"โสภณ องค์การณ์"
ท่านลุงผู้นำประเทศเดินทางไปแสวงหาความนิยมจากประชาชนในจังหวัดพะเยาและน่านช่วงกลางสัปดาห์ มีประชาชนแต่งกายในชุดสะอาดตาดูดีมาต้อนรับ ฟังคำปราศรัยพร้อมคำมั่นสัญญาต่างๆ ขณะที่บ้านเมืองเผชิญปัญหาสารพัด ไม่มีแนวโน้มว่าจะดีขึ้น
แต่ละวันผ่านไป ประชาชนไม่รู้ว่ารัฐบาลจะพาบ้านเมืองไปทิศทางใด หลังจากประกาศยุทธศาสตร์ 20 ปีเป็นแนวทางพัฒนาประเทศ เพียงแค่ปีกว่าๆ ก็เห็นท่าแล้วว่าไม่เป็นไปตามคาด ปัญหาเก่าเรื้อรังไม่มีหนทางแก้ไข มีทั้งปัญหาและวิกฤตใหม่มาตลอด
ดูแล้วสิ้นท่า สิ้นปัญญา แต่ประกาศไม่ยอมสิ้นความขยัน จะขออยู่สู้ต่อไปเพื่อแก้ปัญหาโดยไม่ยอมรับว่าที่บ้านเมืองมีปัญหาเรื้อรังทุกวันนี้เป็นเพราะผลงานที่ไม่ได้มาตรฐาน ชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้านไม่ดีขึ้น ความปลอดภัยในชีวิตทรัพย์สินตกต่ำ
ลองฟังคำหวานและคำมั่นสัญญาลมๆ แล้งๆ ของลุงผู้นำที่ป้อนให้ชาวบ้านฟัง
“ขอให้มั่นใจกับสิ่งที่รัฐบาลกำลังแก้ปัญหาในขณะนี้ ทั้งปัญหาด้านเศรษฐกิจ ปัญหาหมอกควัน และ การเกษตร ซึ่งต้องใช้เวลา แต่สิ่งสำคัญคืออยากให้ทุกคนมาร่วมมือกัน พัฒนาต่อยอด ทำการเกษตรแบบใหม่...” ฟังแล้วชวนให้เคลิบเคลิ้ม
แต่คนรู้ทันได้ชมลีลาท่วงท่าของลุงผู้นำแล้ว บอกได้ว่าไม่มีอะไรใหม่
แต่มันคืออะไรล่ะ? ปัญหาด้านเศรษฐกิจตายซาก ความทุกข์ลำบากระบาดไปทุกหย่อมหญ้า ระดับรากหญ้าตายซากรากเลือด คนระดับต่ำกว่าชนชั้นกลางอยู่ในสภาวะย่ำแย่ คนในระดับชนชั้นกลางเริ่มรับรู้ผลกระทบหนักหน่วง จนถึงขั้นไม่กล้าใช้เงิน
มองไปข้างหน้าขนหัวลุก การส่งออกจะยังคงเผชิญวิบากกรรมจากเงินบาทแข็งค่า
ซ้ำร้ายด้วยการผลิตที่ได้รับผลกระทบเพราะเชื้อโรคไวรัสระบาด ระบบการผลิตชะงักในจีน ทำให้ประเทศคู่ค้าพึ่งพาการนำเข้าส่งออกวัตถุดิบและชิ้นส่วนต้องหยุดเช่นกัน ความต้องการสินค้าลดลง ปริมาณการขนส่งทุกประเภทต้องลดลงไปด้วย
นั่นหมายถึงการขยายตัวของเศรษฐกิจมีปัญหา ไม่ถึงระดับเป้าโลกสวยที่ตั้งไว้ ทำให้รายได้จากการส่งออกต้องปรับใหม่ จากค่าเงินบาทแข็งและผลกระทบจากเชื้อไวรัส และรายได้หลักอีกตัวคือการท่องเที่ยว คงจะต้องประสบกับภาวะซบเซากันทั่วโลก
เมื่อคนจีนเป็นส่วนหนึ่งในตลาดการท่องเที่ยว เมื่อหายไป หลายประเทศเช่น ญี่ปุ่น ไต้หวัน และไทยคงต้องมีปัญหาการขาดรายได้ที่คาดหวังไว้ ธุรกิจการบิน โรงแรม ร้านอาหาร ขนส่ง และบริการอื่นๆ ในเมืองท่องเที่ยวหลักจะต้องรับสภาพความซบเซา
มีแผนอะไรที่มากไปกว่า “ชิม ช็อป ใช้” เหมือนอภิมหามนตราแก้ปัญหาสารพัด ล้างผลาญงบประมาณหลายหมื่นล้านบาท ก็ไม่ทำให้เศรษฐกิจฟื้นจากตายซาก โบ้ยความผิดให้ปัญหาสงครามการค้า ทั้งๆ ที่เพิ่งเกิดได้เพียงปีกว่า แต่คณะลุงอยู่มากว่า 5 ปี
ปัญหาหมอกควัน การเกษตร ภัยแล้ง ไม่มีแผนบริหารจัดการอะไรใหม่ หมอกพิษปกคลุมเมืองหลวงนานเป็นเดือน ไม่มีมาตรการอะไรออกมาได้ นอกจากพึ่งพาธรรมชาติจัดสรร ดันไปสัญญากับชาวบ้านในพะเยาและน่าน ว่าจะสามารถจัดการปัญหาได้
ภาคเกษตรซึ่งกำลังมีปัญหาภัยแล้งรุนแรง ก็แก้ปัญหาตามมีตามเกิด นาปรังทำไม่ได้เพราะขาดน้ำ ยังไม่แน่ว่านาปีจะมีน้ำเพียงพอให้ได้ผลผลิตเพียงพอหรือไม่ ถ้าชาวนาได้เงินน้อย ก็มีเงินใช้หนี้ได้น้อย ขาดอำนาจการซื้อ ไม่สามารถเลี้ยงตัวให้รอดได้
และจะทำอย่างไร ถ้ามีคนอพยพเข้าเมืองหางานทำ ซึ่งมีคนว่างงานเพียบแล้ว!
ภาคเกษตรพึ่งพาน้ำฝน น้ำในเขื่อนมีน้อย แต่คนภาครัฐจะคงความเลือดเย็นอำมหิต ปล่อยให้ภาคเกษตรใช้สารพิษเคมีเกษตร 3 ตัว ทำให้ชาวบ้านเสี่ยงกับโรคภัยไข้เจ็บ ตายผ่อนส่ง เพราะความห่วงว่าพ่อค้าจะขาดรายได้จากสินค้าค้างสต็อก
ไปแต่ละพื้นที่ ก็มีลีลา น้ำคำหวานหู สัญญาแตกต่างกันไป ให้ชาวบ้านสบายใจ พร้อมกับออดอ้อนตีกินเอาความสงสารเห็นใจ เพราะอยากอยู่ต่อไม่สิ้นสุด
คราวนี้ไปขอความร่วมมือประชาชนในการพัฒนาพื้นที่ของตนเอง “ต่อยอดภูมิปัญญาท้องที่ลดความขัดแย้ง ไม่เชื่อข้อมูลบิดเบือน ยืนยันส่วนตัวไม่อยากทะเลาะกับใครทั้งสิ้น ขอเวลาทำงานดีกว่า ยืนยันไม่เคยหยุดงาน ซึ่งครม.ทุกคนมีความตั้งใจ...”
ที่ผ่านมา ถ้ามีความรู้ความสามารถบริหารงานแท้จริงตามคำอ้าง บ้านเมืองและสภาพความเป็นอยู่ของประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศคงไม่เป็นเช่นนี้ เศรษฐกิจไม่ตายซากอย่างนี้ และที่ผ่านมาไม่เคยยอมรับความผิดพลาด ความล้มเหลว ก่อหนี้มหาศาล
คราวนี้คนรู้ทันมองเห็นชัดว่าคำอ้างว่า “จะลงพื้นที่ทุกจังหวัด และส่วนตัวไม่สนใจคำวิจารณ์ในโซเชียล แต่ก็พร้อมรับฟังทุกความคิดเห็น...” เป็นวจีไร้น้ำหนัก
ถ้าก่อนหน้านี้รับฟังเสียงวิจารณ์ และปฏิบัติตามบ้าง บ้านเมืองคงไม่เป็นเช่นทุกวันนี้ ด้วยเหตุผลเพื่อความอยู่รอด เครือข่ายบริวารไปกวาดต้อนสมุนท่านเหลี่ยมเอามาเป็นพวก เป็นฐานเสียงในสภา แต่ตัวเองไม่ใส่ใจที่จะพิสูจน์ความนิยมด้วยการลงเลือกตั้ง
ไม่ลงเลือกตั้ง ทั้งยังไม่กล้าตอบคำถามอย่างจริงจัง มีแต่ลูกเล่นกับการตะคอกสื่อ ทำเป็นโมโหโทโสเพื่อกลบอาการที่หมดหนทางตอบคำถามอย่างมีเนื้อหาสาระแท้จริง
ที่ผ่านมา ไม่เพียงไม่สนใจคำวิจารณ์ในโลกโซเชียล ยังดันทุรังที่จะอยู่ต่อโดยทุกวิธี ด้วยการจัดการของเครือข่ายการเมือง แม้ชาวบ้านมองว่าการเสพติดอำนาจอย่างหนัก สภาพบ้านเมืองไม่ดีขึ้นนั้น มีแต่ความเสี่ยงว่าบ้านเมืองจะเผชิญวิกฤตเศรษฐกิจร้ายแรง
และชาวบ้านมองเห็นล่วงหน้าได้เลยว่าไม่มีหน้าไหนจะกล้าแอ่นอกออกมาขอรับผิดชอบความเสียหายที่เกิดขึ้น ธรรมเนียมปฏิบัติของผู้มีอำนาจในประเทศนี้คือเอาตัวรอด โบ้ยความผิดให้เหตุอื่นๆ คนหรือปัจจัยอื่นๆ อย่างไร้จิตสำนึก ความกล้ารับผิดชอบ
ชาวบ้านมีคำถามให้คณะ 3 ลุงว่าไม่คิดอยากจะรามือ ออกไปบ้างหรือ เพราะยื้ออยู่ต่อไปก็เพื่อแก้ปัญหาที่พวกตัวเองได้ก่อขึ้น เมื่อไร้ฝีมือแล้ว จะเอาสติปัญญาที่ไหนมาแก้ปัญหาซึ่งกลายเป็นดินพอกหางหมู อยู่ต่อไปมีแต่เสี่ยงจะเกิดหายนะ
แต่ก็นั่นแหละ เมื่อไม่รู้จักเหนื่อย ไม่รู้สึกถึงความหน่ายของชาวบ้าน ก็คงต้องซังกะตายอยู่ในสภาพเช่นนี้ จนกว่าสภาพความเป็นจริงจะเป็นตัวจัดการเสียเอง