นับเป็นผีซ้ำด้ำพลอยสำหรับเมืองไทย อะไรๆ ก็ดูไม่ดีไปหมด ใครก็ตามที่พูดถึงสภาพประเทศ และความพยายามของคณะผู้กุมอำนาจรัฐบาลว่าแก้ปัญหาบ้านเมืองแบบไร้ทิศทางจะโดนขบวนการ “ติ่งลุง” รุมกระหน่ำไม่ลืมหูลืมตา
ถ้าหนักหนาสาหัสก็จะโดนถล่มหนักว่าเป็นพวก “ชังชาติ” ไปโน่น!
คณะ 3 ลุงกุมอำนาจไม่ยอมปล่อยยังมีบุญเก่าเหลือตกค้าง ปัญหาฝุ่นพิษ พีเอ็ม 2.5 ได้รับการแก้ไขโดยธรรมชาติไปเรียบร้อย จะเป็นเพียงชั่วคราวหรือหวนคืนมาอีกเมื่อไหร่ ก็ต้องขึ้นอยู่กับธรรมชาติ เมื่อมนุษย์ทำร้ายธรรมชาติ ก็ต้องโดนเอาคืน
มีปัญหาใหม่เกิดจากภายนอกประเทศ นั่นคือการแพร่ระบาดของเชื้อโคโรนาไวรัสจากเมืองอู่ฮั่นของจีน ซึ่งกระจายไปทั่วแผ่นดินใหญ่จีน เหลือเพียงเขตปกครองพิเศษทิเบตแค่นั้น จะรอดได้อีกนานเท่าไหร่ก็ไม่รู้ เพราะความเร็วในการแพร่เชื้อร้าย
เมืองไทยช่วงวันหยุดที่ผ่านมามีพบแล้ว 5 รายแต่ไม่มีผู้ป่วยเสียชีวิต การเฝ้าระวังการจัดการปัญหาเชื้อโรคร้ายโดยคณะสาธารณสุขของไทย และระบบที่มีประสิทธิภาพพิสูจน์ได้ตั้งแต่ไข้หวัดนก ซาร์ส เมอร์ส ทามิฟลู เอดส์ ถูกเอาอยู่หมัด
ไทยเป็นประเทศเดียวที่มีระบบการจัดการสาธารณสุขรับกับโรคร้ายทุกประเภทเทียบชั้นกับประเทศที่พัฒนาแล้ว มีระบบการดูแลสุขภาพเหนือกว่าชาติอื่นใด ทั้งด้านการเข้าถึงการรักษา รักษา 30 บาท หรือบัตรทอง ฟรีสำหรับคนอนาถา
เสียอย่างเดียวขนาดอภิมหาภัยคือผู้บริหารประเทศเป็นจอมโกงแทบทุกยุค โกงติดอันดับโลก จัดอันดับครั้งใดแย่กว่าเดิม ทั้งๆ ที่ประกาศเรื่องปราบปรามการทุจริตจนเป็นพิธีกรรมประจำปี จนคนสงสัยว่าประกาศเล่นงานพวกโกงฝ่ายตรงข้าม
พวกเดียวกันโกงหรือประพฤติมิชอบจะมีอภินิหารทางกฎหมาย นิติศรีธนญชัย กระบวนการยื้อเรื่องให้ล่าช้า หรือพรรคพวกอยู่ในกระบวนการตรวจสอบฟอกดำให้เป็นขาว ทำกันอย่างเป็นระบบ อาย เพราะรัฐธรรมนูญไม่มีข้อห้ามเรื่องหน้าด้าน
วกเข้าเรื่องความพยายามแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ซึ่งจากนี้ไปจะหนักหนาสาหัสกว่าเดิม แม้ปัญหาสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนจะทุเลา เรื่องไวรัสอู่ฮั่นจะเป็นตัวบั่นทอน ทำให้ยากสำหรับการแก้ไข ถ้าผู้ต้องแก้ปัญหาไร้สติปัญญา ก็ยิ่งซ้ำร้าย
ที่ผ่านมาเศรษฐกิจไทยพึ่งรายได้หลัก 2 อย่างคือการส่งออก และจากการท่องเที่ยว โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจากจีน พยายามออกมาตรการสารพัด เช่น ไม่ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมวีซ่า เอื้ออวยให้อยู่นาน มีปัญหาอะไรก็สร้างมาตรการใหม่มาให้
บัดนี้ทัวร์กรุ๊ปจากจีนจะไม่เข้ามาตั้งแต่วันที่ 27 เดือนนี้เพื่อไม่ให้คนจีนเสี่ยงเป็นพาหะนำโรคไวรัสอู่ฮั่นไปแพร่ในประเทศอื่นๆ ไทยเป็นเป้าหมายหลักของนักท่องเที่ยวจีน แต่ละปีมีมากกว่า 10 ล้านคน มีทั้งมาเอง และมากับบริษัททัวร์
เมื่อไม่มาเป็นกลุ่มทัวร์ ต้องดูว่าจะหายไปเท่าไหร่ และจะทำอย่างไรเพราะเมื่ออู่ฮั่นไวรัสยังระบาดอยู่ สายการบินต้องหยุดบินเข้าออกจีนหลายเมือง ถ้าทางการจีนเอาไม่อยู่ อาจต้องปิดเมืองในจังหวัดอื่นๆ นอกจากในมณฑลหูเป่ย ซึ่งปิด 15 เมือง
เมื่อส่งออกตก เพราะเงินบาทแข็งค่า ยังไม่มีใครแก้ปัญหา รายได้จากการท่องเที่ยวตก เงินงบประมาณปี 2563 เอาออกมาใช้ไม่ทันการ ปัญหาภัยแล้งทำให้การเกษตรไม่ได้ผล คนภาคเกษตรขาดรายได้สำหรับใช้หนี้และใช้จ่าย จะเกิดอะไรขึ้น
ถ้าไวรัสอู่ฮั่นระบาดในเมืองไทย เกิดความตระหนก ต้องควบคุม ร้านจำหน่ายสินค้าอาหารต้องปิด สถานบันเทิงอื่น ศูนย์การค้าไม่มีคนเดิน จะเป็นสภาพอย่างไร เราก็ได้แต่หวังว่าระบบและโครงสร้างการจัดการสาธารณสุขของเราจะเอาอยู่แน่ๆ
อย่าหวังรัฐบาล เพราะไม่มีใครเชื่อมั่น นอกจากขบวนการ “ติ่งลุง” สวนดุสิตโพลเพิ่งรายงานว่าชาวบ้านไม่เชื่อมั่นในการจัดการฝุ่นพิษ ขาดการทำงานเป็นระบบ ไม่ใส่ใจสุขภาพชีวิตคนไทย ปล่อยให้สารพิษ 3 ตัวฆ่าคนตายผ่อนส่ง นำเข้าขยะพิษ
แล้วจะไปหวังอะไรกับรัฐบาล ซึ่งดูแล้วมีแต่พวกสิ้นคิดสิ้นปัญญา อยู่ไปแต่ละวันท่องแต่คาถาอภิมหามนตรา “ชิมช็อปใช้” ผลาญเงินเป็นหมื่นๆ ล้านหลายรอบ ทำไปทั้งๆ ที่รู้ว่าไม่ได้ผล แต่ก็ยังดันทุรังทำ รู้ว่าผลสุดท้ายพวกเจ้าสัวได้ประโยชน์แน่
จากนั้นจะมีบางพวกได้รับผลประโยชน์จากการจัดสรรปันส่วนโดยเจ้าสัว!
ปัญหาภัยแล้งหนักเกือบทั่วประเทศยังไม่ได้จัดการอย่างเป็นระบบ ลุงป้อมตะลอนๆ ไปต่างจังหวัดขุดบ่อน้ำบาดาลช่วยชาวบ้าน น้ำในคลอง แม่น้ำสายหลัก บึงขนาดใหญ่แห้งขอดเพราะตื้นเขิน ไม่ได้รับการขุดลอกอย่างเป็นระบบ เกือบสิ้นสภาพ
ถ้าผู้บริหารประเทศไม่ไร้สติปัญญา สิ้นคิด ก็ควรใช้งบที่จะไปผลาญในโครงการ ชิมช็อปใช้ ไปใช้ขุดลอก แม่น้ำ คลอง อ่างเก็บน้ำ แหล่งกักน้ำต่างๆ ในภาคเหนือ อีสาน และภาคกลาง เมื่อมีฝนจะช่วยลดปัญหาน้ำท่วม หน้าแล้งก็มีน้ำ
จะเป็นจะตายมากหรืออย่างไร ถ้าไม่ห่วงเปอร์เซ็นต์ หรือผลประโยชน์ของเจ้าสัว งบนั้นจะให้หน่วยทหารพัฒนา ชาวบ้านในพื้นที่มีงานทำ มีรายได้ สภาพเศรษฐกิจรากหญ้า และชนชั้นกลางระดับล่างตายซาก จะหวังอะไรกับการชิมช็อปใช้
คลองรังสิต ในหลวงรัชกาลที่ ๕ สั่งให้ขุดมาเป็นร้อยปี ยังไม่เคยมีขุดลอก ปล่อยให้ตื้นเขินเหมือนสติปัญญาผู้บริหารบ้านเมือง เลิกห่วงเรื่องจะสูญเสียอำนาจได้แล้ว ถ้าเศรษฐกิจยังตายซาก มีอำนาจมากก็ต้านการลุกฮือของคนหิวโหยไม่ได้
ถ้าสิ้นคิดสิ้นปัญญา ควรโบกมืออำลา ดีกว่าดันทุรังปล่อยให้บ้านเมืองสะสมปัญหาจนกลายเป็นวิกฤต โครงสร้างทรุดแก้ไขได้ยาก ถ้ายังไม่เลิกโกงจะเกิดหายนะ
รัฐธรรมนูญไม่มีเรื่องยางอาย ห้ามหน้าด้าน แต่ก็ถึงเวลาที่ต้องสำนึกเองแล้ว!