xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

ผ่าขุมทรัพย์ ทบ. ธุรกิจสนธยาในค่ายทหาร

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก
 ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -ผลพวงจากโศกนาฏกรรมอันเศร้าสลดที่สุดเหตุการณ์หนึ่งในประวัติศาสตร์ชาติไทยจนทำให้มีผู้เสียชีวิตถึง 30 ราย และบาดเจ็บจำนวนมาก จากฝีมือ “ไอ้จ่าคลั่ง-จ.ส.อ.จักรพันธ์ ถมมา” ทหารสังกัดกองสรรพาวุธกระสุนที่ 22 กองบัญชาการช่วยรบที่ 2 ค่ายสุรธรรมพิทักษ์ กองทัพภาคที่ 2 ได้นำมาซึ่ง “การเปลี่ยนแปลงครั้งประวัติศาสตร์” 

เมื่อ “บิ๊กแดง-พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์” ผู้บัญชาการทหารบก(ผบ.ทบ.) ตัดสินใจเดินหน้า “ปฏิรูปกองทัพบก” ให้เห็นอย่างเป็นรูปธรรม

ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะ “เริ่มต้น” และลงมือสะสาง สังคายนาหรือปฏิรูปกับองค์กรที่ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งใน “แดนสนธยา” ที่มีเรื่องราวของ “ผลประโยชน์” เข้ามาเกี่ยวข้องและเต็มไปด้วยความสลับซับซ้อน

เอาเพียงแค่ “โครงการจัดสรรที่ดินสร้างบ้านพักเพื่อขายทหาร” ซึ่งถูกระบุว่าเป็นชนวนของการก่อเหตุสะเทือนขวัญ ก็เห็นแล้วว่า “แตกต่างกว่าที่นึก ลึกกว่าที่คิด” เพราะมีข้อมูลเป็นไปในทิศทางเดียวกันว่า “ไอ้จ่าคลั่ง” ไม่ได้รับความเป็นธรรมจาก “ผู้พัน” ซึ่งเป็น “ผู้บังคับบัญชา” ของตนเอง และ “แม่ยาย” ที่ประกอบธุรกิจบ้านจัดสรร

ที่สำคัญคือ โครงการในลักษณะดังกล่าว ไม่ได้มีแค่กรณี “ไอ้จ่าคลั่ง” เท่านั้น หากแต่ยังมีอีกในหลายพื้นที่และหลายค่ายทหาร

ทั้งนี้ โครงการที่ “บิ๊กแดง” ประกาศชัดว่าจะทำการ “ผ่าตัด” “ปฏิรูปกองทัพ” ไปในครั้งคราเดียวกัน ยกตัวอย่าง เช่น การเปิดให้ “เอกชนมืออาชีพ” เข้ามาบริหาร “สนามมวย สนามกอล์ฟ ที่พัก โรงแรม สโมสร ฯลฯ ” โดย เริ่มที่ “สวนสนประดิพัทธ์” จังหวัดประจวบคีรีขันธ์เป็นที่แรก

ประเด็นใหญ่ของเรื่องนี้ก็คือ กองทัพบกโดย “บิ๊กแดง” ได้ลงนามบันทึกความตกลงหรือเอ็มโอยู(MOU) กับกระทรวงการคลังในการนำ “รายได้” ส่งเข้า “กระทรวงการคลัง” แล้วถึงนำมาจัดสรรปันส่วนให้เป็นสวัสดิการทหาร จากที่เดิมเคยเข้ากองทัพบกโดยตรง

การดำเนินการทั้ง 2 เรื่อง นับเป็น “มิติใหม่” ในการปฏิรูปกองทัพในยุค “บิ๊กแดง” ทว่า ก็เป็นที่น่าจับตาว่าการปฏิรูปที่สามารถใช้คำว่า เป็น “การทุบหม้อข้าว” ตัวเองจะนำไปสู่สถานการณ์หรือความขัดแย้งอื่นๆ ตามมาหรือไม่อย่างไร

ไอ้จ่าคลั่งกับขบวนการทำนาบนหลังผู้ใต้บังคับบัญชา

“ดาวเดือนลอยเกลื่อนบนฟ้า ยิงให้ตกลงมาติดบ่าได้สบาย

“ติดแล้วจะมีอะไร ถ้าเขาไม่ได้เป็น ท.ทหารอดทน”

ท่อนฮิตเพลง “ท.ทหารอดทน” ของวงคาราบาว ขับร้องโดย “ยืนยง โอภากุล” หรือ “แอ๊ด คาราบาว” ซึ่งครั้งหนึ่งเคยถูกคณะกรรมการบริหารวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ (กบว.) สั่งห้ามออกอากาศตามสื่อต่าง ๆ กลับมาดังก้องในหัวอกคนไทยที่ต้องเผชิญกับโศกนาฏกรรม “ไอ้จ่าคลั่ง” อีกครั้ง ด้วยเป็นเนื้อเพลงที่สะท้อนความจริงบางอย่างที่ดำรงอยู่ได้เป็นอย่างดี

เพียงแต่ครั้งนี้ความคับแค้นที่เกิดขึ้นกับ “ไอ้จ่าคลั่ง” มีความสลับซ้อนซ้อนและซ่อนเงื่อนจาก “ดาว” ที่ติดอยู่บนบ่าของ “ผู้พัน” ที่เข้าไปมีส่วนสำคัญใน “ขบวนการทำนาบนหลังผู้ใต้บังคับบัญชา”ใน “โครงการจัดสรรที่ดินสร้างบ้านพักเพื่อขายทหาร”

เรื่องของเรื่องมีอยู่ว่า จ.ส.อ.จักรพันธ์อยากมี “บ้าน” เป็นของตนเอง แต่ด้วยความที่เป็น “ทหารชั้นผู้น้อย” และมี “เงินเดือนน้อย” จึงไม่สามารถทำความฝันให้เป็นจริงได้ง่าย โดยเฉพาะการ “กู้เงิน” จาก “กองการออมทรัพย์ กรมสวัสดิการทหารบก” หรือ “อทบ.เคหะสงเคราะห์” มาสร้างบ้าน ซึ่งจำต้องอาศัย “ลายเซ็น” ของ “ผู้พัน” ในการขออนุมัติ

ดังนั้น จึงจำต้องไปใช้บริการ “แม่ยายของผู้พัน” ซึ่งทำธุรกิจบ้านจัดสรร และรู้ระเบียบของกองทัพบกในการจัดหาหลักฐานเพื่อให้กู้เงินได้ง่ายขึ้น

เมื่อ จ.ส.อ.จักรพันธ์ยื่นกู้ ผู้พันที่เป็นผู้บังคับบัญชาจะเซ็นอนุมัติให้ ซึ่งตามระเบียบของ อทบ.เคหะสงเคราะห์ ทหารยศจ่าจะกู้ได้ในวงเงิน 1.5 ล้านบาท ในขณะที่แม่ยายที่ทำธุรกิจนี้อยู่แล้ว จะจัดการซื้อที่ดิน และสร้างบ้านให้ตามสัญญาของ อทบ.ที่จะจ่ายเงิน 3 งวดและตรวจสอบบ้านที่ก่อสร้าง

สนามมวยลุมพินี ถนนรามอินทรา
ทั้งนี้ ตลอดขั้นตอนการดำเนินงาน แม่ยายของผู้พันจะดำเนินการแทนให้ทุกๆ เรื่อง ทั้งเรื่องซื้อที่ดิน เรื่องวัสดุก่อสร้าง เรื่องผู้รับเหมา โดยคิดราคาสะระตะอยู่ที่ 1.1 ล้านบาท จากนั้นจะโอนโฉนดที่ดินพร้อมเงินส่วนต่างที่เหลือ 4 แสนบาทกลับคืนให้ จ.ส.อ.จักรพันธ์

ส่วน “แม่ยาย” ก็จะมีรายได้จากค่าดำเนินงานไปเหนาะๆ ไม่ต่ำกว่า 400,00 บาท เพราะเมื่อคิดคำนวณราคาที่ดินขนาด 40 ตารางวาก็น่าจะตกอยู่ที่เพียง 150,000 บาท ค่าก่อสร้างซึ่งเมื่อพิจารณาจากตัวบ้านแล้วก็ไม่น่าจะเกิน 700,00 บาท

“โครงการนี้พันเอกกับแม่ยายเป็นผู้จัดทำโครงการ ส่วนภรรยาของพันเอกเป็นผู้รับเหมาก่อสร้าง ทหารนายใดที่สนใจ จะทำเรื่องกู้กับต้นสังกัด อย่างกรณีของคนร้าย ทำเรื่องกู้เงินมา 1,125,000 บาท ซึ่งต้นสังกัดจะแบ่งจ่าย 3 งวด งวดละ 375,000 บาท โดยเป็นการจ่ายตรงให้กับผู้รับเหมา แต่ราคาบ้านสร้างเสร็จแล้วอยู่ที่ 750,000 บาท เท่ากับว่า นางอนงค์ ต้องคืนส่วนต่างอีก 375,000 บาทให้คนร้าย และบวกเงินค่านายหน้าที่หาคนมาซื้อบ้านอีก 5 หมื่นบาท รวมเป็นเงิน 425,000 บาท แต่ไม่ได้เงินส่วนนี้คืน จึงติดตามทวงถาม พอทวงบ่อยครั้งก็ถูกกลั่นแกล้ง ทั้งโดนสั่งขัง และตัดเบี้ยเลี้ยง นี่ไม่ใช่กรณีเดียวที่เกิดปัญหา เพราะมีทหารอีกหลายนายที่เจอปัญหาเดียวกัน แต่ก็ไม่กล้าออกมาร้องเรียน” อัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม ให้ข้อมูลเพิ่มเติม

ข้อมูลของนายอัจฉริยะสอดคล้องกับสิ่งที่ นายทวิสันต์ โลณานุรักษ์ นักวิชาการอิสระและอดีตเลขาธิการหอการค้าภาคอีสาน เปิดเผยว่า “จากการตรวจสอบเบื้องต้นสาเหตุที่นำไปสู่การก่อเหตุรุนแรง คือการเอาเปรียบทหารชั้นผู้น้อย ทราบว่าทหารที่ก่อเหตุได้ร้องเรียนไปยังหลายหน่วยงานให้ช่วยเหลือแต่ก็ไม่มีความคืบหน้าจนกระทั่งก่อเหตุ จึงต้องการให้กองทัพและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งหาสาเหตุข้อเท็จจริงในการก่อเหตุ นำมาถอดบทเรียน พร้อมปรับเปลี่ยนและชี้แจงให้สังคมเข้าใจเพื่อไม่ให้มีการก่อเหตุซ้ำ สร้างขวัญกำลังใจและความมั่นใจให้ประชาชน”

อย่างไรก็ดี นางพรลภัทร มิตรจันทร์ ภรรยา พ.อ.อนันต์ฐโรจน์ กระแส และเป็นลูกสาวของนางอนงค์ มิตรจันทร์ ผู้เสียชีวิตทั้งสองราย ยืนยันว่า แม้ปมเหตุทั้งหมดเกิดจากเรื่องเงินโครงการจัดสรรที่ดินที่นางอนงค์ แม่ของตนเองมีหน้าที่ดำเนินเรื่องเอกสารจริง แต่ปัญหาอยู่ตรงที่ “นายพิทยา” ซึ่งเป็นนายหน้าโครงการติดค้างเงิน จ.ส.อ.จักรพันธ์ และที่ผ่านมาสามีไม่เคยกดขี่ข่มเหง จ.ส.อ.จักรพันธ์ แม้แต่น้อย

กล่าวสำหรับ โครงการกู้เงินสวัสดิการสร้างบ้านของทหารมีมานานนับสิบปีแล้ว และเป็นโครงการที่ “ดี” เพราะทำให้ทหารระดับล่างซึ่งมีเงินเดือนไม่สูงได้มีโอกาสมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง โดยแบ่งออกเป็น 2 ประเภท

สวนสนประดิพัทธ์ จ.ประจวบคีรีขันธ์
ประเภทแรก เป็นความร่วมมือระหว่างกองทัพบกกับกรมธนารักษ์ กระทรวงการคลัง จัดทำ โครงการบ้านธนารักษ์ ด้วยการปลูกสร้างบ้านบนที่ดินราชพัสดุที่อยู่ในความครอบครองของหน่วยต่าง ๆ ในกองทัพบก โดยให้มีการจัดสร้างบ้านพักอาศัย ในราคาถูก เพื่อจำหน่ายให้แก่กำลังพล สำหรับผู้ร่วมโครงการจะต้องทำสัญญาเช่าที่ดินกับกรมธนารักษ์ในระยะเวลา 30 ปี และสามารถต่อสัญญาเช่าต่อไปได้

ประเภทที่สอง คือโครงการในลักษณะเดียวกับ “ไอ้จ่าคลั่ง” ซึ่งสามารถกู้เงินสวัสดิการเพื่อนำไปซื้อที่ดินว่างเปล่าไว้ก่อนโดยผ่อนชำระไปเรื่อย ๆ หลังจากชำระหนี้เงินกู้สำหรับซื้อที่ดินหมดไปแล้ว จึงเริ่มกู้เงินใหม่อีกครั้งเพื่อสร้างบ้าน ก็จะทำให้ทหารระดับล่างมีบ้านเป็นของตนเองได้โดยใช้เงินกู้สวัสดิการนี้

ทว่า นายทหารระดับผู้บังคับบัญชาและบรรดาเมียๆ ที่รู้ช่องทาง จะให้ลูกน้องไปติดต่อทหารที่อยากได้บ้านพักหรืออยากได้เงิน “ส่วนต่าง” ไป “ใช้” หรือ “ใช้หนี้” จากนั้นก็ไปกว้านซื้อที่ดินแบบถูกๆ ขนาดเนื้อที่ประมาณ 10-20 ไร่ หรือมากกว่านั้น มาทำการจัดสรรโดยแบ่งแยกเอกสารสิทธิเป็นที่ดินแปลงย่อยประมาณ 50 ตารางวาต่อแปลง ซึ่งจะทำให้ได้ที่ดินแปลงย่อยนับร้อยแปลง นำไปขายให้กับทหารชั้นผู้น้อยผ่านโครงการสวัสดิการเงินกู้ของทหาร โดยที่ดินที่จัดสรรไม่ได้จัดทำสาธารณูปโภคใด ๆ ที่ผู้ซื้อจะสามารถนำที่ดินไปใช้ปลูกสร้างบ้านพักอาศัยได้ เพียงแต่อาจจะมีการไถกลบวัชพืชเพื่อให้เห็นเป็นแปลงที่ดินเท่านั้น

จากนั้นจะประสานงานกับนายทหารที่รับผิดชอบโครงการสวัสดิการเงินกู้สำหรับซื้อที่ดิน เพื่อเกณฑ์ให้ทหารหรือกำลังพลของกองทัพกู้เงินจากโครงการสวัสดิการเงินกู้เพื่อนำเงินมาซื้อที่ดินในโครงการที่จัดทำขึ้น พร้อมทั้งสร้างแรงจูงใจด้วยการทำให้มีเงินกู้เหลืออยู่จำนวนหนึ่งหลังชำระค่าที่ดินแล้ว เป็นเงินสดให้กับทหารที่ซื้อที่ดิน ซึ่งเรียกกันว่า “เงินทอน”

กรณีของ “ไอ้จ่าคลั่ง” บ้านที่ซื้อจาก “แม่ยายผู้พัน” คือตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมชัดเจน เพราะตัวบ้านที่ปลูกอยู่ห่างจากถนนใหญ่ ถนนหน้าบ้านยังเป็น “ดินลูกรัง” ซึ่งเมื่อประเมินราคาแล้ว ไม่มีทางที่จะมีราคาถึง 1.5 ล้านบาทอย่างแน่นอน ดังนั้น เมื่อบวกลบคูณหารแล้วทุกอย่างก็ลงตัวคือ ตัวผู้จัดสรรก็ฟาดกำไรไปสบายๆ จากเงินกู้ของลูกน้อง ขณะที่ลูกน้องก็จะได้ “เงินทอน” ไปใช้ก้อนหนึ่ง ที่เหลือก็ “ผ่อนชำระ” ไปเรื่อยๆ

สถานพักฟื้นและพักผ่อนกองทัพบก จ.เพชรบุรี
คิดดูเอาเองแล้วกันว่า ทำ “หลังเดียว” ยังฟาดกำไรไปไม่น้อยกว่า 400,000 บาท ถ้าจัดสรรที่ดิน 20 แปลง 20 หลัง ก็ได้ไปแล้ว 8,000,000 ล้าน ถ้าทำกันเป็นร้อยๆ แปลง จะคิดเป็นเงินสักกี่มากน้อย

ดังนั้น สิ่งที่กองทัพบกจะต้องตรวจสอบก็คือ ช่องว่างในการแสวงหาผลประโยชน์ที่สามารถไล่เรียงกันไปเป็นทอดๆ โดยเฉพาะ “นายทหารที่ดูแลโครงการสวัสดิการเงินกู้” ที่หนีไม่พ้นจะได้รับประโยชน์จากเอกชนเจ้าของโครงการจัดสรรที่ดินเป็นค่าดำเนินการอนุมัติเงินกู้

“กองทัพบกตั้งมาเป็นระยะเวลายาวนาน มีโครงการหลายอย่างเป็นจำนวนมาก ที่พูดมาไม่ได้ไปตำหนิ ติเตียนใคร ในห้วงเวลาและสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป มีโครงการ อย่างเช่นบ้านสวัสดิการ การกู้เงิน การร่วมมือระหว่างหน่วยทหารกับพ่อค้า มีการวิ่งเต้น เรื่องทั้งหมดนี้ รับรองว่าอีก 3 เดือนต่อจากนี้ ตั้งแต่ระดับนายพลถึงระดับพันเอกหลายคน ไม่มีงานทำแน่!” บิ๊กแดงกล่าวพร้อมยอมรับว่า ขบวนการดังกล่าว “มีจริง” แถมยังยอมรับด้วยว่า มีใช้บริบทความสัมพันธ์ระหว่าง “ผู้บังคับบัญชา” และ “ผู้ใต้บังคับบัญชา” เป็นช่องทางในการทำมาหากิน ซึ่งนับจากนี้จะมีการ “ล้างบาง” ธุรกิจในค่ายทหารอย่างเอาจริงเอาจัง

ก็คงต้องย้อนถามไปว่า จะมีการไล่เบี้ยเอา “ความผิด” กันถึงระดับไหน

นอกจากนี้ ยังมีปัญหาอีกสารพัดสารพันที่ต้องไปตามล้างตามเช็ดอีกกระบุงโกย โดยเฉพาะเรื่องการเอารัดเอาเปรียบ “ทหารชั้นผู้น้อย” เอาแค่จัดการกับการหัก “ค่าเวร-ค่าเบี้ยเลี้ยง” นี่ก็แทบจะตามล้างตามเช็ดไม่ไหว

อย่างไรก็ดี ดูเหมือนว่า “บิ๊กแดง” จะเอาจริงกับเรื่องนี้ให้เห็น เมื่อมีข้อมูลยืนยันว่า “บิ๊กแดง” มีคำสั่งให้ พล.ท.ธัญญา เกียรติสาร แม่ทัพภาคที่ 2 (มทภ.2) เชือด “พ.อ.และ พ.ท.” ในพื้นที่กองทัพภาคที่ 2 ถูกกล่าวหาพัวพันเรื่องทุจริตไม่จ่ายเงินตอบแทนการปฏิบัติงานนอกเวลาราชการ (ผู้ปฏิบัติหน้าที่เวรรักษาการณ์)

ทั้งนี้ แม่ทัพภาคที่ 2 (มทภ.2) มีคำสั่งให้ พ.อ.อุทัย แฝงกระโทก หัวหน้ากองยุทธการ (หก.กยก.) มณฑลทหารบกที่ 25 อดีตผู้บังคับกองพันที่ 3 กรมทหารราบที่ 23 (ผบ.ร.23 พัน.3) ย้ายมาช่วยราชการที่ กองกิจการพลเรือน (กกร.ทภ.2) กองทัพภาคที่ 2 และ พ.ท.ที เพิ่มพล ผบ.ร.23 พัน.3 ย้ายมาช่วยราชการที่ กองกำลังพลทัพภาคที่ 2 (กกพ.ทภ.2) เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2563

สนามกอล์ฟ ทบ.รามอินทรา
คำสั่งนี้น่าจะเป็น “ตัวอย่าง” ที่ทำให้ “นาย” ที่ทำมาหากินบนความทุกข์ยากของลูกน้องหนาวๆ ร้อนๆ ไปตามๆ กัน

ที่น่าสนใจคือ “บิ๊กแดง” ประกาศชัดเจนว่าจะเปิด call center เพื่อรับเรื่องร้องเรียนจากกำลังพลชั้นผู้น้อย โดยจะมีเครื่องบันทึกเสียงไว้เป็นหลักฐาน แต่ร้องเรียนจะต้องบอก ยศ ชื่อ นามสกุล สังกัด และส่งหลักฐานมาเพิ่มเติมได้ โดยข้อมูลทั้งหมดจะปกปิดเป็น “ความลับ” พร้อมทั้งมีทีมงานมาพูดคุยสอบถาม ก่อนที่จะรายงานถึงตนเองโดยตรง

ทั้งนี้ หน่วยทหารหรือทหารที่ถูกร้องเรียนและถูกตรวจสอบแล้วว่าเป็นความจริง ต้องแก้ไขและจะลงโทษอย่างเด็ดขาด แต่ถ้า ไม่ใช่เรื่องจริง คนร้องเรียนก็ถือว่า มีความผิดตามกฎหมาย

 ปฏิรูปกองทัพ ผ่าตัด ทบ.
ภารกิจใหญ่ทลายขุมทรัพย์ในแดนสนธยา
อย่างไรก็ดี นอกเหนือจากเรื่องอันสืบเนื่องมาจากกรณี “ไอ้จ่าคลั่ง” ที่ทำให้เห็น “น้ำตาบิ๊กแดง” แล้ว ดูเหมือนว่า ความเคลื่อนไหวในการชำระสะสาง “ปรสิต” ในกองทัพของ “บิ๊กแดง” จะมีสัญญาณแจ่มชัด ซึ่งสามารถกล่าวได้ว่า เป็นการเปลี่ยนแปลง “ครั้งประวัติศาสตร์” ของ “กองทัพบก” เลยก็ว่าได้

ทั้งนี้ หนึ่งในโครงการที่สำคัญก็คือ การยกเลิกระบบ “เงินนอกงบประมาณ” โดยเตรียมลงนามกับราชพัสดุ กระทรวงการคลังทำ “สวัสดิการพาณิชย์” เพื่อนำรายได้เข้ารัฐ ด้วยการนำกิจการ “สโมสร-บ้านพักชายทะเล-สนามมวย สนามกอล์ฟ” ของหน่วย มาอยู่ ทบ.ส่วนกลาง ให้ “เอกชน” ประมูลอย่างโปร่งใสและเปิดเผย

กองทัพบกโดย “บิ๊กแดง” ได้ลงนามบันทึกความตกลงหรือเอ็มโอยู(MOU) กับกระทรวงการคลังในการนำ “รายได้” ส่งเข้า “กระทรวงการคลัง” แล้วถึงนำมาจัดสรรปันส่วนให้เป็นสวัสดิการทหาร จากที่เดิมเคยเข้ากองทัพบกโดยตรง

“จะให้เอกชนที่เป็นมืออาชีพมา ดำเนินการ เพราะทหารเราไม่ได้จบ การโรงแรม ไม่ได้จบการบริหารจัดการสนามมวย สนามกอล์ฟมา อะไรที่ไม่ดี ผมยอมรับ แต่อย่ามาตีซ้ำตีซ้อน ผมแก้ ไม่ใช่ผมพูดอย่างเดียว แล้วไม่ทำ สิ่งที่ผิดพลาด ผมยอมรับ แล้วผมแก้ ยอมรับ มีกำลังพลที่ไม่พอใจ แต่ผมไม่ได้สนใจอะไร เพราะ วัตถุประสงค์ของเราคือ กองทัพบก ส่วนกำลังพล ที่เคยทำงานในสถานที่เหล่านี้ ก็ต้องกลับหน่วย ซึ่งก็เป็นส่วนน้อย เช่น ที่สวนสน ก็มีเงินเดือน มีตำแหน่ง อยู่แล้ว ก็ต้องกลับมาที่เดิม ไม่ใช่คนทำงาน 2-3 แห่ง จะทำทุกอย่างให้ สะอาด โปร่งใส เป็นไปตามระเบียบ ตามกม.มากขึ้น สิ่งที่ผมแก้ ผมจะรับผิดชอบ และผมจะแก้ให้ได้ มากที่สุด ก่อนที่ผมจะเกษียณ”พล.อ.อภิรัชต์เปิดเผยรูปแบบในการบริหารจัดการ

ประเด็นดังกล่าว มีความสัมพันธ์กับการส่งมอบ “พื้นที่ราชพัสดุ” บางส่วนที่ครอบครองโดยกองทัพมายังกรมธนารักษ์เพื่อให้กรมนำไปบริหารจัดการพื้นที่ให้เกิดประโยชน์มากที่สุด โดยที่ราชพัสดุที่ส่งมอบแบ่งออกเป็น 2 ส่วนคือ พื้นที่ที่มีการบุกรุกและพื้นที่ที่จะนำมาพัฒนาเชิงพาณิชย์

รวมๆ แล้วมีพื้นที่กว่า 1 ล้านไร่เลยเดียว

ทั้งนี้ การลงบันทึกข้อตกลงจะดำเนินการกันในวันที่ 17 ก.พ.นี้

ข้อความปริศนาของ จ.ส.อ.จักรพันธ์ ก่อนลงมือยิงผู้บังคับบัญชา ระบุว่า “ร่ำรวยจากการโกง การเอาเปรียบผู้อื่น มันคิดว่ามันจะเอาเงินไปใช้ในนรกได้หรือไง”
อย่างไรก็ดี ด้วยความเป็นธรรม ต้องบอกว่ากองทัพบกในยุค “บิ๊กแดง” ได้ทยอยดำเนินการในเรื่องนี้มาอย่างต่อเนื่อง ยกตัวอย่างเช่น ที่ราชพัสดุที่ถูกประชาชนบุกรุก กองทัพบกกับกรมธนารักษ์ได้ประชุมหารือเพื่อแก้ไขปัญหามาอย่างต่อเนื่อง ครั้งล่าสุดที่ปรากฏเป็นข่าวคือ เมื่อวันที่ 16 ธ.ค.2562 ที่ผ่านมา

นายยุทธนา หยิมการุณ อธิบดีกรมธนารักษ์ เปิดเผยว่า กองทัพบกเห็นด้วยในการนำที่ราชพัสดุที่ถูกบุกรุกในปัจจุบันที่อยู่ในการดูแลของกองทัพบกทั้งหมดมาจัดสรรและทำสัญญาเช่าอย่างถูกต้องให้กับประชาชนต่อไป โดยกองทัพบกเริ่มทยอยสำรวจข้อมูลและอยู่ระหว่างการส่งข้อมูลการบุกรุกดังกล่าวของประชาชนเข้ามาให้กรมดำเนินการแล้ว ซึ่งหลังจากนี้กรมจะนำข้อมูลที่ได้มาพิจารณา และจัดสรรประโยชน์เพื่อปล่อยพื้นที่ดังกล่าวให้ชาวบ้านได้ทำสัญญาเช่าอย่างถูกกฎหมายต่อไป

“เบื้องต้นเท่าที่กองทัพบกประเมิน พบว่า มีชาวบ้านไปบุกรุกพื้นที่ราชพัสดุที่มากกว่า 10 ปีมีเป็น 1,000 ไร่ 10,000 ไร่ เช่นที่จังหวัดกาญจนบุรี และเชียงราย มีเป็นจำนวนมาก ดังนั้นเรากับกองทัพบกจึงเห็นว่าควรจะนำที่ดินนั้นมาทำให้เกิดประโยชน์ ด้วยการให้ประชาชนที่บุกรุกเช่า ซึ่งทางกองทัพเห็นชอบด้วย เพราะคือความถูกต้อง ซึ่งกองทัพได้เป็นหน่วยงานแรกๆ ที่ให้ความร่วมมือกับกรม และจะจัดสรรพื้นที่ให้ชาวบ้านได้ทำกิน”นายยุทธนา กล่าว

อย่างไรก็ดี จากการตรวจสอบข้อมูลเพิ่มเติมพบว่า พื้นที่ราชพัสดุที่อยู่ในความดูแลของกรมธนารักษ์มีทั้งหมดกว่า 12.5 ล้านไร่ทั่วประเทศ แต่มีเพียงพื้นที่ส่วนน้อยเท่านั้นที่กรมธนารักษ์สามารถเก็บรายได้เข้ารัฐ ซึ่งคิดเป็นเงินประมาณ 4,000 ล้านบาทต่อปี ขณะที่พื้นที่ส่วนใหญ่ซึ่งอยู่ในครอบครองของหน่วยงานราชการนั้นไม่มีการเก็บค่าเช่า

ในจำนวนพื้นที่กว่า 12.5 ล้านไร่นั้น กว่าร้อยละ 90 อยู่ในการครอบครองของส่วนราชการและส่วนใหญ่คือประมาณ 7.5 ล้านไร่เป็นที่ดินที่อยู่ในความครอบครองของ 3 เหล่าทัพเพื่อใช้ประโยชน์ด้านความมั่นคง ใช้ในราชการ รวมถึงสวัสดิการข้าราชการ ซึ่งที่ผ่านมากรมธนารักษ์ได้ทำการสำรวจการใช้พื้นที่ของส่วนราชการต่างๆ พบว่า มีบางส่วนที่ใช้พื้นที่ไม่ตรงวัตถุประสงค์และอยู่ระหว่างการแก้ไขให้ถูกต้อง

ตัวอย่างของพื้นที่เหล่านี้ ได้แก่ สนามมวยลุมพินีแห่งใหม่บนถนนรามอินทรา ซึ่งภายใต้การดูแลของกองทัพบกและถูกนำไปใช้ประโยชน์เชิงธุรกิจ โดยมีรายได้เข้าสนามมวยไม่ต่ำกว่า 400,000 บาทต่อวัน

สถานีบริการน้ำมัน ปตท. บริเวณถนนวิภาวดีรังสิต ซึ่งนอกจากตัวสถานีบริการนั้นแล้ว ยังมีการแบ่งเช่าพื้นที่เชิงพาณิชย์ให้ร้านค้าต่างๆ เช่า แต่ไม่มีการแบ่งรายได้ให้รัฐ ซึ่งตามระเบียบแล้วที่ดินราชพัสดุที่นำไปใช้ประโยชน์ในลักษณะนี้ต้องจ่ายค่าเช่าในอัตราสูงสุด เช่น ร้านค้าที่มาเช่าพื้นที่จะต้องจ่ายในราคา 13 บาทต่อตารางเมตรต่อเดือน ส่วนที่อยู่ภายนอกอาคารต้องจ่าย 30 บาทต่อตารางวาต่อเดือน

หรือ สถานพักฟื้นและพักผ่อน ทบ.สวนสนประดิพันธ์ จ.ประจวบคีรีขันธ์ ที่ “บิ๊กแดง” เอ่ยถึง ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่าราคาห้องพักตกอยู่ที่ประมาณ 1,000-7,600 บาทต่อคืน และน่าจะเป็นธุรกิจที่สร้างรายได้ก้อนงามเลยทีเดียว

บ้านของ จ.ส.อ.จักรพันธ์ ถมมา ต้นเหตุของโศกนาฏกรรม
นอกจากนี้ “บิ๊กแดง” ยังสั่งยกเลิกการจัดซื้อ “ปืนสวัสดิการ” ทุกชนิดของกองทัพบก และต่อไปนี้ใครจะซื้อปืนสวัสดิการภายนอกจากหน่วยงานใดก็ตาม ผู้บังคับบัญชาชั้น “นายพล” จะต้องทำคำสั่งผ่านเสนาธิการทหารบกเท่านั้นเพื่อให้ออกคำสั่ง เพราะทหารไม่จำเป็นต้องมีปืนส่วนตัว เนื่องจากมีปืนหลวงอยู่แล้ว ซึ่งของเดิมตามระเบียบ จะให้นายทหารยศชั้น “นายพัน” เป็นผู้เซ็น ซึ่งเปิดโอกาสให้กำลังพลและพ่อค้าซื้อขายอาวุธกันได้ง่าย

เช่นเดียวกับ “บ้านหลวง” ที่ขีดเส้นตายภายในเดือนกุมภาพันธ์ให้ผู้ที่เกษียณอายุราชการ และยังพักอาศัยอยู่ในพื้นที่ทหารต้องย้ายออกไป เพื่อเปิดโอกาสให้คนที่ไม่มีบ้านมาอยู่ ซึ่งเรื่องนี้ถือเป็น “เรื่องใหญ่” อีกเรื่องหนึ่ง เพราะกระทบโดยตรงกับบรรดา “บิ๊กทหาร” ที่เกษียณอายุราชการไปแล้ว

โดยเฉพาะใน กรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์ และ กรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ ซึ่งมีบ้านของบิ๊กๆ อยู่หลายคน

ทั้งนี้ “บิ๊กแดง” ได้สั่งการไปยังกรมสวัสดิการทหารบก ให้ตรวจสอบบ้านพักของกองทัพบกว่า มีผู้เกษียณอายุราชการที่ยังพักอาศัยอยู่หรือไม่ โดยให้ทำหนังสือถึงผู้ที่เกษียณอายุราชการแล้ว ยังอาศัยอยู่ที่บ้านสวัสดิการ และไม่ได้ทำประโยชน์ให้กับประเทศ โดยแจ้งให้ออกจากบ้านพัก ภายในสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2563 นี้

กระนั้นก็ดี ในส่วนของผู้เกษียณราชการแล้ว แต่ทำคุณประโยชน์ให้กับประเทศชาติ และได้รับอนุญาตให้พักอาศัยยังสามารถอยู่ได้ตามปกติ เพราะทำคุณประโยชน์ให้กับประเทศ ดังนั้น บรรดา “พี่ๆ” คงสบายใจ ส่วนจะ “เสียสละ” เป็นตัวอย่างที่ดีหรือไม่ ไม่อาจทราบได้

นอกจากนั้น กรณีของ “สโมสรฟุตบอลอาร์มี่ ยูไนเต็ด” ก็ถือว่ามีความน่าสนใจไม่แพ้กัน ไม่เช่นนั้น “บิ๊กแดง” คงไม่กล้าพูดออกมาว่า “ที่ผ่านมา มีใครยกเลิก ทีมอาร์มี่ ยูไนเต็ด บ้าง”ซึ่งก็เป็นเรื่องจริง เพราะไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะยุบสโมสรที่มีอายุเก่าแก่กว่า 100ปี และในแต่ละปีมีเม็ดเงินเข้ามาเกี่ยวข้องนับเป็นร้อยล้านบาท

จะเรียกว่าเป็นการล้างบางธุรกิจฟุตบอลก็คงจะว่าได้

“บิ๊กแดง” ในฐานะประธานสโมสรฟุตบอลทหารบก “อาร์มี่ ยูไนเต็ด” ได้มีคำสั่งให้พักทีมฟุตบอล ตั้งแต่วันที่ 28 พฤศจิกายน 2562 เนื่องจากทีมยังคงอยู่ในลีกรอง ยาวนาน 4 ปี ไม่สามารถขึ้นสู่ไทยลีก 1 ได้ตามเป้าหมาย

ทั้งนี้ รายงานข่าวแจ้งว่า “บิ๊กแดง” เกรงใจบรรดาสปอนเซอร์ ผู้สนับสนุนภาคเอกชนต่างๆ ที่ช่วยสนับสนุนทีมฟุตบอลของกองทัพบกมาเป็นเวลายาวนานต่อเนื่องปีละหลายสิบล้านบาท แต่ไม่สามารถทำทีมได้ตามเป้าหมาย ไม่ว่าจะเป็น Army Strong หรือ Army Come Back แต่ก็ไม่สำเร็จ

“ขอให้มั่นใจ จะทำให้กองทัพบกดีขึ้น จนวันสุดท้าย”พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผบ.ทบ.กล่าวและยืนยันว่า ตั้งใจจะใช้เวลาอีก 6-7 เดือนก่อนเกษียณ ในการปรับเปลี่ยนหลายอย่างในกองทัพบก เพราะถึงเวลาที่จะ “กำจัดจุดอ่อน” เพื่อมุ่งหน้าสู่ความเป็น Smart Soldier และ Smart Army กันอย่างเอาจริงเอาจัง เพียงแต่ไม่รู้ว่า จะประสบความสำเร็จแค่ไหน เพราะต้องยอมรับว่า เป็น “เรื่องยาก” เนื่องจากฝังรากลึกมาเป็นเวลาช้านาน.


กำลังโหลดความคิดเห็น