ข่าวคราวเรื่องการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส “COVID-19” ยังคงเป็น “ไฮไลต์” ในระดับโลกอยู่เหมียนเดิม...แต่เพื่อไม่ให้ต้องหมกมุ่นมัวเมาอยู่กับ “ความกลัว” หรือ “ความหูแหก-ตาแหก” จนเกินไป เปิดฉากสัปดาห์นี้...เลยต้องขออนุญาตเปลี่ยนบรรยากาศ ไปว่ากันเรื่องอื่นๆ ที่อาจมีความน่าสนใจ น่าติดตาม ไม่น้อยไปกว่าการวิ่งไล่กวด ไล่ตาม พวก “ผีน้อย” เป็นไหนๆ...
อย่างเรื่องแนวโน้มการเผชิญหน้า การปะทะกันด้วยกำลังทหารระหว่างกองทัพรัสเซีย กองทัพตุรกี หรือเผลอๆ อาจต้องบวกกองทัพนาโตเข้าไว้อีกด้วย ในปัญหาความไม่ลงรอย ลงตัวในการบริหารจัดการพื้นที่บริเวณชายแดนซีเรียและตุรกี ที่เรียกๆ กันว่าจังหวัด “อิดลิบ” นั่นแหละ วัน-สองวันที่ผ่านมา หรือช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ก็ต้องถือเป็น “ข่าวดี” หรือข่าวที่ออกไปทางแง่บวก เมื่อการพบปะเจรจาระหว่าง 2 ผู้นำที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับปัญหาที่ว่า คือประธานาธิบดี “วลาดิมีร์ ปูติน” ของรัสเซีย ที่เข้าไปช่วยสนับสนุน ช่วยผลักดันให้เกิดกระบวนการสันติภาพในซีเรีย กับประธานาธิบดี “เออร์โดกัน” แห่งตุรกี เมื่อช่วงวันศุกร์ (6 มี.ค.) ที่ผ่านมา ซึ่งน่าจะออกไปทาง “แฮปปี้ เอนดิ้ง” อยู่พอสมควร...
คือถึงแม้จะไม่สามารถช่วยคลี่คลายทุกสิ่งทุกอย่างที่ยังเป็น “ปัญหา” ไปได้ด้วยกันทั้งหมด แต่การบรรลุความเห็นพ้องต้องกันว่าจะต้องหยุดยิง หยุดฆ่า หยุดปะทะกันเอาไว้ชั่วคราว กองกำลังทหารซีเรียที่ได้รับการสนับสนุนจากกองทัพรัสเซีย จะยังไม่บุกต่อลึกเข้าไปในจังหวัดอิดลิบ ส่วนกองกำลังทหารตุรกีก็จะถอยออกจากพื้นที่ ไม่โผล่เข้าไปแทรกแซงช่วยเหลือพวกผู้ก่อการร้าย ไม่ว่าจะเรียกว่าสายกลาง สายตึง หรือสายหย่อนก็แล้วแต่ ปล่อยให้พื้นที่ดังกล่าวเป็น “เขตแนวกันชน” (Buffer Zones) ไปพลางๆ หรือแม้ว่าอาจต้องเรียกว่า “สันติภาพชั่วคราว” อะไรประมาณนั้น แต่ก็ยังถือว่า น่าจะดีกว่าการหันมา “ใส่” กันเอง ของพันธมิตร 3 ฝ่าย อย่าง “รัสเซีย-อิหร่านและตุรกี” ที่ต่างพยายามร่วมผลักดันกระบวนการสันติภาพในซีเรียด้วยกันมาโดยตลอด อันอาจกลายเป็นการเปิดช่องว่าง เปิดโอกาสให้ “ผู้กระหายสงคราม” หรือผู้ที่อยากให้แต่ละฝ่ายหันมา “ตีกันเอง”อยู่แล้ว อย่างคุณพ่ออเมริกา หรืออิสราเอล สามารถตักตวงผลประโยชน์จากการกระทบ กระทั่ง ดังกล่าว หรือแม้กระทั่งสามารถ “จุดชนวนสงคราม” ขึ้นมาในพื้นที่บริเวณนี้ได้ง่ายๆ...
ส่วนในอาณาบริเวณพื้นที่ใกล้เคียงกัน อันนี้...ก็ไม่รู้ว่าจะสรุปว่าเป็น “ข่าวดี” หรือ “ข่าวร้าย” เมื่อเกิดข่าวคราวในช่วงวันศุกร์อีกเช่นกัน ว่ารัฐบาลซาอุดีอาระเบีย ที่อยู่ภายใต้อำนาจ อิทธิพลของมกุฎราชกุมาร เจ้าชาย “MbS” หรือ “โมฮัมหมัด บิน ซัลมาน” (Mohammed bin Salman) ได้ตัดสินใจกวาดจับ กวาดล้างเชื้อพระวงศ์ หรือสมาชิกราชวงศ์ “อัล-ซาอุด” ด้วยกันเอง ในข้อหา “วางแผนก่อรัฐประหาร” ซึ่งรายชื่อของผู้ที่ถูกกวาดจับคราวนี้ ต้องเรียกว่า...เบ้งๆ หรือเบ้อเร่อเหิ่มไปด้วยกันทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น “พระเจ้าอา” หรือน้องชายแท้ๆ ของกษัตริย์ “ซัลมาน” แห่งซาอุดีอาระเบีย ผู้เป็นบิดาบังเกิดเกล้าของเจ้าชาย “MbS” นั่นแหละ นั่นคือเจ้าชาย “อาเหม็ด บิน อับดุลอาซิส” (Ahmed bin Abdulaziz) ที่ถือเป็น 1 ใน 3 ผู้ทรงอิทธิพลสูงสุดในราชวงศ์ “อัล-ซาอุด” รวมทั้งอดีตรัฐมนตรีมหาดไทยซาอุฯ ที่เคยเป็นอดีตมกุฎราชกุมารมาก่อนหน้าเจ้าชาย “MbS” อีกซะด้วย คือเจ้าชาย “โมฮัมหมัด บิน นาเยฟ” (Mohammed bin Nayef) รวมทั้งน้องชาย คือเจ้าชาย “นาวาฟ บิน นาเยฟ” (Nawaf bin Nayef) ต่างถูกจับเอามา “ปรับทัศนคติ” หรือเอามาทำอะไรก็มิอาจรับรู้ รับทราบกันได้ถนัดชัดเจน...
แต่ที่แน่ๆ ก็คือ...มันออกจะเป็นอะไรที่สะเทือนเลื่อนลั่นต่อทิศทางทางการเมืองของราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย อันถือเป็นผู้เล่นตัวหลัก ในภูมิภาคตะวันออกกลาง ที่สามารถทำให้โฉมหน้าความเป็นไปของภูมิภาคนี้ เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังตีน หรือหลังตีนเป็นหน้ามือได้เสมอๆ แม้ว่าการกวาดจับ หรือกวาดล้าง บรรดา “เจ้าชาย” ผู้เป็นสมาชิกในราชวงศ์ “อัล-ซาอุด” จะเป็นสิ่งที่เคยปรากฏให้เห็นมาแล้วไม่รู้กี่ครั้ง ต่อกี่ครั้ง เช่นกวาดจับเจ้าชายถึง 11 รายเอาไปรวมไว้ในโรงแรมห้าดาวเมื่อไม่นานมานี้ แถมบางเจ้าชาย เช่น เจ้าชาย “อัลวาลีด บิน ทาลาล” (Alwaleed bin Talal) ที่ได้ชื่อว่าเป็นอภิมหาเศรษฐีอันดับหนึ่งของโลก มีข่าวว่าถูก “เรียกค่าไถ่” ไปซะอีกต่างหาก หรือเจ้าชายอีก 3 เจ้าชาย ทั้งที่อุตสาห์เผ่นหนี หรือเผ่นไปตั้งหลักอยู่ในแถบทวีปยุโรปไม่ว่าฝรั่งเศส สวิส หรืออิตาลี ยังเคยถูกหลอกล่อให้ขึ้นเครื่องบิน ส่งกลับมาคุมขังไว้ที่ซาอุฯ เอาดื้อๆ แต่สำหรับครั้งนี้...ต้องถือว่า ออกจะหนักหน่วง ร้ายแรงกว่าครั้งใดๆ เท่าที่เคยมีมา...
เพราะสำหรับเจ้าชาย “อาเหม็ด บิน อับดุลอาซิส” 1 ใน 3 ผู้ทรงอิทธิพลสูงสุดในราชวงศ์ “อัล-ซาอุด” นั้น...เดิมทีท่านเคยปักหลักอยู่ในอังกฤษ แต่จะด้วยสาเหตุอันเนื่องมาจากความปั่นป่วนรวนเรของราชวงศ์ หรือสาเหตุอันใดก็มิอาจทราบได้ ท่านเลยทรงตัดสินใจ “นิวัติพระนคร” หรือกลับมาใช้ชีวิตอยู่ในราชอาณาจักรซาอุฯ ตั้งแต่ช่วงเดือนตุลาคมปีที่แล้ว และนับจากนั้นก็มีข่าวว่าท่านทรงออก “เดินสาย” หรือออกเดินทางไปพบกับบรรดาสมาชิกราชวงศ์หลายต่อหลายรายด้วยกัน จนทำให้เกิดข้อสงสัยว่าท่านอาจคิดเล่นงาน “พระเจ้าหลาน” หรือคิดโค่นล้มอำนาจของมกุฎราชกุมาร “MbS” มาแล้วตั้งแต่บัดนั้น เพราะโดยทัศนคติหรือมุมมองในบางเรื่อง บางราว ระหว่าง “พระเจ้าอา” กับ “พระเจ้าหลาน” ออกจะเป็นอะไรที่เป็นคนละเรื่อง คนละม้วน อย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะเรื่อง “สงครามเยเมน” ที่ท่านเคยแสดงออกถึงความไม่เห็นด้วยอย่างชัดเจน แม้จะ “แก้ตัว” ว่าพูดผิดแล้วพูดใหม่ ในภายหลังก็ตาม...
เช่นเดียวกับ เจ้าชาย “โมฮัมหมัด บิน นาเยฟ” อดีตรัฐมนตรีมหาดไทยและอดีตมกุฎราชกุมารก่อนหน้า “MbS” ที่ถูกกษัตริย์ “ซัลมาน” เปลี่ยนตัวเอา “ลูกชายบังเกิดเกล้า” ไปดำรงตำแหน่งซะแทนที่ รายนี้นั้น...เชื่อๆ กันว่าถือเป็น “สายตรง” ของหน่วยงานข่าวกรองอเมริกันอย่าง “ซีไอเอ” มาตั้งแต่อ้อนแต่ออก หรือเป็นผู้ที่รัฐบาลอเมริกันทั้งยุ ทั้งเชียร์ หวังจะให้ขึ้นครองราชย์บัลลังก์ซาอุฯ มาโดยตลอด แต่เมื่อถูก “ทรงพระถีบ” ออกจากเส้นทางอำนาจ โดยกษัตริย์ “ซัลมาน” รัฐบาลอเมริกันยุค “ทรัมป์บ้า” ก็เลยหันไปเปลี่ยนหน้าไพ่ หันไปอี๋ๆ อ๋อๆ กับเจ้าชาย “MbS” กันแทนที่ แต่นั่นก็ใช่ว่า...จะทำให้หน่วยงานอย่าง “ซีไอเอ” จะยอมทิ้งไพ่ หรือเลิกเล่นไพ่ เจ้าชาย “โมฮัมหมัด บิน นาเยฟ” ไปซะทั้งหมดก็หาไม่...
ยิ่งในช่วงหลังๆ ที่สถานะ อำนาจของเจ้าชาย “MbS” ชักมี “ปัญหา” ยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่ากรณีฉาวโฉ่ระดับโลก เรื่องฆาตกรรมนักหนังสือพิมพ์ชาวซาอุฯ อย่าง “นายจามาล คาชอกกี” (Jamal Khashoggi) คาสถานทูตในตุรกี เรื่องความไม่มีประสิทธิภาพในการรับมือการโจมตีของพวก “กบฏเยเมน” ที่สามารถถล่มคลังน้ำมันซาอุฯ ชนิดเดี้ยงเกือบครึ่งประเทศ เมื่อช่วงเดือนกันยายนปีที่แล้ว และที่สำคัญเอามากๆ คือข่าวคราวเรื่อง “ทรงเสวยเกาเหลา” หรือทรงเกิดอาการ “ไม่กินเส้น” กับกษัตริย์ “ซัลมาน” ผู้เป็นบิดาบังเกิดเกล้าของตัวเอง จนการตายหรือการฆาตกรรม “องครักษ์” ผู้ใกล้ชิดกษัตริย์ “ซัลมาน” ซึ่งถูกออกข่าวว่าเป็นเรื่องส่วนตัวนั้น ถูกนำไปร่ำลือ ถือเป็นรอยแยก รอยแตก ระหว่างพ่อกับลูกคู่นี้ อย่างเห็นได้ชัดเจน ฯลฯ บรรดาสิ่งเหล่านี้นี่เองที่ทำให้บทบาทของหน่วยงานข่าวกรองอเมริกัน อย่าง “ซีไอเอ” จึงยังมีความเกี่ยวข้อง โยงใยกับการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองใดๆ ก็ตามในราชอาณาจักรซาอุฯ อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธได้...
การกวาดจับ หรือกวาดล้าง ผู้ต้องสงสัยว่าคิด “วางแผนรัฐประหาร” ต่อมกุฎราชกุมาร เจ้าชาย “MbS” ในคราวนี้...จึงจะนำไปสู่ฉากสถานการณ์ความเป็นไปใน “แง่บวก” หรือ “แง่ลบ” จะถือเป็น “ข่าวดี” หรือ “ข่าวร้าย” ต่อภูมิภาคตะวันออกกลางทั้งภูมิภาคหรือต่อโลกทั้งโลกในแบบไหน อย่างไร??? อันนี้นี่แหละ...ที่คงต้องติดตาม คอยจับตาอย่างมิอาจกะพริบตาได้เลย...