"ณ บ้านพระอาทิตย์"
"ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์"
วิกฤตการระบาดของ โคโรนาไวรัส 2019 หรือ ไวรัสโควิ-19 นั้นได้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั่วโลกอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน แม้ว่าโคโรนาไวรัส 2019 จะไม่ได้มีอัตราเสียชีวิตมากเท่ากับ โรคซาร์ส หรือโรคเมอร์ส ซึ่งเป็นโรคที่มาจากไวรัสตระกูลเดียวกัน แต่การที่โลกมีการใช้โซเชียลมีเดียกันอย่างกว้างขวางกว่าสมัยก่อนมาก ทำให้ความตื่นตระหนกทั้งที่มาจากข่าวจริงและข่าวปลอมได้แพร่กระจายไปทั่วโลก ส่งผลต่อภาคการผลิต การท่องเที่ยว ราคาหุ้นตกลง และทำให้ราคาทองคำซึ่งซึมมาเป็นเวลาหลายปีทะยานพุ่งสูงขึ้นอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน
ไม่เพียงราคาทองคำเท่านั้นที่สูงเพิ่มขึ้น ธุรกิจผลิตหน้ากากอนามัยปลอมและไม่ได้มาตรฐานเกลื่อนเมืองและเกลื่อนโลก นอกจากนั้นหน้ากากอนามัยที่ได้มาตรฐานหรือมีใบรับรองก็ขาดตลาดผลิตไม่ทัน และก่อนหน้านี้ก็มีการเก็งกำไรกักตุนเช่นเดียวกัน
เพราะโคโรนาไวรัส 2019 มีอัตราการเสียชีวิตที่ไม่มาก ระยะฟักตัวช้าถึง 14 วัน และในบางรายอาจแสดงอาการไม่มาก โอกาสการคัดกรองจึงทำได้ยาก และเป็นเหตุปัจจัยในการระบาดลุกลามมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหตุการระบาดครั้งนี้จากการสัมผัสของผู้ป่วย ที่แม้จะไม่ได้สัมผัสโดยตรงกับผู้ป่วย แต่การสัมผัสวัตถุต่อเนื่องของการสัมผัสของผู้ป่วยนั้นคือต้นเหตุที่แท้จริง
ตัวอย่างเช่น ปุ่มกดลิฟต์ ที่จับประตู ราวบันไดเลื่อน ที่จับหรือราวจับในรถขนส่งผู้โดยสารในสนามบิน ฯลฯ หากผู้ป่วยที่มีสารคัดหลั่งและมีไวรัสปนเปื้อนติดมือมา ก็มีโอกาสอย่างยิ่งที่ไวรัสเหล่านั้นจะติดต่อกับคนอื่นๆจากวัตถุเหล่านี้ที่ผู้ป่วยสัมผัส โดยเฉพาะหากวัตถุนั้นมีการสัมผัสในทางสาธารณะต่อเนื่องจากบุคคลทั่วไป ก็จะยิ่งทำให้มีโอกาสติดเชื้อชนิดนี้ได้มากขึ้น จริงหรือไม่?
แม้แต่หน้ากากอนามัย หากผู้ที่ใช้หน้ากากอนามัยไม่มีความระมัดระวังก็มีโอกาสที่มือซึ่งสัมผัสกับไวรัสในวัตถุสาธารณะมาสัมผัสหน้ากากอนามัยได้ด้วย และเมื่อมือไปสัมผัสด้านหน้าของหน้ากากอนามัยแล้วมาเช็ดถูหน้าต่ออีก ก็มีโอกาสจะติดไวรัสด้วยเช่นเดียวกัน นี่คือเหตุผลว่าเว็บไซต์ขององค์การอนามัยโลกต้องประกาศให้ผู้ใช้หน้ากากอนามัยเวลาถอดออกนั้น ห้ามสัมผัสด้านหน้าของหน้ากาก และให้ถอดออกจากด้านหลังมาด้านหน้า
ยังไม่นับว่าในทุกวันนี้ที่มีการใช้หน้ากากอนามัยต่อเนื่องก็มีการทิ้งหน้ากากอนามัยและกระดาษทิชชูที่ใช้แล้ว ตลอดจนวัตถุอื่นๆ ที่ผู้ป่วยอาจสัมผัสแล้วใส่ลงในถังขยะทั่วไป ลองคิดดูว่าการระบาดจะไปไกลได้แค่ไหน ตั้งแต่ แม่บ้านที่ทำความสะอาดโอนถ่ายจากถังขยะไปในจุดรวมขยะ เจ้าหน้าที่เก็บขยะ วัตถุที่เจ้าหน้าที่เก็บขยะสัมผัสต่อเนื่องหลังจากนั้น คนเหล่านี้มีความเสี่ยงที่จะสัมผัสวัตถุเหล่านี้ทั้งสิ้น
ลองคิดดูว่า ขนาดบุคลากรทางการแพทย์ของจีนซึ่งสวมชุดอนามัยทั้งร่าง ก็ยังติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ได้ การระบาดลุกลามได้มากขนาดนี้ก็เพราะเหตุว่า...
“มีการสัมผัสสิ่งที่คาดไม่ถึงได้ตลอดเวลา”
ดังนั้นปัจจัยการล้างมือให้บ่อย หรือการถูเช็ดมือด้วยแอลกอฮอล์ ย่อมสำคัญมากและอาจจะสำคัญมากยิ่งกว่าหน้ากากอนามัยเสียด้วยซ้ำ แต่ถึงแม้จะทำเช่นนั้นก็ยังหลงเหลือวัตถุที่มีความเสี่ยงที่คาดไม่ถึงอยู่อีก
เพราะเวลาที่ล้างมือนั้นก็ยังเสี่ยงที่จะสัมผัสกับวัตถุเสี่ยงไวรัสอีก นั่นก็คือ ก้านกดสบู่หรือสบู่ก้อนในห้องน้ำสาธารณะ ที่จับหรือก้านจับก๊อกน้ำ ที่อาจมีผู้ป่วยสัมผัสแล้วมาก่อนหน้านั้น เพราะเมื่อล้างมืออย่างสะอาดเรียบร้อยแล้ว ก็จะปิดท้ายด้วยการไปสัมผัสด้วยการปิดก๊อกน้ำนั้น เพราะฉะนั้นแล้วจะมีห้องน้ำสักกี่แห่งที่มีความพร้อมดังกล่าว ยังไม่นับผ้าเช็ดมือที่บางแห่งจัดเตรียมไว้แบบใช้รวมหมุนเวียนกลับมาใช้ใหม่ได้ด้วย
และอย่าลืมว่าเมื่อล้างมือหลังจากออกจากห้องน้ำ ในห้องน้ำบางแห่งมือเราก็ต้องสัมผัสกับบานจับหรือลูกบิดประตูเพื่อออกจากห้องน้ำอีกรอบส่งท้าย ซึ่งแน่นอนว่าแม้คนส่วนใหญ่มักจะล้างมือก่อนออกจากห้องน้ำ แต่ก็ต้องไม่ลืมว่าอาจมีบางคนไม่ล้างมือ และบางคนล้างมือแต่สัมผัสกับที่จับหรือก้านจับก๊อกน้ำก่อนปิดท้ายผลักหรือจับก้านหรือลูกบิดประตูก่อนออกจากห้องน้ำ
ยังไม่นับโถปัสสาวะ และโถส้วมสาธารณะ ที่มีการสัมผัสก้านกดน้ำอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งวันเพื่อทำความสะอาด วัตถุเหล่านี้มีการทำความสะอาดฆ่าเชื้อกี่รอบต่อวัน และถ้าไม่ได้มีการทำความสะอาดฆ่าเชื้อ “ทุกรอบ” ใครจะเป็นผู้โชคร้ายไปสัมผัสต่อจากผู้ป่วยที่มีมือสัมผัสไวรัสมาแล้วบ้าง
โดยเฉพาะกรณีวัตถุที่มีประชาชนใช้ต่อเนื่องและสัมผัสตลอดเวลา เช่น ราวจับรถเมล์ ราวจับในรถไฟฟ้า ปุ่มกดลิฟต์ บานผลักหรือราวจับของประตูในพื้นที่ซึ่งมีการใช้งานตลอดเวลา จะไปคาดหวังว่ามีการทำความสะอาดฆ่าเชื้อในวัตถุเหล่านี้ได้ทันตลอดเวลานั้น “เป็นไปไม่ได้เลย” ดังนั้นการล้างมือด้วยตัวเราเองจึงย่อมสำคัญที่สุด
“แอลกอฮอล์” เป็นสิ่งที่น่าจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุด เพราะอย่างน้อยเราก็มั่นใจได้ว่า หากมีพื้นที่ซึ่งมีบรรจุภัณฑ์หรือกล่องใส่แอลกอฮอล์สาธารณะให้บริการ แม้นอาจจะมีผู้ป่วยสัมผัสก้านหรือปุ่มกดแอลกอฮอล์อยู่ร่วมด้วย แต่เราจะสัมผัสแอลกอฮอล์หลังจากนั้นโดยไม่สัมผัสกับบรรจุภัณฑ์ของแอลกอฮอล์สาธารณะนั้นอีก
ดังนั้นสำหรับผู้ที่พกแอลกอฮอล์ติดตัวนั้น ก็อย่าลืมใช้แอลกอฮอล์ทำความสะอาดขวดแอลกอฮอล์ที่เราพกพานั้นด้วย รวมถึงวัตถุส่วนตัวที่เราใช้ตลอดเวลาแล้วมีโอกาสสัมผัสกับวัตถุอื่นก่อนหน้านั้น ก็ควรได้รับการทำความสะอาดด้วยแอลกอฮอล์เช่นเดียวกัน ได้แก่ โทรศัพท์มือถือ กระเป๋าสตางค์ ฯลฯ
แต่ต่อให้ระวังแค่ไหน เราคงจะหลีกเลี่ยงการสัมผัสวัตถุเสี่ยงได้ยาก ดังเช่น ธนบัตร เหรียญ ซึ่งในวันหนึ่งๆ จะมีสักกี่คนในประเทศนี้ที่ไม่ต้องสัมผัสวัตถุเหล่านี้เลย และมีโอกาสที่วัตถุเหล่านี้จะมาจากผู้ป่วยที่เดินทางมาจากต่างประเทศด้วย นั่นแปลว่าการหลีกเลี่ยงสัมผัสกับวัตถุเสี่ยงนั้นเป็นไปแทบไม่ได้ เว้นแต่การหลีกเลี่ยงไปอยู่ในสถานที่ซึ่งมีผู้คนจำนวนมากๆ และล้างมือด้วยแอลกอฮอล์สามารถทำได้ด้วยตัวเองตลอดเวลา
นี่คือเหตุผลว่าทำไม่เว็บไซต์ขององค์การอนามัยโลกจึงต้องเน้นย้ำการล้างมือบ่อยๆ หรือความจริงแล้วคือ “บ่อยที่สุด” เท่าที่จะเป็นไปได้
ภาครัฐและภาคเอกชนจึงควรช่วยกันจัดจุดล้างมือด้วยแอลกอฮอล์ให้มากที่สุด เพราะน่าจะเป็นวิธีการบรรเทาการแพร่ระบาดได้ดีกว่าวิธีอื่น และดีกว่าการแจกหน้ากากอนามัยแต่เพียงอย่างเดียว แม้กระทั่งในพื้นที่สาธารณะและเป็นจุดเสี่ยง เช่น สนามบิน หรือจุดที่มีนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศมาก ก็ควรให้ผู้โดยสารล้างมือด้วยแอลกอฮอล์ก่อนออกจากเครื่องบินทั้งหมด เช่นเดียวกับอัตราความเสี่ยงเสียชีวิตที่พบในผู้สูงวัยที่ควรเน้นจุดล้างมือทำความสะอาดของสถานที่ซึ่งมีผู้สูงวัยรวมตัวกันอยู่มากๆ
การล้างมือจึงควรจะเป็นวาระแห่งชาติที่นายกรัฐมนตรีควรเป็นผู้นำในการสร้างความตระหนักเพื่อให้ฝ่าความตระหนกทั้งปวงในเวลานี้ เพราะปัญหาความเชื่อมั่นในการรับมือกับไวรัสเท่านั้น จึงจะทำให้ประเทศไทยสามารถเรียกความเชื่อมั่นให้กลับคืนมาเพื่อบรรเทาปัญหาทางด้านเศรษฐกิจ เพราะตามสถิติแล้วพบว่าประเทศไทยยังโชคดีเพราะมีอัตราการระบาดต่ำกว่าอีกหลายประเทศและยังไม่มีอัตราการเสียชีวิตเลย
อย่างไรก็ตาม จากงานวิจัยโรคซาร์สที่ระบาดเมื่อ 17 ปีที่แล้ว ซึ่งเป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อของไวรัสตระกูลโคโรนาซึ่งมีรหัสพันธุกรรมใกล้เคียงกับโคโรนาไวรัส 2019 นั้น อุณหภูมิของอากาศที่สูงขึ้น และความชื้นสัมพัทธ์ที่สูงขึ้นทำให้อัตราการติดเชื้อไวรัสลดลง กรณีเช่นนี้จึงไม่แปลกใจว่าประเทศไทยอยู่ในอุณหภูมิของอากาศที่ร้อนกว่าควบคู่ไปกับความชื้นสูงกว่าอีกหลายประเทศจึงไม่พบการระบาดโรคซาร์สในประเทศไทยเลย
เพราะแม้จนถึงวันนี้การระบาดของโรคโคโรนาไวรัส 2019 ก็ยังไม่พบการเสียชีวิตในประเทศไทยแม้แต่รายเดียว และในความเป็นจริงแล้วอาจมีผู้ติดเชื้อในประเทศไทยจำนวนมากแล้วก็เป็นได้และหายเองจำนวนมาก อันเนื่องด้วยสภาพแวดล้อมจากอุณหภูมิและความชื้นของอากาศจึงทำให้ประเทศไทยอาจจะโชคดีกว่าอีกหลายประเทศ
และเมืองที่ระบาดมากและเสียชีวิตมากนั้นล้วนแล้วแต่มีอุณหภูมิของอากาศและหรือความชื้นสัมพัทธ์ต่ำกว่ากรุงเทพมหานครและประเทศไทยทั้งนั้น
และประเทศไทยก็อาจจะโชคดีไปกว่านี้ด้วยเพราะอุณหภูมิของอากาศกำลังจะร้อนขึ้นเรื่อยๆจนเข้าสู่หน้าร้อนเต็มพิกัด อันอาจเป็นช่วงเวลาที่ลดความเสี่ยงในเรื่องไวรัสลงไปพร้อมๆกับฝุ่นละออง PM 2.5 ซึ่งเป็นปัจจัยที่ส่งผลร้ายต่อระบบทางเดินหายใจทั้งคู่
และด้วยมาตรการที่สาธารณรัฐประชาชนจีนมีการกักตัว คัดกรองการเดินทางของผู้ป่วยอย่างเข้มข้น จึงเป็นผลสำคัญที่ทำให้การแพร่ระบาดและอัตราการเสียชีวิตยังคงมีมากที่สุดในสาธารณะรัฐประชาชนจีน และแพร่กระจายไปนอกประเทศน้อยกว่าอย่างมาก ซึ่งคุณประโยชน์นี้เกิดจากความรับผิดชอบของประเทศจีนอย่างแท้จริง แม้ว่าจะมีภาพวีดีโอคลิปเผยแพร่ออกมาว่ามีการใช้มาตรการรุนแรงจับผู้ต้องสงสัยว่าป่วยราวกับเป็นอาชญากรออกมาเป็นระยะๆ
สุภาษิตโบราณกล่าวว่าสงครามยังไม่จบอย่าเพิ่งนับศพทหาร เพราะแม้จะมีข้อมูลว่าความรุนแรงของโรคอาจจะน้อยกว่าโรคซาร์สหรือเมอร์ส แต่เนื่องจากเป็นไวรัสสายพันธุ์ใหม่ที่เรายังรู้จักมันยังไม่ทั้งหมด และเมื่อโรคนี้มันยังไม่จบ ดังนั้นผลต่อเนื่องที่กระทบต่อไปจึงยังไม่ควรด่วนสรุป เพราะยังสรุปไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจำนวนตัวเลขผู้ต้องสงสัย และผู้ป่วยที่รุนแรงรอผลการรักษาทั่วโลกนั้นยังไม่ยุติ
เพราะแม้ต่อให้สมมุติว่าโรคนี้ไม่ร้ายแรงถึงขั้นมีอัตราการเสียชีวิตสูง แต่ถ้าประชาชนล้มป่วยจำนวนมากก็ย่อมไม่ใช่เป็นเรื่องที่น่ายินดี เพราะไม่ได้ส่งผลเสียต่อทางด้านสังคมเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยตรงอีกด้วย
ยังไม่นับว่ามีประชาชนจำนวนไม่น้อยยังไม่เชื่อว่าภาครัฐของไทยมีการตรวจและรายงานผู้ป่วยได้ครบจริงหรือไม่ เพราะในบางประเทศแม้จะไม่ปรากฏรายงานของผู้ป่วยโรคไวรัสโคโรนา 2019 นั้นไม่ได้แปลว่าไม่มีผู้ป่วย แต่อาจจะแปลความไปอีกทางว่าไม่มีการเก็บข้อมูลที่ดีพอก็ได้ หรือผู้ป่วยหลีกเลี่ยงไม่เข้าสู่ระบบการรักษาที่จะเก็บข้อมูลได้ เพราะผู้ป่วยส่วนใหญ่มักจะ “กลัวถูกกักตัว” มากกว่ากลัวตัวโรคเสียด้วยซ้ำ
ในสถานการณ์เช่นนี้จึงยังประมาทไม่ได้ เพราะในบางประเทศเลือกที่จะปิดประเทศโดยยอมเสียผลประโยชน์จากการท่องเที่ยวเพื่อแลกกับความเชื่อมั่นของประเทศให้กลับมาด้วยความแตกต่างจากชาติอื่น ในขณะเดียวกันประเทศไทยไม่ปิดกั้นนักท่องเที่ยวแม้ในประเทศกลุ่มเสี่ยงเพราะคำนึงถึงรายได้จากการท่องเที่ยว ก็ต้องคำนึงผลกระทบอีกด้านด้วย เพราะจะมีคนอีกจำนวนมากไม่กล้าเดินทางมาท่องเที่ยวหรือติดต่อธุรกิจในประเทศไทยเพราะขาดความเชื่อมั่นว่าประเทศไทยจะเป็นที่ระบาดของนักท่องเที่ยวกลุ่มเสี่ยงหรือไม่ ดังนั้นมาตรการคัดกรองก่อนเข้าประเทศและติดตามตรวจรักษานักท่องเที่ยวหลังเข้าประเทศ รวมถึงมาตรการป้องกันและรักษาต่างๆ ตลอดจนการรายงานผลทุกด้านอย่างรวดเร็วจึงเป็นสิ่งจำเป็นที่จะช่วยเรียกความเชื่อมั่นกลับคืนมาได้
“ตนย่อมเป็นที่พึ่งแห่งตน” ดังนั้นในระหว่างนี้การดูแลตัวเองย่อมเป็นหนทางที่ดีที่สุด อย่าประมาท หลีกเลี่ยงเดินทางไปในที่แออัด สวมหน้ากากอนามัยที่ได้มาตรฐานปิดช่องร่องจมูกและใบหน้า ล้างมือบ่อยๆ และเช็ดถูด้วยแอลกอฮอล์เป็นประจำ
อย่าประมาทเป็นอันขาด
ด้วยความปรารถนาดี
ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
คณบดีสถาบันแพทย์แผนบูรณาการและเวชศาสตร์ชะลอวัย มหาวิทยาลัยรังสิต