xs
xsm
sm
md
lg

โปรดทราบ!!! ผีน้อย 150,000 คน ชาวต่างชาติในประเทศเสี่ยงโควิด-19 เข้ามาในไทยแล้วกว่า 500,000 คน !!!/ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



"ณ บ้านพระอาทิตย์"
"ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์"

ในที่สุดความจริงก็ปรากฏว่าตำรวจตรวจคนเข้าเมืองของประเทศเกาหลีใต้ ได้ทำงานร่วมกับรัฐบาลไทยเพื่อรายงานและส่งผู้ที่เข้ามาในเกาหลีใต้อย่างผิดกฎหมาย โดยประเทศเกาหลีใต้ได้ใช้นโยบายนิรโทษกรรมให้ผู้ที่เข้ามาพักอาศัยในเกาหลีใต้อย่างผิดกฎหมายได้มารายงานตัวและกลับประเทศไทยไปก่อนเดือนมิถุนายน 2563 ก็จะไม่ถูกจับกุมและไม่ถือว่าได้กระทำความผิดต่อกฎหมายของประเทศเกาหลีใต้ และสามารถกลับเข้ามาที่เกาหลีใต้อย่างถูกกฎหมายต่อไปได้

“ผีน้อย” กลายเป็นศัพท์ที่ไม่มีใครทราบที่มา ได้กลายเป็นคำเรียกผู้คนที่หลบหนีและเข้าพักอาศัยในเกาหลีใต้

จากความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยและเกาหลีใต้ โดยปัจจุบันคนไทยที่ทำงานอยู่ที่เกาหลีใต้อย่างผิดกฎหมาย หรือที่เรียกว่า ผีน้อยที่มีการตรวจสอบในระบบนั้นพำนักอย่างผิดกฎหมาย รวมทั้งสิ้น 152,439 คน

ภายใต้นโยบายและความร่วมมือจากทั้งสองประเทศ ที่เปิดโอกาสให้คนไทยที่หลบเข้ามาพักอาศัยในประเทศเกาหลีใต้ได้กลับประเทศไทยไปนั้น ไม่เกิดขึ้นเพราะโรคโควิด 2019 ระบาด แต่เป็นนโยบายที่มีการร่วมมือมาก่อนหน้านั้น โดยคนไทยผู้ที่มาลงทะเบียนไปแล้ว ตั้งแต่วันที่ 11 ธันวาคม 2562 ถึงวันที่ 1 มีนาคม 2563 มีจำนวนทั้งสิ้น 5,386 คน

โดยในจำนวนผู้ที่มาลงทะเบียนนี้ได้กลับประทศไทยไปแล้ว 4,727 คน !!! ส่วนที่เหลือยังต้องผ่านกระบวนการตรวจสอบและพิจารณาของตำรวจตรวจคนเข้าเมืองของประเทศเกาหลีใต้และส่งกลับต่อไป

โดยจำนวน “ผีน้อย” ที่มีการตรวจคัดกรอง “เบื้องต้น” พบว่ามีไข้สูงประมาณ 17 คน ซึ่งคนเหล่านี้ได้กลับบ้านไปหมดแล้วกระจายอยู่ใน 33 จังหวัดทั่วประเทศไทย

ขอย้ำว่าการคัดกรองเบื้องต้นนั้นหมายถึง การตรวจว่ามีไข้เวลาอยู่ที่การตรวจคนเข้าเมืองขาเข้าประเทศไทยเท่านั้น และต้องไม่ลืมว่าโรคนี้มีระยะการฟักตัวนานถึง 14 วัน และถึงแม้บางคนจะติดเชื้อมา ก็ไม่ได้แปลว่าจะมีไข้เสมอไปอีกด้วย ดังนั้นการคัดกรองเบื้องต้น ไม่ได้เป็นหลักประกันว่าจะไม่มีผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 หลุดรอดเข้ามาในประเทศไทย

ดังนั้นการที่ฝ่ายไทยได้ให้ทางการของเกาหลีใต้ช่วยตรวจคัดกรองเบื้องต้นสำหรับผู้ต้องสงสัยของคนไทยก่อนหน้านี้ จึงไม่ได้เป็นหลักประกันว่าปลอดเชื้อเสมอไปเช่นกัน

นอกจากนั้นแล้ว ยังมีแรงงานไทยที่เข้าไปทำงานในประเทศเกาหลีใต้อย่างถูกต้องตามกฎหมายอีกจำนวนประมาณ 21,527 คน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของคนไทยที่ได้อาศัยอยู่ในประเทศเกาหลีใต้อย่างถูกกฎหมายจำนวนประมาณ 57,000 คน

นั่นหมายความว่าปัจจุบันนี้มีคนไทยอาศัยอยู่ที่มีการสืบทะเบียนได้ทั้งที่ถูกต้องตามกฎหมายและไม่ถูกต้องตามกฎหมาย อยู่ที่ประเทศเกาหลีใต้ไม่ต่ำกว่า 200,000 คน




ปัญหาดังกล่าวคงจะไม่เป็นข่าวใดๆ เพราะข่าวเรื่องผีน้อยนั้นไม่ได้เป็นกระแสข่าวก่อนหน้านี้เลย และคนเหล่านี้ก็ได้ทยอยกลับมาประเทศไทยอย่างต่อเนื่องโดยไม่ได้มีการกักตัว 14 วันเช่นเดียวกัน

เช่นเดียวกับ ตัวอย่างคนต่างด้าวอื่นๆที่ได้เดินทางมาจากประเทศที่มีการติดเชื้อโควิด-19 ได้เดินทางเข้ามาในประเทศไทยในเดือนกุมภาพันธ์ 2563 จำนวน 507,380 คน มาจากสาธารณรัฐประชาชนจีน 170,882 คน, จากประเทศญี่ปุ่นจำนวน 140,600 คน, จากประเทศเกาหลีใต้ 58,496 คน, จากไต้หวัน 38,755 คน, จากฮ่องกง 37,513 คน, จากสิงคโปร์ 34,450 คน, จากอิตาลี 23,368 คน, จากอิหร่าน 2,363 คน, จากมาเก๊า 953 คน โดยคนทั้งหมดที่เข้ามาในประเทศไทยนี้ไม่ได้มีการกักตัวเป็นเวลา 14 วันก่อนเข้ามาในประเทศ (แปลว่าไม่มีการคัดกรองจนผ่านระยะเวลาที่เชื้อฟักตัวแสดงอาการ) และไม่ได้มีมาตรการกักตัวอยู่ในโรงแรมที่พักเช่นเดียวกัน และในทางปฏิบัติหากมีการกักตัวให้ได้ 14 วันจริงๆด้วยแล้ว ภาครัฐก็ยังไม่มีความชัดเจนว่าจะให้คนเหล่านี้ไปพักอาศัยที่ไหน อยู่อย่างไร และใครเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายในระหว่างการกักตัว

ข้อสำคัญนอกจากเรื่องสถานที่ในการกักตัวแล้ว ประเทศไทยได้มีการเตรียมความพร้อมในเรื่องบุคคลากรในการดูแลเพื่อคัดกรองอย่างเพียงพอได้จริงแล้วหรือยัง และคำถามไปมากกว่านั้นคือเรามีความพร้อมในการติดตามผล กักตัว และรักษาได้จริงหรือไม่ และสิ่งเหล่านี้คือคำถามที่ต้องมีคำตอบให้ชัดเจนควบคู่กับการตัดสินใจเปิดรับนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศด้วย จริงหรือไม่?

หรือประเทศไทยจะคัดกรองเท่าที่ทำได้ เพราะเห็นว่าโรคไม่ร้ายแรงถึงขั้นเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตมากนัก ก็ต้องมีมาตรการในการรับมือระบาดอย่างเข้มข้น และเพียงพอจนทำให้เกิดความเชื่อมั่นว่า ประเทศไทยไม่ได้ปล่อยปละละเลยจนทำให้เกิดการระบาดจนทำให้ประชาชนเจ็บป่วยเป็นจำนวนมาก เพราะเรื่องดังกล่าวนี้เป็นปัญหาทางจิตวิทยาที่เผยแพร่ตามโซเชียลมีเดียที่สร้างความตระหนกมากกว่าตัวโรค

โจทย์ที่ภาครัฐคงจะชั่งใจอย่างมากระหว่างเศรษฐกิจการท่องเที่ยวที่ทรุดโทรมอย่างหนัก กับความปลอดภัยของพี่น้องประชาชนคนไทย ซึ่งถ้าจะมีความคิดที่จะป้องกันก็จะต้องไม่ทำให้เกิด 2 มาตรฐานเกิดขึ้น และต้องใช้มาตรการที่เหมือนกัน เพราะโรคเหล่านี้ไม่มีการเลือกเชื้อชาติ และเผ่าพันธุ์ โดยเฉพาะโรคนี้เกิดการติดต่อแพร่กระจายผ่านการสัมผัสในวัสดุต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น ปุ่มลิฟท์, ราวบันไดเลื่อน, ประตู, ลูกบิด ฯลฯ หรือแม้แต่สิ่งที่มีการสัมผัสต่อๆกันเป็นทอดๆอย่างธนบัตรด้วยแล้ว โอกาสการแพร่กระจายนั้นไม่สามารถที่จะแยกเชื้อชาติหรืออุปนิสัยใดๆได้เลย

หลายคนอาจจะทะเลาะถกเถียงกันในเรื่อง “ผีน้อย”ว่ามีความเสี่ยงสูงกว่าคนทั่วไป หรือสูงกว่านักท่องเที่ยวสัญชาติอื่นๆ เพราะเป็นผู้ที่เคยมีการกระทำความผิดของกฎหมายมาก่อน หรือนำเรื่องการโพสต์เฟซบุ๊กของผีน้อยเพียงคนใดคนหนึ่งที่ไม่เหมาะสมมาเหมารวมว่าเป็นตัวแทนของผีน้อยทุกคนต้องเป็นเช่นนั้นด้วย เรื่องดังกล่าวนี้ในทางการสาธารณสุขไม่สามารถใช้เรื่องอารมณ์มาแบ่งแยกความเป็นมนุษย์ของผู้ป่วยได้ เพราะแม้แต่นักโทษในเรือนจำก็ต้องได้รับการคุ้มครองศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ทางสาธารณสุขขั้นพื้นฐานเช่นเดียวกัน

แต่ในความโชคร้ายที่ทำให้เกิดปัญหาทางเศรษฐกิจที่รุนแรงเช่นนี้ ในอีกด้านหนึ่งคือประเทศไทยยังมีการรายงานในเรื่องการระบาดอยู่ในระดับต่ำมาก ทั้งๆที่มีนักท่องเที่ยวจากประเทศกลุ่มเสี่ยงยังคงเดินทางเข้ามาในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง (แม้ว่าจะมีจำนวนนักท่องเที่ยวน้อยกว่าเหตุการณ์ปกติทั่วไป) แต่การที่ประเทศไทยก็ไม่ได้ปิดกั้นการเดินทางของนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศ และยังมีการรายงานตัวเลขของการติดเชื้อและเสียชีวิตอยู่ในระดับต่ำและหายป่วยจำนวนมาก นานาชาติจึงมีความเชื่อมั่นและเข้าใจว่าประเทศไทยมีบุคลากรทางการแพทย์ที่มีความเข้มแข็งและมีความสามารถจึงสามารถ “เอาอยู่” กับโรคโควิด-19 ได้

และความเข้าใจข้างต้น จึงน่าจะเป็นส่วนหนึ่งของสาเหตุที่มีคนไทยจำนวนไม่น้อย ตัดสินใจกลับประเทศไทย หรือแม้ชาวต่างชาติก็หลบโรคร้ายมาพักอาศัยในประเทศไทย




โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนไทยทั้งผีน้อยและไม่ใช่ผีน้อยจากประเทศเกาหลีใต้เกิดการระบาดโรคอย่างมากในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่าน ย่อมต้องอยากจะกลับบ้านหนีโรคร้ายมากขึ้น

ดังนั้นอย่าว่าแต่ตัวเลขผีน้อย 5,000 คนเลย แม้แต่ผีน้อยกว่า 150,000 คน หรือคนไทยที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศเกาหลีใต้ก็อาจจะอยากกลับมาในประเทศไทยมากขึ้น และคนไทยในประเทศกลุ่มเสี่ยงที่มีมากกว่านี้ก็คงอยากจะกลับประเทศไทยเช่นเดียวกัน

แล้วประเทศไทยจะตัดสินใจรับมืออย่างไร?

อย่างไรก็ตาม ปัญหาในเรื่องไข้หวัดโคโรนา 2019 แม้จะมีการแพร่ระบาด แต่ก็มีอุบัติการณ์ของผู้ป่วยใหม่ในสาธารณรัฐประชาชนจีนลดลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายหลังจากที่อุณหภูมิอากาศที่เมืองอู่ฮั่นสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสอดคล้องกับรูปแบบของไข้หวัดซาร์สเมื่อ 17 ปีที่แล้ว ที่พบความจริงว่าอุบัติการณ์ของโรคซาร์ส (ซึ่งโคโรนาไวรัส 2019 มีรหัสพันธุกรรมใกล้เคียงกับโรคซาร์ส) ลดลงที่ฮ่องกงเมื่ออากาศมีอุณหภูมิสูงขึ้นอย่างชัดเจน โดยเฉพาะเมื่ออุณหภูมิของอากาศสูงกว่า 26 องศาเซลเซียสขึ้นไป [1]

ความชัดเจนในเรื่องดังกล่าวกำลังจะถูกยืนยันด้วยงานวิจัยที่กำลังรอตีพิมพ์พบการสำรวจระหว่างวันที่ 10 มกราคม 2563 ถึงวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2563 จากการสำรวจที่สาธารณรัฐประชาชนจีนและ 26 ประเทศ ด้วยจำนวนผู้ป่วยที่ยืนยันแล้ว 24,232 คน

โดยในจำนวนดังกล่าวข้างต้นซึ่งมีจำนวน 16,480 คน คิดเป็นอัตราร้อยละ 68.01 ของผู้ที่ติดเชื้อทั้งหมดอยู่ในมณฑลเหอเป่ย พบว่าเมื่ออุณหภูมิต่ำสุดของแต่ละวันที่เพิ่มสูงขึ้น (อุ่นขึ้น)จะมีผลต่อจำนวนผู้ป่วยติดเชื้อสะสมลดลง [2]

ในขณะที่เมืองอู่ฮั่น มณฑลเหอเป่ยระบาดมีอุบัติการณ์ของโรคโควิด 2019 มากที่สุด ก็คือช่วงเวลาวันที่ 2 - 17 กุมภาพันธ์ 2563 ซึ่งมีผู้ป่วยรายใหม่ระหว่างวันละ 1,000 ถึง เกือบ 2,000 คนนั้น ก็คือช่วงเวลาอุณหภูมิสูงสุดในอากาศระหว่าง 12 ถึง 18 องศาเซลเซียส และมีอุณหภูมิต่ำสุดในอากาศระหว่าง -3 ถึง 8 องศาเซลเซียส

หลังจากนั้นวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2563 เป็นต้นมาจำนวนผู้ป่วยรายใหม่ในอู่ฮั่นก็เริ่มลดลงมาเหลือต่ำกว่า 600 คนต่อวัน โดยอุณหภูมิอุ่นขึ้นเป็นลำดับ และเหลือหลักไม่ถึง 200 คนต่อวัน

ในขณะที่กรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ที่เริ่มมีการระบาดมากก็เพิ่งจะมีผู้ป่วยมากขึ้นตั้งแต่หลังวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2563 เป็นต้นมา โดยช่วงเวลาดังกล่าวมีอุณหภูมิสูงสุดประมาณ 6 ถึง 12 องศาเซลเซียส ในขณะที่อุณหภูมิต่ำสุดอยู่ระหว่าง 3 ถึง 5 องศาเซลเซียส ซึ่งอุณหภูมิต่ำกว่าช่วงระบาดมากที่สุดในอู่ฮั่นของประเทศจีน และกรุงโซลก็มีอุณหภูมิเย็นกว่าที่อู่ฮั่นโดยเฉลี่ย

ในขณะที่ประเทศไทยนั้นมีอุณหภูมิของอากาศที่อุ่นกว่าที่อู่ฮั่น และเกาหลีใต้ คืออุณหภูมิสูงสุดของอากาศตลอดเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ 2563 อยู่ที่ 32 ถึง 36 องศาเซลเซียส ในขณะที่อุณหภูมิต่ำสุดในแต่ละวันอยู่ที่ 22 ถึง 27 องศาเซลเซียส ซึ่งประเทศไทยก็รอดพ้นจากการระบาดของโรคซาร์สเมื่อ 17 ปีที่แล้วเช่นเดียวกัน และในรอบนี้ก็มีอัตราการติดเชื้อหรือเสียชีวิตจากโควิด 2019 อยู่ในระดับต่ำอีกเช่นเดียวกันกับอีกหลายประเทศที่มีอุณหภูมิใกล้เคียงกัน

และแม้ว่านโยบายภาครัฐอาจจะไม่สามารถอุดรอยรั่วของโรคร้ายนี้ทั้งหมดได้ แต่อย่างน้อยเราก็ได้อิทธิพลของอากาศที่อุ่นกว่ามาเป็นตัวช่วยประเทศไทยได้

ดังนั้นนอกจากบุคลากรทางการแพทย์และข้าราชการกระทรวงสาธารณสุขจะต้องทำงานอย่างหนักในช่วงเวลานี้แล้ว ภาครัฐจะต้องเตรียมความพร้อมในการเตรียมจัดหาหน้ากากอนามัย และกำจัดนักฉวยโอกาสเอาหน้ากากอนามัยมือสองมาขายซ้ำอย่างเด็ดขาด และคอยทำความสะอาดฆ่าเชื้อในพื้นที่เสี่ยงทุกที่ เพราะเชื่อได้ว่าความพยายามของทุกฝ่ายจะไม่สูญเปล่าและชัยชนะทางฤดูกาลที่กำลังเข้าสู่ฤดูร้อนเต็มตัวกำลังจะคืบคลานเข้ามา ประเทศไทยย่อมจะสามารถฝ่าฟันด้วยสุริยเทพช่วยเอาไว้อีกครั้งหนึ่ง

และด้วยเหตุปัจจัยข้างต้น คงจะมีคนอีกจำนวนมากเดินทางอพยพมาในประเทศไทยเพื่อ “หนีเย็นมาพึ่งร้อน” ในประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น

และขอให้คนไทยต้องดูแลตัวเองให้มาก หลีกเลี่ยงการเดินทางไปในที่ชุมชนมากๆ สวมหน้ากากอนามัยให้ได้อย่างถูกต้อง ล้างมือเป็นประจำเมื่อสัมผัสกับวัตถุเสี่ยง หลีกเลี่ยงพบปะคนที่มีอาการไข้ ไอ จาม ซึ่งในเวลานี้ในภาครัฐและเอกชนก็มีการปรับตัวได้ดีขึ้นเป็นลำดับ

ความตระหนักและไม่ประมาทจะสามารถฝ่าฟันความตระหนกและภัยจากโรคร้ายครั้งนี้ไปได้ ไม่แพ้ชาติใดในโลก

ด้วยความปรารถนาดี
ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
คณบดีสถาบันแพทย์แผนบูรณาการและเวชศาสตร์ชะลอวัย มหาวิทยาลัยรังสิต

อ้างอิง
[1] Kun Lin, et al., Environmental Factors on the SARS epidemic: air temperature, passage of time and multiplicative effect of hospital infection., Epidemiol Infect. 2006 Apr; 134(2): 223-230, Published online 2005 Sep 7. doc: 10.1017/S0950268805005054

[2] Moo Wang, et al.,Temperature significant change COVID-19 Transmission in 429 cities
doi: https://doi.org/10.1101/2020.02.22.20025791


กำลังโหลดความคิดเห็น