“ปานเทพ” คาด พ.ค. ไทยหยุดระบาดโควิด-19 เหตุอากาศร้อนได้เปรียบ แต่ขึ้นกับมาตรการของรัฐด้วย ต้องเข้มงวด ตัดสินใจเร็ว ชมเริ่มมาถูกทางหลังสั่งยกเลิกวีซ่าหน้าด่าน-ฟรีวีซ่า แนะแก้ปัญหาขาดแคลนหน้ากากอนามัย ถ้าทำเองไม่รอดอย่าฝืน เปิดทางเอกชนแข่งขันเต็มที่แล้วราคาจะถูกลงเอง พร้อมเสนอรวมพลังทุกฝ่ายบิ๊กคลีนนิ่งจุดเสี่ยงทั่วประเทศ
วันที่ 12 มี.ค. 63 นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีสถาบันแพทย์แผนบูรณาการและเวชศาสตร์ชะลอวัย มหาวิทยาลัยรังสิต ได้ร่วมสนทนาในรายการ “คนเคาะข่าว” ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมช่อง “นิวส์วัน” ในหัวข้อ “โควิด-19 ระบาดทั่วโลก (Pandemic) เราเรียนรู้อะไรบ้าง”
โดย นายปานเทพ กล่าวว่า จากข้อมูลโรคซาร์สเมื่อ 17 ปีที่แล้ว ซึ่งคล้ายกับโควิด-19 แล้วสิ่งที่ได้เรียนรู้ ก็คือ เมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น ผู้ป่วยติดเชื้อโรคซาร์สต่อวันลดลงต่อเนื่อง และเมื่อทำการทดลองในหลอดทดลอง พบว่า เมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น ความชื้นสัมพัทธ์เพิ่ม การติดเชื้อน้อยลง ประเทศไทยโชคดี ทั้งร้อนทั้งชื้น เลยมีโอกาสระบาดน้อยกว่า ในครั้งนั้นมีผู้ติดเชื้อทั้งจีน ฮ่องกง ไต้หวัน มาเลเซีย ไทย รวมทั้งหมด 8 พันกว่าคน ไทยเจอติดแค่ 9 คน และมาจากต่างประเทศทั้งหมดเลย หมายความว่า สภาพแวดล้อมไทยไม่เอื้ออำนวยให้ไวรัสระบาดจริง ตอนนั้นจีนใช้เวลา 7 เดือนกว่าจะหยุดโรคซาร์สได้ ส่วนไทยหยุดสำเร็จได้ใน 2 เดือน
นายปานเทพ กล่าวอีกว่า อุณหภูมิที่ 38 องศา ซาร์สจะเริ่มทำงานไม่ได้ อากาศบ้านเรามีโอกาศถึง 38 องศาอยู่แล้ว แต่ตอนซาร์สระบาดแค่ในภูมิภาคเลยจบง่าย แต่ตอนนี้ระบาดทั่วโลก ถ้ายังให้ชาวต่างชาติเข้ามาโดยไม่มีมาตรการดีพอ การระบาดจะไม่จบเดือนพฤษภาคม รัฐต้องออกมาตรการเข้มข้นในการตรวจคัดกรอง กักตัวประเทศที่มีความเสี่ยง ซึ่งรัฐบาลเริ่มเดินมาถูกทางแล้วในไม่กี่วันมานี้ ด้วยการยกเลิกวีซ่าหน้าด่าน 18 ประเทศ ยกเลิกฟรีวีซ่านักท่องเที่ยวเกาหลี อิตาลี และ ฮ่องกง
เรื่องนี้ทำงานโดยสาธารณสุขอย่างเดียวไม่ได้ ทุกฝ่ายต้องเป็นเอกภาพ ดีที่นายกฯกลับตัวทัน ที่ตอนแรกจะแจกเงินกระตุ้นเศรษฐกิจ ทั้งที่ตอนนี้ต้องมีมาตรการระยะสั้นก่อน ในการหยุดโรคให้ได้ก่อน โดยการให้ทุกคนอยู่กับบ้านให้เป็นเอกภาพพร้อมเพรียงกัน เมื่อไหร่โรคหยุดเศรษฐกิจจะฟื้นเร็ว แต่ถ้ายังลังเล ยังให้ประชาชนออกมาใช้จ่ายกระตุ้นเศรษฐกิจ โรคอยู่ยาว เศรษฐกิจก็จะพังยาว เรื่องนี้ต้องตัดสินใจให้เร็ว
ส่วนเรื่องขาดแคลนหน้ากากอนามัย นายปานเทพ กล่าวว่า เมื่อไหร่ก็ตามที่รัฐจะควบคุมอะไรสักอย่าง ต้องตัดสินใจว่ารัฐบริหารจัดการได้ดีแค่ไหน ถ้ารัฐจะเป็นเจ้าภาพ ต้องมั่นใจได้ว่าประชาชนเข้าถึงได้จริง
“หลักการสำคัญ คือ ถ้าทำไม่ได้ต้องไม่ทำ ปล่อยให้เอกชนแข่งขันกันเอง ถ้าให้มีการแข่งขันมากราคาจะลงเอง แม้ช่วงแรกอาจสูงขึ้น แต่ถ้าแข่งขันเต็มที่ราคาจะลงเอง ตามหลักอุปสงค์และอุปทาน ตอนแรกคงไม่ลงอย่างที่เราคิด เพราะขาดแคลนทั่วโลก แต่ถ้าเราฝืนอยากได้ราคาถูกทั้งที่ทั่วโลกแพง ทำได้จริงไหม ถ้าทำได้รัฐต้องรับซื้อในราคาแพงแล้วขายในราคาที่ประชาชนรับได้ โดยไม่ต้องแจกให้คนมารวมตัวกันเพิ่มความเสี่ยง แต่ส่งทางไปรษณีย์ เพราะทั่วถึง มีข้อมูลชัดเจน โดยให้ผู้ที่ต้องเสี่ยงมากได้รับก่อน จากนั้นค่อยให้ประชาชนทั่วไป ถ้าจัดความสำคัญแบบนี้ได้จะไม่มีปัญหาหน้ากากอนามัย” นายปานเทพ กล่าว
นายปานเทพ กล่าวอีกว่า การตัดสินใจที่นายกฯเป็นประธานมาถูกต้องแล้ว แล้วต้องถูกทิศทาง รวดเร็ว เข้มงวด แม้ไทยได้เปรียบเรื่องอุณหภูมิ แต่ก็ยังเสี่ยงอยู่ ความเชื่่อมั่นในการจัดการทุกมาตรการจะดึงความเชื่อมั่นกลับมาได้ เราอาจเป็นประเทศหนึ่งที่รอดในเดือนพฤษภาคม ถ้ารอดก่อน เศรษฐกิจจะยังไม่ฟื้น เพราะประเทศอื่นยังไม่หยุดระบาด แต่อย่างน้อยหลายคนก็อยากจะกลับมาฟื้นเศรษฐกิจในไทยมากขึ้น
เมื่อถามว่า ไทยจะเข้าสู่การระบาดระยะ 3 ไหม นายปานเทพ กล่าวว่า อยู่ที่มาตรการของรัฐด้วย วันนี้เริ่มเป็นรูปธรรม แม้ยังตะกุกตะกัก แต่ก็เป็นจุดเริ่มต้นสำคัญ คือ สกัดหน้าด่านที่สนามบิน สำคัญต้องรวมพลังใจของชาติ ตอนนี้ตื่นตระหนกมาก เราต้องสร้างความเชื่อมั่น ถ้านายกฯเห็นความสำคัญของละอองเสมหะ ต้องริเริ่มรวมพลังทั้งรัฐเอกชน ไม่คำนึงสีเสื้อ ร่วมกันทำบิ๊กคลีนนิ่งจุดเสี่ยงทั่วประเทศ แล้วอย่าให้เกิดการทำมาหากินบนความทุกข์ยากของประชาชน อย่างตอนนี้เจลปลอม หน้ากากปลอมเกลื่อนประเทศไปหมด