หลายคนเคยบอกว่า หากเทียบกันระหว่างคดีล้มล้างการปกครองฯ ที่พรรคอนาคตใหม่เคยถูกร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรค กับคดีเงินกู้จำนวน 191.2 ล้านบาท ก็ต้องถือว่าคดีหลังนี่แหละคือ“ของจริง”ที่น่าหวาดเสียวที่สุด และหลายฝ่ายก็ให้ความเห็นค่อนข้างไปในทางเดียวกันว่า“รอดยาก”
แม้ว่าคดีแรก คือคดีล้มล้างการปกครอง ศาลรัฐธรรมนูญได้ยกคำร้องไปแล้ว เนื่องจากยังไม่มีหลักฐานเพียงพอให้ยุบพรรคได้ ซึ่งก็มีคนเห็นว่ายังไม่ถึงขั้นยุบพรรคอนาคตใหม่ แต่สำหรับคดีเงินกู้ ที่ล่าสุดทางศาลรัฐธรรมนูญได้นัดวินิจฉัยใน วันที่ 21 กุมภาพันธ์นี้ ทำให้พรรคการเมืองที่เกิดใหม่พรรคนี้ต้องกลับมาลุ้นระทึกแบบนับถอยหลังกันอีกรอบ
แม้ว่าที่ผ่านมาจะพยายามยืดเวลาออกไปให้นานที่สุดตามแท็กติกทางกฎหมาย ซึ่งก็ถือว่าทำได้ ไม่ได้ผิดกติกาแต่อย่างใด โดยเฉพาะแนวทางที่พรรคอนาคตใหม่พยายามตั้งแต่การยื่นคำร้องเพื่อขอขยายเวลาการยื่นเอกสารชี้แจง รวมไปถึงการขอยื่นคำร้องเพื่อไต่สวนพยานบุคคลเพิ่มเติม แต่ล่าสุด ศาลรัฐธรรมนูญก็ได้มีคำแถลงออกมา เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา โดยนัดวินิจฉัยคดีดังกล่าวในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ นี้
ในคำแถลงดังกล่าวยังระบุว่า คำร้องยุบพรรคอนาคตใหม่ของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาคดีพอวินิจฉัยได้ ไม่จำเป็นต้องทำการไต่สวนพยานบุคคล แต่เพื่อประโยชน์แห่งการพิจารณา ให้พยานบุคคล รวม 17 ปาก ตามที่พรรคอนาคตใหม่ผู้ร้อง ยื่นบัญชีระบุพยานมานั้น จัดทำบันทึกถ้อยคำยืนยันข้อเท็จจริง หรือความเห็นเป็นหนังสือต่อศาลรัฐธรรมนูญ ภายในวันที่ 12 กุมภาพันธ์ และให้เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง ในฐานะผู้เกี่ยวข้องจัดทำความเห็นเป็นหนังสือและส่งเอกสารต่อศาลรัฐธรรมนูญ ภายในวันที่ 12 กุมภาพันธ์ เช่นเดียวกัน
เมื่อเป็นแบบนี้ก็ต้องถือว่า ทุกอย่างกำลังเดินไปถึงเป้าหมายที่ต้องได้ข้อยุติเสียที ส่วนผลจะออกมาเป็นบวก เป็นลบ กับพรรคอนาคตใหม่หรือไม่ก็ต้องติดตาม ซึ่งขึ้นอยู่กับดุลพินิจของศาลรัฐธรรมนูญ ในวันที่ 21 กุมภาพันธ์นี้
**แน่นอนว่าสำหรับพรรคอนาคตใหม่ก็ต้องถือว่า ลุ้นระทึก และนับถอยหลังไปสู่วันพิพากษาเท่านั้นว่าผลจะออกมาอย่างไร บวกหรือลบ ขณะเดียวกันสิ่งที่พวกเขากำลังเริ่มเคลื่อนไหวหนักขึ้นเรื่อยๆ ก่อนถึงวันสำคัญที่ว่านั้นก็คือใช้วิธีการแบบที่เคยเห็นมา นั่นคือใช้ความพยายามเพิ่มความกดดันจากภายนอกไปยังศาลรัฐธรรมนูญ ในลักษณะการ “ดิสเครดิต”ทำให้เห็นว่าการที่ศาลฯ นัดวินิจฉัยวันที่ 21 กุมภาพันธ์ ที่พวกเขาระบุทำนองว่าออกมาก่อนวันที่จะมีการอภิปรายในญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล หรือการ“ซักฟอก”รัฐบาล ที่กำหนดเอาไว้ในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ ความหมายก็คือ เหมือนกับการขัดขวางไม่ให้ทำหน้าที่ซักฟอกรัฐบาล
หากย้อนกลับไปเพื่อทบทวนคดีเงินกู้ดังกล่าว เกิดขึ้นหลังจากที่ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ไปพูดที่สโมสรผู้สื่อข่าวต่างประเทศหลังการเลือกตั้งไม่กี่วัน ระบุว่าเขาได้ให้พรรคกู้เงินนับร้อยล้านบาท ซึ่งความหมายในตอนนั้นก็คือ มีเจตนาเพื่อโจมตีรัฐบาลคสช. ในตอนนั้นรวมทั้งกฎหมายเลือกตั้งที่ปิดกั้นพวกเขาไม่ให้ระดมทุนได้ทัน ไม่เป็นธรรมกับพรรคการเมืองที่ตั้งใหม่ อย่างพรรคอนาคตใหม่ อะไรทำนองนี้ แต่กลายเป็นว่ามัน “รัดคอตัวเอง”แบบดิ้นไม่หลุด เพราะเป็นข้อมูลที่ออกมาจากปากของเขาเอง เพียงแต่ว่าในตอนนั้น เพื่อต้องการโจมตีรัฐบาล และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)
แต่กลายเป็นว่านี่คือ “ข้อเท็จจริง”ไม่จำเป็นต้องพิสูจน์ และเมื่อมีคนร้องไปที่ คณะกรรมการเลือกตั้ง (กกต.) ว่าเป็นการทำผิดกฎหมายของพรรคการเมือง ที่ไม่ให้กู้เงิน และในที่สุดคณะกรรมการการเลือกตั้งได้พิจารณา และสรุปมีมติยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ให้ยุบพรรคอนาคตใหม่ดังกล่าว
ขณะเดียวกันสิ่งที่ต้องลุ้นกันอย่างหนักหน่วงในช่วงเวลานี้ก็คือบรรดาคณะกรรมการบริหารพรรค จะมีการลาออกก่อนถึงวันวินิจฉัยคดีเพื่อป้องกันความเสี่ยงหรือไม่ เพราะหากผลออกมาเป็นลบ โดยที่คนพวกนี้ยังคาอยู่ในตำแหน่ง และผลวินิจฉัยออกมาเป็นลบ ก็ย่อมส่งผลต่ออนาคตทางการเมืองอย่างร้ายแรง เพราะโทษยุบพรรค ยังรวมไปถึงการตัดสิทธิ์ทางการเมืองไม่ต่ำกว่า 5 ปี อีกด้วย
ดังนั้น ก็ต้องจับตาดูว่าบรรดาแกนนำของพรรคอนาคตใหม่คนสำคัญ ไม่ว่าจะเป็น ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรค นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรค น.ส.พรรณิการ์ วาณิช โฆษกพรรค เป็นต้น ซึ่งหากเมื่อถึงกำหนดเวลาพวกเขายังไม่ลาออก นั่นก็แสดงให้เห็นว่าพวกเขามีความมั่นใจในพยานหลักฐานและข้อกฎหมายที่ยกมาโต้แย้ง ว่าสู้ได้
**แต่อีกด้านหนึ่งหากพิจารณาความเห็นของบรรดากูรูทางกฎหมาย และทางการเมืองส่วนใหญ่แล้ว เสียงออกมาแทบจะตรงกันว่า สำหรับคดีเงินกู้พรรคอนาคตใหม่นี้ น่าจะ“รอดยาก”นับถอยหลังได้เลย !!
แม้ว่าคดีแรก คือคดีล้มล้างการปกครอง ศาลรัฐธรรมนูญได้ยกคำร้องไปแล้ว เนื่องจากยังไม่มีหลักฐานเพียงพอให้ยุบพรรคได้ ซึ่งก็มีคนเห็นว่ายังไม่ถึงขั้นยุบพรรคอนาคตใหม่ แต่สำหรับคดีเงินกู้ ที่ล่าสุดทางศาลรัฐธรรมนูญได้นัดวินิจฉัยใน วันที่ 21 กุมภาพันธ์นี้ ทำให้พรรคการเมืองที่เกิดใหม่พรรคนี้ต้องกลับมาลุ้นระทึกแบบนับถอยหลังกันอีกรอบ
แม้ว่าที่ผ่านมาจะพยายามยืดเวลาออกไปให้นานที่สุดตามแท็กติกทางกฎหมาย ซึ่งก็ถือว่าทำได้ ไม่ได้ผิดกติกาแต่อย่างใด โดยเฉพาะแนวทางที่พรรคอนาคตใหม่พยายามตั้งแต่การยื่นคำร้องเพื่อขอขยายเวลาการยื่นเอกสารชี้แจง รวมไปถึงการขอยื่นคำร้องเพื่อไต่สวนพยานบุคคลเพิ่มเติม แต่ล่าสุด ศาลรัฐธรรมนูญก็ได้มีคำแถลงออกมา เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา โดยนัดวินิจฉัยคดีดังกล่าวในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ นี้
ในคำแถลงดังกล่าวยังระบุว่า คำร้องยุบพรรคอนาคตใหม่ของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาคดีพอวินิจฉัยได้ ไม่จำเป็นต้องทำการไต่สวนพยานบุคคล แต่เพื่อประโยชน์แห่งการพิจารณา ให้พยานบุคคล รวม 17 ปาก ตามที่พรรคอนาคตใหม่ผู้ร้อง ยื่นบัญชีระบุพยานมานั้น จัดทำบันทึกถ้อยคำยืนยันข้อเท็จจริง หรือความเห็นเป็นหนังสือต่อศาลรัฐธรรมนูญ ภายในวันที่ 12 กุมภาพันธ์ และให้เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง ในฐานะผู้เกี่ยวข้องจัดทำความเห็นเป็นหนังสือและส่งเอกสารต่อศาลรัฐธรรมนูญ ภายในวันที่ 12 กุมภาพันธ์ เช่นเดียวกัน
เมื่อเป็นแบบนี้ก็ต้องถือว่า ทุกอย่างกำลังเดินไปถึงเป้าหมายที่ต้องได้ข้อยุติเสียที ส่วนผลจะออกมาเป็นบวก เป็นลบ กับพรรคอนาคตใหม่หรือไม่ก็ต้องติดตาม ซึ่งขึ้นอยู่กับดุลพินิจของศาลรัฐธรรมนูญ ในวันที่ 21 กุมภาพันธ์นี้
**แน่นอนว่าสำหรับพรรคอนาคตใหม่ก็ต้องถือว่า ลุ้นระทึก และนับถอยหลังไปสู่วันพิพากษาเท่านั้นว่าผลจะออกมาอย่างไร บวกหรือลบ ขณะเดียวกันสิ่งที่พวกเขากำลังเริ่มเคลื่อนไหวหนักขึ้นเรื่อยๆ ก่อนถึงวันสำคัญที่ว่านั้นก็คือใช้วิธีการแบบที่เคยเห็นมา นั่นคือใช้ความพยายามเพิ่มความกดดันจากภายนอกไปยังศาลรัฐธรรมนูญ ในลักษณะการ “ดิสเครดิต”ทำให้เห็นว่าการที่ศาลฯ นัดวินิจฉัยวันที่ 21 กุมภาพันธ์ ที่พวกเขาระบุทำนองว่าออกมาก่อนวันที่จะมีการอภิปรายในญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล หรือการ“ซักฟอก”รัฐบาล ที่กำหนดเอาไว้ในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ ความหมายก็คือ เหมือนกับการขัดขวางไม่ให้ทำหน้าที่ซักฟอกรัฐบาล
หากย้อนกลับไปเพื่อทบทวนคดีเงินกู้ดังกล่าว เกิดขึ้นหลังจากที่ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ไปพูดที่สโมสรผู้สื่อข่าวต่างประเทศหลังการเลือกตั้งไม่กี่วัน ระบุว่าเขาได้ให้พรรคกู้เงินนับร้อยล้านบาท ซึ่งความหมายในตอนนั้นก็คือ มีเจตนาเพื่อโจมตีรัฐบาลคสช. ในตอนนั้นรวมทั้งกฎหมายเลือกตั้งที่ปิดกั้นพวกเขาไม่ให้ระดมทุนได้ทัน ไม่เป็นธรรมกับพรรคการเมืองที่ตั้งใหม่ อย่างพรรคอนาคตใหม่ อะไรทำนองนี้ แต่กลายเป็นว่ามัน “รัดคอตัวเอง”แบบดิ้นไม่หลุด เพราะเป็นข้อมูลที่ออกมาจากปากของเขาเอง เพียงแต่ว่าในตอนนั้น เพื่อต้องการโจมตีรัฐบาล และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)
แต่กลายเป็นว่านี่คือ “ข้อเท็จจริง”ไม่จำเป็นต้องพิสูจน์ และเมื่อมีคนร้องไปที่ คณะกรรมการเลือกตั้ง (กกต.) ว่าเป็นการทำผิดกฎหมายของพรรคการเมือง ที่ไม่ให้กู้เงิน และในที่สุดคณะกรรมการการเลือกตั้งได้พิจารณา และสรุปมีมติยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ให้ยุบพรรคอนาคตใหม่ดังกล่าว
ขณะเดียวกันสิ่งที่ต้องลุ้นกันอย่างหนักหน่วงในช่วงเวลานี้ก็คือบรรดาคณะกรรมการบริหารพรรค จะมีการลาออกก่อนถึงวันวินิจฉัยคดีเพื่อป้องกันความเสี่ยงหรือไม่ เพราะหากผลออกมาเป็นลบ โดยที่คนพวกนี้ยังคาอยู่ในตำแหน่ง และผลวินิจฉัยออกมาเป็นลบ ก็ย่อมส่งผลต่ออนาคตทางการเมืองอย่างร้ายแรง เพราะโทษยุบพรรค ยังรวมไปถึงการตัดสิทธิ์ทางการเมืองไม่ต่ำกว่า 5 ปี อีกด้วย
ดังนั้น ก็ต้องจับตาดูว่าบรรดาแกนนำของพรรคอนาคตใหม่คนสำคัญ ไม่ว่าจะเป็น ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรค นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรค น.ส.พรรณิการ์ วาณิช โฆษกพรรค เป็นต้น ซึ่งหากเมื่อถึงกำหนดเวลาพวกเขายังไม่ลาออก นั่นก็แสดงให้เห็นว่าพวกเขามีความมั่นใจในพยานหลักฐานและข้อกฎหมายที่ยกมาโต้แย้ง ว่าสู้ได้
**แต่อีกด้านหนึ่งหากพิจารณาความเห็นของบรรดากูรูทางกฎหมาย และทางการเมืองส่วนใหญ่แล้ว เสียงออกมาแทบจะตรงกันว่า สำหรับคดีเงินกู้พรรคอนาคตใหม่นี้ น่าจะ“รอดยาก”นับถอยหลังได้เลย !!