เปิดฉากสัปดาห์นี้...คงต้องเริ่มต้นด้วยการแสดงความโศกเศร้าเสียใจต่อบรรดาชีวิตของพลเรือนจำนวนร่วมๆ 180 รายที่ต้องเจอกับ “โศกนาฏกรรมแห่งความผิดพลาด” หรือ “ความผิดพลาดอันเนื่องมาจากฝีมือมนุษย์” อันเป็นสิ่งที่ไม่ว่าประธานาธิบดีอิหร่าน ไปจนถึงรัฐมนตรีต่างประเทศ ได้ออกมายอมรับอย่างเป็นทางการไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ว่าสาเหตุที่เครื่องบินโดยสารสายการบิน “ยูเครน แอร์ไลน์” เที่ยวบินที่ “PS752” ต้องพังพินาศ หลังบินขึ้นจากสนามบินกรุงเตหะรานแค่ไม่กี่นาที เป็นเพราะความผิดพลาดของเจ้าหน้าที่ระบบป้องกันภัยทางอากาศของอิหร่านเอง ที่ไม่ดูตาม้า-ตาเรือให้ถ้วนถี่ บรรดาพลเรือนผู้บริสุทธิ์ทั้งหลายเลยต้องตกเป็น “เหยื่อ” แห่งความขัดแย้งระหว่างอเมริกากับอิหร่าน ที่กำลังขมึงตึงเครียดอยู่ในช่วง ณ วินาทีนั้น...
และการสอยเครื่องบินลำนี้ ให้ต้องร่วงลงมาจากท้องฟ้า ก็คงไม่ได้เกิดจากความตั้งใจ เจตนา อย่างที่ผู้นำอิหร่านในแต่ละระดับออกมาขอโทษ ขอโพย ออกมาประกาศความรับผิดชอบ และพร้อมที่จะหาทางชดเชยความเสียหายในทุกๆ กรณี รวมทั้งการปรับปรุงระบบการป้องกันภัยทางอากาศของตัวเองเสียใหม่ เพราะถ้าดูจากรายชื่อ จำนวนผู้โดยสารในเครื่องบินลำนี้ ก็เป็นชาวอิหร่านด้วยกันเองถึง 82 ราย หรือส่วนใหญ่ของจำนวนผู้โดยสารทั้งหมด นอกนั้นเป็นแคนาดา 63 ราย ยูเครน 11 ราย สวีเดน 10 ราย ฯลฯ ลดหลั่นกันไปตามลำดับ แต่ก็นั่นแหละ...ด้วย “ความผิดพลาด” ในกรณีดังกล่าว คงต้องส่งผลบรรยากาศ “แก้แค้น-เอาคืน” ต่อการลอบสังหารนายพลอิหร่าน โดยคำสั่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ออกอาการ “กร่อย” ลงไปบ้างไม่มากก็น้อย จะไปกระเหี้ยน กระหือรือ เอาเป็น-เอาตาย แบบเดิมๆ มันคงไม่ถึงกับสอดคล้องกับบรรยากาศมากมายสักเท่าไหร่นัก...
แต่ถึงกระนั้นก็ตาม...การตอบโต้ เอาคืน ของอิหร่านต่อสหรัฐฯ ก็คงไม่น่าจะหยุดอยู่แค่การส่งบ้องข้าวหลามยักษ์ หรือการยิงจรวดนับสิบๆ ลูก ไปถล่มฐานทัพทหารอเมริกา 2 แห่ง คือฐานทัพ “Ein Al-Assad” อันเป็นฐานทัพที่ใหญ่ที่สุดของกองกำลังอเมริกา ที่ตั้งอยู่บริเวณด้านตะวันตกของอิรักประมาณ 17 ลูก และฐานทัพ “Erbil” ที่อยู่แถวๆ เขตปกครองตนเองในแคว้นเคอร์ดิสถาน อีกประมาณ 5 ลูก เมื่อช่วงวันพุธ (8 ม.ค.) ที่ผ่านมา โดยจะมีทหารอเมริกันต้องสูญเสียชีวิตไปถึง 80 นาย บาดเจ็บอีกร่วม 200 ตามที่ฝ่ายอิหร่านกล่าวอ้าง หรือยังคงกินอิ่ม-นอนหลับสบายๆ ไม่มีใครสูญเสียเอาเลยแม้แต่น้อย ตามที่ฝ่ายอเมริกากล่าวอ้างก็ตามแต่ แต่ทุกสิ่งทุกอย่าง...มันคง “ไม่จบ” หรือไม่ยุติเพียงเท่านี้อยู่แล้วแน่ๆ...
เพราะช่วงวันพฤหัสฯ (9 ม.ค.) ยังคงมีจรวดที่ไม่ปรากฏสัญชาติ แต่สรุปว่า...น่าจะเป็นจรวดของกลุ่มนักรบอิสลามบางกลุ่ม บางราย ร่อนไปถล่มฐานบัญชาการทหารอเมริกันแถวๆ เมือง “Al-Qaem” บริเวณด้านตะวันออกของซีเรียที่อยู่ติดชายแดนอิรัก โดยจะก่อความเสียหาย บาดเจ็บ ล้มตาย อีกหรือไม่ เพียงใด ก็มิอาจทราบชัด แต่ที่แน่ๆ ก็คือ...บรรดาผู้ที่เข้าคิว จองคิว กะจะถล่มกองกำลังทหารอเมริกันในตะวันออกกลาง และโดยเฉพาะในอิรัก คงไม่ได้มีแต่เฉพาะทางการอิหร่าน หรือกองทัพอิหร่านแต่เพียงเท่านั้น ไม่ว่าผู้ที่ “แค้นตาแม้น” อเมริกา ไม่น้อยไปกว่าอิหร่าน เช่น กองกำลัง “PMF” หรือ “Popular Mobilization Forces” อันถือเป็นส่วนหนึ่งของกองทัพอิรักโดยตรง ที่ไม่เพียงผู้นำระดับรองผู้บัญชาการ “นายAbu Mahdi al-Muhandis” ต้องถูกเด็ดหัวไปพร้อมกับนายพล “กอเซ็ม สุไลมานี” ภายใต้แผนลอบสังหารของ “ทรัมป์บ้า” เท่านั้น ก่อนหน้านั้นไม่กี่วัน ฐานบัญชาการของกองกำลังดังกล่าว บริเวณชายแดนซีเรียด้านที่ติดต่อกับอิรัก ยังถูกกองทัพสหรัฐฯ ในอิรักส่งเครื่องบินโดรนไปทิ้งระเบิดใส่หัวกบาล ชนิดนักรบ “PMF” ตายรวดเดียวไปถึง 25 ศพ บาดเจ็บอีกนับร้อย จนต้องยกขบวนจากพิธีศพ ไปล้อมกรอบสถานทูตสหรัฐฯ ในกรุงแบกแดด เมื่อไม่นานมานี้นั่นเอง...
ทั้งบรรดาพวก “PMF” ตลอดไปจนพวก “เฮซบอลเลาะห์” ในอิรัก รวมทั้ง “ชาวชีอะห์” ที่มีจำนวนถึง 60 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนประชากรในอิรัก ต่างพร้อมที่จะกางมุ้งเข้าคิว จองคิว ในการแก้แค้น เอาคืน กองกำลังสหรัฐฯ และรัฐบาลอเมริกาไปด้วยกันทั้งสิ้นหรือแม้แต่ชาวอิรักที่เคยรักอเมริกาและไม่ค่อยชอบขี้หน้าอิหร่านมาก่อน อย่างที่ผู้อำนวยการบริหารขององค์กรถังความคิดของอิรักที่เรียกขานกันในนาม “Bayan Center” “นายSajad Jiyad” ออกมาให้ความคิด ความเห็น ต่อสำนักข่าว “MintPress News” เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมานั่นแหละว่า... “แม้แต่ชาวอิรักที่เคยโปรอเมริกันและต่อต้านอิหร่าน ยังรู้สึกไม่แฮปปี้ต่อการกระทำของประธานาธิบดีอเมริกันคราวนี้ (การลอบสังหารนายพลสุไลมานี) โดยเห็นว่าเป็นการยกระดับอันตราย รวมทั้งเป็นการละเมิดอธิปไตยของประเทศอิรักอย่างเห็นได้โดยชัดเจน” ความพยายามที่จะขับไล่ไสส่งทหารอเมริกาให้ออกไปจากประเทศอิรัก หรือออกจากภูมิภาคตะวันออกกลาง ตาม “เป้าหมาย”แห่งการแก้แค้น เอาคืน ที่บรรดาผู้นำอิหร่านวางเอาไว้จึงกลายเป็น “กระแสหลัก” ที่คงไม่อาจจางหายลงไปได้ง่ายๆ...
แม้ว่ารัฐบาลและกระทรวงกลาโหมอเมริกา...จะพยายามออกมายืนยัน นั่งยัน นอนยัน ว่าไม่คิดจะ “ถอนทหาร” ออกจากอิรักไม่ว่าจะถูกเสือกไสไล่ส่ง ถูกด่า ถูกว่า ถูกเจ้าของบ้านเรียกร้อง วิงวอน เพียงใดก็ตาม ดังที่โฆษกรัฐบาลนาง “Morgan Qrtagus” ออกมายืนยันครั้งล่าสุด ว่ารัฐบาลสหรัฐฯ ยินดีเปิดการเจรจาข้อตกลงความร่วมมือกับรัฐบาลอิรักครั้งใหม่ได้ในทุกๆ เรื่อง ไม่ว่าเรื่องเงิน เรื่องทอง เรื่องเศรษฐกิจ การทูต แต่ยกเว้นเฉพาะเรื่อง “ความมั่นคง” หรือเรื่องการถอน-ไม่ถอนทหารอเมริกาออกจากอิรักเท่านั้น ที่ห้ามหยิบยกมาเจรจาโดยเด็ดขาด แต่การดื้อ การตื้อ ที่จะคงทหารอเมริกันจำนวน 5-6,000 นาย อยู่ในประเทศที่เจ้าของบ้านเขาไม่อยากให้อยู่อีกต่อไป แถมยังคิดเพิ่มทหารเข้าไปอีก 3-4,000 เป็นอย่างน้อย มันจึงออกจะเป็นอะไรที่น่ากระอักกระอ่วน หรือแม้แต่น่าเกลียด น่าทุเรศ เอามากๆ แม้แต่ในความรู้สึกของทหารอเมริกัน หรือ “ทหารอาชีพ”อย่างผู้บัญชาการกองกำลังพันธิตรในอิรัก “พลเอกWilliam Seely” ที่ได้ส่งจดหมายไปแสดง “ความเคารพต่ออำนาจอธิปไตย” ของอิรัก และพร้อมถอนทหารอเมริกันออกไป ต่อนายกรัฐมนตรีอิรักก่อนหน้านั้น แม้จะถูก “เบรก” โดยประธานาธิบดี หรือโดยกระทรวงกลาโหมอเมริกันก็แล้วแต่ แต่การอยู่แบบดื้อๆ ตื้อๆ รอวันเวลาที่จะถูกข้าวหลามยักษ์บ้องหนึ่ง บ้องใด หล่นใส่หัวกบาลชนิดนาทีต่อนาทีนั้น มันออกจะเป็นบรรยากาศที่ “ไม่น่าอยู่” มากมายสักเท่าไหร่...
และนั่นเอง...ที่อาจทำให้บรรดาทหารในกองกำลังพันธมิตรประเทศต่างๆ ภายใต้การนำของกองทัพอเมริกา ไม่ว่าจะเป็นทหารสเปน โครเอเชีย โรมาเนีย และเยอรมนี ฯลฯต่างต้องถอยไปตั้งหลักถอนทหารจากอิรักไปอยู่แถวๆ จอร์แดน คูเวต หรือกาตาร์ ฯลฯ กันไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หรือขณะที่ประธานาธิบดีอเมริกันกำลังเรียกร้อง วิงวอนให้ “นาโต” เสริมกำลังเข้าไปในอิรักเพิ่มขึ้นไปอีก บรรดา “ทหารนาโต” ในแต่ละประเทศ กลับทยอยออกจากอิรักกันเป็นสายๆ โดยเฉพาะโปแลนด์ถึงกับสั่งให้อพยพผู้คนออกจากสถานทูตโปแลนด์ในอิรักแบบทั้งกะบิ ความพยายามที่จะดื้อ ที่จะตื้อ พยายามคงกองกำลังทหารอเมริกันในอิรัก หรือในตะวันออกกลางเอาไว้อีกต่อไป จึงเป็นอะไรที่ขัดแย้งกับ “กระแสความเป็นจริง” ยิ่งเข้าไปทุกที นอกซะจากว่า...จะเกิด “เงื่อนไข-ข้ออ้าง” ที่ทำให้กองทัพสหรัฐฯ และพันธมิตรสามารถนำมาใช้เป็นเหตุผล ในการส่งกำลังทหารเข้ามาในอิรัคอย่างที่เคยเป็นมาในปี ค.ศ. 2014 นั่นคือ...เพื่อเข้ามาปราบ “ผู้ก่อการร้ายไอเอสหรือไอซิส” นั่นเอง...
และดูเหมือนว่า...สิ่งเหล่านี้อาจกำลังถูกรื้อฟื้นขึ้นมาใหม่ก็ไม่แน่!!! เพราะถ้าว่ากันตามรายงานข่าวของสำนักข่าว “BBC” ที่อ้างถึงบทบรรณาธิการของนิตยสาร “Al-Naba” ของพวกผู้ก่อการร้ายไอซิส ซึ่งได้สรุปไว้ว่า...การลอบสังหารนักสู้กับผู้ก่อการร้ายอย่างนายพล “กอเซ็ม สุไลมานี” โดยสหรัฐอเมริกานั้น ทำให้โอกาสที่ “ไอซิส” สามารถฟื้นตัวขึ้นมาใหม่ได้ไม่ยาก และนั่นเท่ากับว่า “กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ” หรือ “เพนตากอน”ย่อมมีฐานะไม่ต่างไปจาก “องค์กรก่อการร้าย” ตามที่รัฐบาลอิหร่านได้ป่าวประกาศเอาไว้จริงๆ นั่นแล...