ถ้าหากใครได้เคยอ่านข้อเขียน บทความ ของนักเขียนรายหนึ่ง ผู้มีฐานะเป็นผู้ช่วยโครงการตะวันออกกลางแห่งสถาบัน “Atlantic Council” ชื่อว่า “นายDaniel J. Samet” ในเว็บไซต์นิตยสารออนไลน์ระดับโลก อย่าง “The Diplomat” เมื่อช่วงปลายเดือนตุลาคมปีที่แล้ว ซึ่งตั้งชื่อเอาไว้ว่า “China, Not Iran, Is the power to Watch in Iraq” หรือไม่ใช่อิหร่าน แต่คุณพี่จีนนั่นแหละ คือพลังอำนาจที่ต้องจับตามองในประเทศอิรัก อะไรประมาณนั้น อาจพอเข้าใจได้บ้างว่า ทำไมถึงผู้นำอเมริกาอย่าง “ทรัมป์บ้า” ถึงได้ต้องออก “ลูกบ้า” ในดินแดนประเทศอิรัก แบบชนิดเต็มสูบ เต็มลำ...
หรือพูดง่ายๆ ว่า...ด้วยเหตุเพราะความ “กลัวจีน” ที่ออกจะเป็นอะไรที่น่ากลัวซะยิ่งกว่า “อิหร่าน” ไม่รู้กี่เท่า ต่อกี่เท่า จึงทำให้ผู้นำอเมริกานอกจากไม่คิดถอนทหารออกจากอิรัก หรือจากภูมิภาคตะวันออกกลาง ยังทำท่าว่าอาจกลับไปเพิ่มจำนวนทหาร เพิ่มจำนวนผู้ก่อการร้าย และเพิ่มการควบคุมบังคับประเทศในตะวันออกกลางอย่างอิรัก อย่างมิอาจปล่อยให้กระดิกกระเดี้ย หรือให้เป็นอิสระใดๆ ได้เลย ไม่ว่าในแง่ของการเป็น “จุดยุทธศาสตร์” ที่สำคัญเอามากๆ เป็น “ระเบียง” ที่เชื่อมต่อไปยังอียิปต์ อิสราเอล จอร์แดน เลบานอน ซีเรีย อิหร่าน และตุรกี หรือเป็นพื้นที่เชื่อมต่อระหว่างเอเชียตะวันออกกับทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ที่ออกจะสอดคล้องรองรับกับอภิมหาโครงการ “BRI” หรือ “Belt and Road Initiative” ของคุณพี่จีนเอามากๆ...
แถมยังเป็นแหล่งสำรองน้ำมันอันดับ 4 หรืออันดับ 5 ของโลก ที่สามารถซัปพลายน้ำมันให้ “ลูกค้าน้ำมันรายใหญ่ที่สุดในโลก” อย่างคุณพี่จีนได้วันละนับเป็นแสนๆ บาร์เรล จนทำให้มูลค่าการค้าระหว่าง 2 ประเทศ โตพรวดๆ พราดๆ พุ่งขึ้นไปถึง 30,000 ล้านดอลลาร์ในช่วงปี ค.ศ. 2018 และยังอาจทำให้การกำหนด “หน่วยชำระทางบัญชี” ราคาน้ำมันของประเทศผู้ผลิตน้ำมันอย่างอิรัก อาจต้องเปลี่ยนจากการกำหนดด้วย “เงินดอลลาร์” กลายไปเป็น “เงินหยวน” หรือเป็น “Petroyuan” ไม่ใช่ “Petrodollar” ขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ไม่แน่!!! อันเคยเป็นสาเหตุที่ทำให้จอมเผด็จการอย่าง “ซัดดัม ฮุสเซน” ผู้เปลี่ยนไปกำหนดหน่วยชำระทางบัญชีค่าน้ำมันเป็นยูโร ไม่ใช่ดอลลาร์มาตั้งแต่ปี ค.ศ. 2000 เลยต้องถูกคุณพ่ออเมริกาจับไปแขวนคอ หลังการบุกอิรักในปี ค.ศ. 2003 นั่นเอง...
ยิ่งในช่วงประมาณปลายปีที่แล้ว...ดันเกิดข่าวล่า-มาเรือ ที่ย่อมเป็น “ข่าวจริง” อยู่แล้วแน่ๆ นั่นก็คือข่าวความขัดแย้งระหว่างรัฐมนตรีน้ำมันและรองนายกรัฐมนตรีอิรัก “นายThamir Ghadban” กับบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านพลังงานของอเมริกา คือบริษัท “ExxonMobil” อันเนื่องมาจากการเจรจาที่ไม่ลงตัว ในเรื่องผลประโยชน์ต่างตอบแทน ที่บริษัทแห่งนี้ต้องการได้ค่าตอบแทนในการเข้าไปช่วยฟื้นฟูสิ่งก่อสร้างและสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานในอิรัก สูงเกินกว่าที่รัฐบาลอิรักจะรับได้ โดยเฉพาะเมื่อ “ยึดผลประโยชน์แห่งชาติ” เป็นที่ตั้ง และนั่นเอง...ที่ว่ากันว่า ได้ทำให้ “ตัวละคร” อย่างนายพล “กอเซ็ม สุไลมานี” ผู้บัญชาการกองกำลัง “Quds Force” ของอิหร่าน ได้เข้ามาชี้แนะ ชี้นำ ให้อิรัก “หันไปหาจีน” กันแทนที่ และทำให้การเดินทางไปเยือนประเทศจีนอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรีอิรัก “นายอาเดล อับดุล มาห์ดี” ระหว่างช่วงวันที่ 19-23 กันยายนปีที่แล้ว สามารถบรรลุข้อตกลงความร่วมมือกับจีน ถึงประมาณ 8 ประการหลักๆ ด้วยกัน ไม่ว่าในด้านการเงิน การค้า ความมั่นคง การฟื้นฟูบูรณะสิ่งก่อสร้าง การสื่อสาร วัฒนธรรม การศึกษา รวมทั้งการลงทุนในด้านน้ำมัน โดยเฉพาะข้อตกลงที่สำคัญเอามากๆ ก็คือการเปลี่ยนผู้ที่จะเข้ามาช่วยฟื้นฟูบูรณะอิรักโดยแลกกับผลประโยชน์ตอบแทนด้วยน้ำมัน จากบริษัท “ExxonMobil” ของอเมริกา ไปเป็นบริษัท “China National Offshore Oil Corp” และบริษัท “Sinopec” ของจีนกันแทนที่ ชนิดบริษัทจีนบางบริษัท เช่น “CMEC” (China Machinery Engineering Corp) เริ่มเข้าไปสร้างสิ่งสาธารณูปโภคอย่างโรงไฟฟ้า ในจังหวัด “Salahuddin” หรือภาคตะวันตกของจังหวัด “Diyala” ฯลฯ กันบ้างแล้ว...
อันนี้นี่แหละ...ที่เลยทำให้เกิด “ข่าวจริง” หรือ “ข่าวปลอม” ก็ไม่รู้ว่า นายกรัฐมนตรี “อับดุล มาห์ดี” ได้บอกเล่ากับบรรดาสมาชิกสภาอิรัก ถึงการถูกผู้นำอเมริกาโทรศัพท์มา “ขู่” ครั้งแล้ว ครั้งเล่า ให้ “ยกเลิกข้อตกลงกับจีน” โดยเด็ดขาด มิฉะนั้น...อาจต้องเจอการประท้วง การยกระดับการประท้วง ไปจนการลอบสังหารตัวละครรายสำคัญ อย่างนายพล “กอเซ็ม สุไลมานี” ในดินแดนอิรัก โดยไม่คิดจะฟังคำห้ามปรามของนายกรัฐมนตรีอิรักเอาเลยแม้แต่น้อย แถมยังไม่คิดจะถอนทหารอเมริกันออกไปซะด้วย โดยถ้ายังคิดจะขับไสไล่ส่งขึ้นมาเมื่อไหร่ ก็อาจยึดบัญชีธนาคาร ตามด้วยการ “แซงชั่น” แบบสุดแสนจะโหดร้าย หรือแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อนในประวัติศาสตร์เอาเลยถึงขั้นนั้น ฯลฯ...
อาการของประเทศอิรักในทุกวันนี้...เลยหนักไปทางทั้งโรคซ้ำ กรรมซัด วิบัติเป็น มิแลเห็นที่ซึ่งจะพึ่งพาใดๆ ได้เลย คือถ้าไม่ยอมอเมริกา เศรษฐกิจของประเทศก็อาจล่มสลายได้แบบฉับพลัน-ทันที รวมทั้งอาจต้องเจอกับการประท้วงแบบชนิดหนักหน่วง รุนแรง และไม่มีวันรู้จบ แบบเดียวกับพวก “ม็อบฮ่องกง” เอาเลยก็ไม่แน่ แต่ถ้าหากยอมอเมริกา ก็ไม่แน่ว่าดินแดนบางส่วนของประเทศอาจต้องตกไปอยู่ในมือของ “ผู้ก่อการร้าย” ไอซิส ไอซิล ซึ่งกำลังทยอยนั่งเครื่องบินอเมริกา กลับมาสู่พื้นที่ภาคตะวันตกของอิรักเพื่อประสานงานกับกองกำลังอเมริกันที่บุกเข้าไปปล้นบ่อน้ำมันแถวๆภาคตะวันออกเฉียงใต้ของซีเรีย จนอาจเกิดประเทศ “อิสลามซูเปอร์สเตท” ขึ้นมาใหม่เมื่อไหร่ก็ย่อมได้...
ไม่งั้น...ก็อาจต้องหันไปร่วมมือกับอิหร่าน จีน และรัสเซีย แบบให้ถึงเลือด-ถึงเนื้อกันไปข้าง หรือต้องพยายามหาทางร่วมมือกับบรรดาประเทศในภูมิภาคตะวันออกกลางทั้งมวล ให้ช่วยร่วมกัน “ชดใช้หนี้แค้น” ให้กับ “วีรบุรุษแห่งโลกมุสลิม” อย่างนายพล “สุไลมานี” ด้วยการ “ขับไล่ฐานทัพอเมริกา” ออกจากแต่ละประเทศ ไม่ใช่แต่เฉพาะในอิรักเท่านั้น ให้จงได้!!! ซึ่งจะเป็นไปได้-เป็นไปไม่ได้ ก็ยังยากที่จะสรุปในช่วงนี้ แต่อย่างไรก็ตาม...โดยข้อมูลตัวเลขสถิติที่นักวิเคราะห์กิจการต่างประเทศชาวอเมริกัน อย่าง “นายSam Fouad” ได้เคยสรุปไว้ในข้อเขียน บทความเรื่อง “Iraq May Be Central to China’s Economic Aspiration in Middle East” ในเว็บไซต์ “The Global Post” เมื่อไม่นานมานี้ ก็น่าสนใจไม่น้อย นั่นคือการชี้ให้เห็นว่า โดยแนวโน้มปริมาณการค้าของบรรดาประเทศตะวันออกกลางทั้งหลายจำนวนไม่น้อย เริ่มเกิดอาการ “ผกผัน” อย่างเห็นได้ชัดเจนในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เช่นประเทศสาธารณรัฐอาหรับเอมิเรสต์ หรือยูเออี ที่เพิ่มปริมาณการส่งสินค้าออกไปจีนจนมากกว่าปริมาณการส่งออกไปอเมริกาถึง 3 เท่า เช่นเดียวกับคูเวต กาตาร์ และโอมาน ที่ปริมาณสินค้าส่งออกไปยังประเทศจีนเพิ่มขึ้นจนมากกว่าอเมริกาถึง 8 เท่า และโดยรวมๆ บรรดาประเทศเหล่านี้ ต่างนำเข้าสินค้าจากประเทศจีนมากกว่าสินค้าที่นำเข้าจากอเมริกาไม่น้อยไปกว่า 28 เท่า อันนี้นี่แหละ...เลยคงต้องสรุปว่า สำหรับหนังเรื่องนี้ยังคงเพิ่งเริ่มแค่หัวม้วน ยังไม่ถึงกลางเรื่อง ดังนั้น...ในตอนอวสานจะจบกันในแบบไหน อย่างไร จะต้องโศกเศร้าเคล้าน้ำตากันโดยตลอด หรือจะมีโอกาส “แฮปปี้เอ็นดิ้ง” ได้มั่ง หนีไม่พ้นต้อง “ตามไปดู” กันอีกนานพอสมควร...