ด้วยความ “หูแหก-ตาแหก” ของผู้คนในระดับโลก...เลยทำให้เรื่องโรคระบาดเมืองจีน หรือ “COVID-19” ยังคงเป็น “ไฮไลต์” ของข่าวคราวต่างประเทศอยู่ในทุกวันนี้ ส่วนจะ “แหก” กันไปถึงระดับไหน ก็แทบไม่ต้องเสียเวลาอธิบาย แค่ลองหันไปดูปฏิกิริยาของชาวเมือง “Kharkiv” เมืองเล็กๆ ในประเทศยูเครน เมื่อช่วงวันพฤหัสฯ (27 ก.พ.) ที่ผ่านมา ก็น่าจะพอนึกภาพออก ว่าความห่วงใยต่อสุขภาพตัวเอง หรือ “ความเห็นแก่ตัว” นั้น มันก่อให้เกิดอาการอุจจาระขึ้นสมองไปได้ถึงขั้นไหน...
คือแค่มีการปล่อย “ข่าวปลอม” หรือ “Fake News” จากใครก็ไม่รู้? ที่ไม่ใช่ชาวยูเครน หรือเป็นนักปล่อยข่าวจากนอกประเทศซะอีกด้วย แต่ก็สามารถทำให้ชาวเมือง “Kharkiv” อันเป็นเมืองที่รัฐบาลยูเครน กะจะเจียดพื้นที่เอาไว้เป็นแหล่งกักกันโรค ของบรรดาชาวยูเคนและชาวต่างประเทศบางราย ที่ถูกขน ถูกอพยพมาจากเมืองอู่ฮั่น เพื่อเฝ้าดูและเฝ้าระแวดระวังอาการไปตามกระบวนการขั้นตอนของการเอาชนะโรคระบาดโดยปกติ เกิดอาการหวาดผวา ขนลุกขนพองถึงขั้นต้อง “ลงถนน” ต้องดาหน้าออกมาประท้วงรัฐบาล เผายางรถยนต์ สร้างเครื่องกีดขวางบนท้องถนน ระดมขว้างปาสิ่งของใส่ขบวนรถขนผู้อพยพที่ยังไม่รู้ว่าติดเชื้อ-ไม่ติดเชื้อ บางรายถึงขั้นกู่ก้องร้องตะโกน ว่าจะตามไป “เผาโรงพยาบาล” ที่ใช้เป็นสถานที่กักกันโรค หรือที่อนุญาตให้บรรดาผู้อพยพเหล่านี้ ได้พักพาอาศัยซะอีกต่างหาก...
ระดับถึงขั้นที่รัฐมนตรีสาธารณสุขยูเครน ต้องออกมาประกาศอาสาไปใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับบรรดาผู้ถูกกักกันโรคด้วยตัวของตัวเองตลอดช่วง 2 สัปดาห์ พร้อมกับขอร้องวิงวอนชาวยูเครนทั้งหลาย อย่าปล่อยให้ “ความกลัว” กลายเป็น “ความรังเกียจ” ต่อมวลมนุษยชาติ หรือเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเองต่อไปอีกเลย ส่วนจะได้ผล-ไม่ได้ผล อันนั้น...คงขึ้นอยู่กับระดับ “ความเห็นแก่ตัว” ของแต่ละคน แต่ละราย แต่ละชาติ แต่ละภาษา ที่ต้องไปว่ากันเอาเองเป็นรายๆ แต่ด้วย “ความหูแหก-ตาแหก” ในลักษณะเช่นนี้ มันเลยทำให้ข่าวคราวเรื่องไวรัส “COVID-19” ยังคงเป็นข่าวใหญ่ ข่าวโต ข่าว “ไฮไลต์” ไปอีกนาน หรือจนกว่าทุกสิ่งทุกอย่างสามารถเป็นไปตามคำพูด คำรับประกันของทูตจีนประจำรัสเซีย “นายZhang Hanhui” ที่ประกาศเอาไว้ต่อหน้ารองประธานสภาดูมาแห่งรัสเซีย นั่นแหละว่า “จีนจะเอาชนะไวรัสตัวนี้ได้แบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ภายในปลายเดือนมีนาคมที่จะถึงนี้...”
ภายใต้ “ความเห็นแก่ตัวระดับปัจเจกบุคคล” หรือความกลัวเชื้อไวรัส “COVID-19” ที่ยังคงมาแรงแซงโค้งเอามากๆ มันเลยสามารถกลบข่าวคราว “ความเห็นแก่ตัวในระดับชาติ” ชนิดแทบไม่มีใครคิดจะพูดถึง เอ่ยถึง ทั้งๆ ที่มันอาจก่อให้เกิดความพินาศฉิบหายต่อชีวิตของมวลมนุษย์นับเป็นแสนๆ ล้านๆ ภายในช่วงเวลาแค่ไม่กี่วัน ไม่กี่ชั่วโมง ไม่ต้องรอเป็นเดือนๆ เป็นสัปดาห์ๆ เอาเลยก็ว่าได้ นั่นคือข่าวคราวที่รัฐบาลตุรกีของประธานาธิบดี “เรเซป เทย์ยิป เออร์โดกัน” (Recep Tayyip Erdogan) ที่คุณน้อง “แชมป์” ช่อง 3 ของบ้านเรา เคยเรียกขานในนาม “ตายยิบ” อะไรประมาณนั้น ที่เตรียมส่งกำลังทหารตุรกีบุกเข้าไปในดินแดนประเทศซีเรีย เพื่อเผชิญหน้ากับกองทัพซีเรียของประธานาธิบดี “อัล-อัสซาด” หรืออาจต้องเผชิญหน้ากับกองทัพรัสเซียไปจนถึงกองทัพอิหร่าน ซึ่งพร้อมหนุนหลังรัฐบาลซีเรียในปฏิบัติการยึดฐานที่มั่นแห่งสุดท้ายของบรรดาพวก “ผู้ก่อการร้าย” ที่เมือง “อิดลิบ” (Idlib) พื้นที่บริเวณภาคตะวันตกเฉียงเหนือของซีเรีย อันไม่เพียงส่งผลถึงชีวิตของผู้คนนับล้านๆ หรือประมาณ 3 ล้านคน ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่แห่งนี้ ยังอาจส่งผลต่อ “กระบวนการสันติภาพ” ในซีเรีย ที่ทั้งรัสเซีย-อิหร่าน-และตุรกี เคยร่วมไม้ ร่วมมือ เป็นเจ้าภาพ พยายามประคับประคองให้เป็นจริงเป็นจังขึ้นมาให้ได้ หลังเกิด “สงครามกลางเมือง” ต่อเนื่องยาวนานมาเกือบ 20 ปี หรือเกือบ 2 ทศวรรษ สร้างความเจ็บปวดรวดร้าว ทรมานทรกรรมให้กับผู้คน หนักซะยิ่งกว่าไวรัส “COVID-19” ไม่รู้กี่สิบ กี่ร้อยเท่า...
และเหตุที่รัฐบาลตุรกีของประธานาธิบดี “เออร์โดกัน” ท่านต้องหันมา “ใส่กันเอง” หรือหันมาสร้างปัญหาให้กับบรรดาผู้ใฝ่ใจในสันติภาพด้วยกันเอง ก็คงหนีไม่พ้นไปจาก “ความเห็นแก่ตัวในระดับชาติ” ที่อาจเรียกให้สวยหรู ให้ไพเพราะเพราะพริ้งขึ้นมาหน่อย ว่า “ผลประโยชน์แห่งชาติ” นั่นเอง คือตั้งแต่แรกเริ่มเดิมที ที่ท่านหันไปร่วมมือกับบรรดาประเทศตะวันตกและคุณพ่ออเมริกา เพื่อบดขยี้เล่นงานรัฐบาล “อัล-อัสซาด” ของซีเรีย สนับสนุนและก่อตั้งกลุ่มก่อการร้าย ไม่ว่าสายอ่อน สายแก่ หรือสายกลาง ที่มุ่งโค่นล้มระบอบการปกครองซีเรียให้จงได้ ก็เพื่อ “ผลประโยชน์แห่งชาติ” ของประเทศตุรกีนั่นแหละเป็นหลัก ถึงขั้นช่วงหนึ่ง ทำให้ตุรกีหวิดต้องฟาดปากกับรัสเซียที่เข้าไปช่วยเหลือประธานาธิบดี “อัล-อัสซาด” แบบตรงไป-ตรงมา หรือช่วงที่กองทัพตุรกี “สอย” เครื่องบินรัสเซีย ร่วงจากน่านฟ้าไปต่อหน้าต่อตา เมื่อปี ค.ศ. 2015 ทำให้รัสเซียต้องตอบโต้ด้วยการหันมา “บอยคอต” สินค้าเข้าจากตุรกี สร้างความเสียหายในทางเศรษฐกิจมิใช่น้อย...
แต่หลังจากการที่ต้องเผชิญหน้ากับรัสเซีย โดยที่พันธมิตรอย่างยุโรป หรืออเมริกา แทบไม่ได้ช่วยเหลืออะไรเลย แถมเมื่อเกิดความพยายาม “ก่อรัฐประหาร” ในตุรกีปี ค.ศ. 2016 โดยที่บรรดาผู้ก่อรัฐประหาร น่าเชื่อ หรือน่าสงสัยว่า มีสัมพันธภาพที่แนบแน่นเหนียวแน่นอยู่กับบรรดาประเทศยุโรปและอเมริกา ผู้นำตุรกีอย่างประธานาธิบดี “เออร์โดกัน” ท่านก็เลยหันมา “กลิ้งไว้ก่อนพ่อสอนไว้” หรือหันมาเปลี่ยนข้าง ย้ายข้างกลายไปเป็นพันธมิตรกับบรรดาผู้ที่ให้ความช่วยเหลือรัฐบาล “อัล-อัสซาด” ของซีเรีย อย่างรัสเซียและอิหร่าน อย่างชนิดหนึบหนับเอามากๆ ไม่เพียงแต่กลายเป็น “พันธมิตร” ผู้ร่วมอาสาผลักดันกระบวนการสันติภาพให้อุบัติขึ้นมาในซีเรียให้จงได้ พร้อมทำ “ข้อตกลง 3 ฝ่าย” (รัสเซีย-อิหร่าน-ตุรกี) หรือ “ข้อตกลงอัสตานา” ณ ประเทศคาชัคสถาน เมื่อปี ค.ศ. 2017 “ข้อตกลงโซชิ” ณ เมืองโซชิประเทศรัสเซีย เมื่อปีค.ศ. 2018 ซึ่งล้วนแล้วแต่มุ่งหมายเพื่อที่จะให้เกิด “สันติภาพ” ขึ้นมาในประเทศซีเรียด้วยกันทั้งสิ้น แถมยังพร้อมหันไปซื้อระบบป้องกันภัยอากาศ “S-400” จากรัสเซียโดยไม่ว่าจะถูกคุณพ่ออเมริกาขู่แล้ว ขู่อีก ก็ตาม รวมไปถึงพร้อมร่วมมือสร้างท่อส่งแก๊สจากรัสเซีย ข้ามทะเลดำ ผ่านตุรกีทะลุไปยังทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ฯลฯ...
เรียกว่า...หันมา “จูบปาก” กันชนิดดูดดื่ม และดื่มด่ำเอามากๆ จนทำให้ต้องเผชิญหน้า ต้องเจอกับแรงกดดันจากคุณพ่ออเมริกาครั้งแล้ว ครั้งเล่า แต่ก็ด้วย “ผลประโยชน์แห่งชาติ” เป็นที่ตั้ง ผู้นำตุรกีอย่างประธานาธิบดี “เออร์โดกัน” ท่านก็พร้อมที่จะ “เล่นไพ่รัสเซีย” แบบแทบหมดหน้าตักเอาเลยถึงขั้นนั้น แต่เมื่อครั้น“กระบวนสันติภาพในซีเรีย” ก้าวมาถึงจุดที่จะต้องหาทางสร้างความยั่งยืนถาวรให้กับหลักประกันแห่งสันติภาพ ด้วยการสลาย “ฐานที่มั่นแห่งสุดท้าย” ของการก่อการร้าย ให้สูญสิ้นลงไปแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด เพื่อที่จะสามารถ “เดินหน้า” กระบวนสันติภาพ การสร้างรัฐธรรมนูญชั่วคราว และการเลือกตั้งครั้งใหม่ตามระบอบประชาธิปไตย ที่ทุกฝ่ายซึ่งไม่ใช่ “ผู้ก่อการร้าย” ต่างมีส่วนร่วมด้วยกันทั้งสิ้น อันนี้นี่แหละ...ที่อาจไปกระทบกระเทือนต่อ “ผลประโยชน์แห่งชาติ” หรือต่อ “ความเป็นตัวกู-ของกู” ของประเทศตุรกี จนต้องเกิดอาการ “กลิ้งไว้ก่อนพ่อสอนไว้” ขึ้นมาอีกครั้ง หรือเกิดการประกาศว่าตุรกีกำลังคิดส่งกำลังทหารบุกเข้าไปในดินแดนประเทศซีเรีย โดยไม่ว่าต้องเผชิญหน้ากับกองทัพรัฐบาลซีเรีย หรือ “ผู้หนุนหลัง” อย่างคุณน้ารัสเซีย ก็ตามแต่ โดยเหตุการณ์จะเป็นไปเช่นไรต่อไปนั้น คงต้องมาว่ากันต่อวันพรุ่งนี้อีกสักวันก็แล้วกัน...