตย์ (5 ม.ค.) โดยเนื้อหาในจดหมายได้บรรยายความรู้สึกและรายละเอียดต่างๆ เอาไว้ชัดเจน เช่น “เราเคารพต่อการตัดสินใจตามอำนาจอธิปไตยของท่าน โดยพร้อมจะสั่งการทหารของเราออกจากประเทศนี้” รวมทั้งได้อธิบายถึงขั้นตอนของการถอนกำลัง ไม่ว่าเริ่มจากการถอนหน่วยเฮลิคอปเตอร์ออกจากเขต “Green Zone” ในกรุงแบกแดด ในช่วงเวลากลางคืนเพื่อไม่ให้เกิดการรบกวนต่อบรรดาชาวอิรักทั้งหลาย ตามด้วยการถอนกำลังต่างๆ ในแต่ละขั้นตอน...
แต่ยังไม่ทันที่หน่วยกำลังแต่ละหน่วย จะแพ็กข้าว แพ็กของ เตรียม “แยงกี้...โกโฮม” ตามแผนการที่ถูกแจกแจงเอาไว้ในจดหมายดังกล่าว ปรากฏว่า “เพนตากอน” หรือกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ดันออกมาสั่งระงับและปฏิเสธแผนการถอนทหารสหรัฐฯ ออกจากอิรัก ตามคำสั่งของ “ทหารอาชีพ” หรือของผู้บัญชาการรายนี้ไปซะนี่!!! แถมผู้นำอเมริกันยังออกมาทวง “ค่าก่อสร้างฐานทัพอเมริกัน” จากรัฐบาลอิรักเอาดื้อๆ ประมาณว่าถ้าอยากให้อเมริการถอนทหารออกไป ต้องหาเงินมาจ่ายค่าก่อสร้างฐานทัพของตัวเองเอาไว้ในประเทศนี้ซะก่อน อะไรทำนองนั้น...
การทู่ซี้ที่จะอยู่ต่อไป...ในดินแดนที่เจ้าของประเทศออกมาเสือกไสไล่ส่งตัวเองกันเห็นๆ จึงทำให้ชะตากรรมของทหารอเมริกันจำนวนประมาณ 5-6,000 คน ในประเทศอิรักช่วงนี้ ออกจะเป็นอะไรที่ “สุ่มเสี่ยง” ชนิดน่าจะ “หลับไม่ลง” ไปเป็นรายๆ ยิ่งเมื่อจรวด หรือขีปนาวุธของ “ผู้ไม่ประสงค์จะออกนาม” ชักเริ่มตกใส่พื้นที่เขต “Green Zone” กันไปเป็นสายๆ รวมทั้งยังมีคำเตือนจากกองกำลัง “เฮซบอลเลาะห์” ในอิรัก แจ้งให้ใครก็ตามอย่าได้ไปเพ่นพ่านใกล้ๆ เขต “Green Zone” หรือใกล้ๆสถานทูตอเมริกันในกรุงแบกแดดอีกต่อไปเลย โอกาสที่จะทู่ซี้ หรือ “หน้าด้าน” อยู่ต่อไปเรื่อยๆ มันจึงออกจะลำบาก หรือออกจะทุเรศทุรังเอามากๆ โดยเฉพาะต่อชีวิตทหารอเมริกันในแต่ละราย ซึ่งต่างก็มีพ่อ มีแม่ มีญาติพี่น้องไปด้วยกันทั้งนั้น...
เรียกว่า...ภายใต้บรรยากาศทำนองนี้ กระทั่ง “ราชวงศ์ซาอุฯ” ยังมีข่าวว่าถึงขั้นต้องจับเครื่องบินเผ่นไปตั้งหลักแถวๆ ยุโรปกันเป็นจำนวนไม่น้อย หรือแม้แต่รัฐบาลอิสราเอล ยังต้องออกมาประกาศว่า อิสราเอลไม่มีส่วนยุ่งเกี่ยวกับปฏิบัติการลอบสังหารนายพล “สุไลมานี” เรื่องของแก้แค้น เอาคืน จึงเป็นเรื่องที่อเมริกากับอิหร่าน ต้องไปว่ากันเอาเอง ความโดดเดี่ยว โฮมอโลน ของกองทัพอเมริกัน อันเนื่องมาจากการดำเนินนโยบายที่ผิดพลาดแบบครั้งแล้ว ครั้งเล่า ของผู้นำอเมริกันนั่นเอง ที่ทำให้ความเป็นไปได้ ของ “เป้าหมาย” แห่งการล้างแค้น เอาคืน ที่ฝ่ายอิหร่านเขาตั้งเอาไว้ น่าจะมีโอกาสเป็นจริง เป็นจังได้ยิ่งขึ้นเรื่อยๆ และเมื่อไหร่ที่ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปตามเป้าหมาย นั่นย่อมหมายถึง “อวสานอเมริกา” ในตะวันออกกลางอย่างมิอาจปฏิเสธได้...