**หากพิจารณาจากอาการของบรรดาแกนนำพรรคอนาคตใหม่ในเวลานี้ มันช่างไม่แตกต่างจากอาการของคนที่รู้ว่าตัวเองใกล้ตาย แต่ยังไม่อยากตาย จะด้วยสาเหตุใดก็แล้วแต่ อาจเป็นเพราะเป้าหมายที่คาดวังเอาไว้ยังไม่บรรลุ ทำให้เวลานี้จึงได้เห็นอาการ “ดิ้นรน”เพื่อหวังให้รอดให้ได้ หรือในทางตรงกันข้าม หากในที่สุดแล้วไม่รอดจริงๆ ก็ต้องหาทาง“ลากคนอื่นๆ ลงหลุมไปด้วย”อะไรประมาณนั้น
เวลานี้เราจึงได้เห็นแกนนำพรรคอนาคตใหม่ ระดับตัวท็อป ไม่ว่าจะเป็นนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรค นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรค กำลังเคลื่อนไหวอย่างหนัก โดยเฉพาะรายหลังที่มีพื้นเพเป็นนักกฎหมาย ออกเดินสายไปทุกที่ที่สามารถทำได้ ไม่ว่าจะเป็นสื่อโทรทัศน์ช่องต่างๆ ไม่เว้นแม้แต่ช่องที่มีปัญหาเคยฟ้องร้องกันมาก่อนหน้านี้ หรือบางช่องที่มีผู้ดำเนินรายการบางคนฟันธงว่า“ยุบแน่”ล่าสุดเขาก็เดินทางไปออกรายการ ชี้แจงข้อกฎหมายในการสู้คดี
ขณะเดียวกัน ในช่องทางโลกโซเชียลฯ ก็เร่งโหมประโคมกันในทุกรูปแบบ ทั้งในรูปแบบชี้แจงในด้านแง่มุมกฎหมายตามความเชื่อของตัวเอง รวมไปถึงการแสดงความเห็นในลักษณะข่มขู่ให้เห็น ในทำนองว่าหากมีการยุบพรรคอนาคตใหม่เกิดขึ้นมาจริง จะมีผลลบตามมาอย่างไรบ้าง แม้ไม่อาจจะระบุได้ว่า เป้าหมายในเชิงลักษณะข่มขู่ดังกล่าวจะส่งตรงถึงใคร จะส่งสัญญาณไปถึงศาลรัฐธรรมนูญ หรือไม่ หรือแม้แต่สาวกบรรดาผู้สนับสนุนให้ออกมาเคลื่อนไหวกดดันในช่วงเข้าด้ายเข้าเข็มแบบนี้หรือไม่
**หากพิจารณาตามความเข้าใจถึงสาเหตุอาการที่มองว่ากำลัง “ดิ้นพล่าน”ดังกล่าว ก็เนื่องมาจากพวกเขากำลังมีคดีสำคัญที่กำลังจะชี้ชะตาอนาคตในอีกไม่กี่วันข้างหน้าก็คือ คดีแรก ที่เป็นเฉพะหน้าก่อนก็คือ ที่ถูกร้องว่า“ล้มล้างการปกครอง”ศาลรัฐธรรมนูญกำลังจะมีการวินิจฉัย ในวันที่ 21 มกราคมนี้ และอีกคดีก็คือ คดีปล่อยเงินกู้จำนวน 191.2 ล้านบาทให้กับพรรคอนาคตใหม่ ซึ่งที่ผ่านมาศาลรัฐธรรมนูญได้กำหนดให้ส่งคำชี้แจงตามกำหนดมาแล้ว แม้ว่าคดีหลังจะยังมีเวลาอีกพักหนึ่ง แต่ก็ถือว่าเดินหน้าให้ได้ลุ้นได้เสียกันแล้ว เหมือนกัน
อย่างไรก็ดี นาทีนี้ต้องโฟกัสไปที่คดีแรกคือ คดีถูกร้องว่ามีพฤติกรรม “ล้มล้างการปกครอง”ที่กำลังจะโดนศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉันในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า นั่นคือ ในวันที่ 21 มกราคม ถือว่าเป็นการชี้ชะตาอนาคตของพวกเขา ซึ่งนอกเหนือจาก นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ในฐานะหัวหน้าพรรค นายปิยบุตร แสงกนกกุล ในฐานะเลขาธิการพรรค แล้วยังรวมไปถึงพรรคอนาคตใหม่ คณะกรรมการบริหารพรรคอนาคตใหม่ในปัจจุบัน ที่ยังเหลืออยู่นั่นคือ ที่ยังไม่ได้ลาออก คนพวกนี้ต้องลุ้นกันหนัก
เนื่องจากหากผลออกมาเป็นลบ หรือในความหมายว่า “ถูกยุบพรรค”แล้วคนพวกนี้นอกจากจะถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองเป็นเวลาน่าจะไม่น้อยกว่า 5 ปี แล้ว พวกเขาก็อาจมีสิทธิ์เจอ “ดอกสอง”ตามมาอีก นั่นคือการถูกฟ้องในคดีอาญาที่ต้อง “เสี่ยงคุก”ตามมาอีก
แต่ถึงอย่างไร หากพิจารณาอีกมุมหนึ่งก็ยังมีอีกหลายคนที่มีความเห็นไปในทางบวกไม่น้อยเหมือนกัน โดยยังเห็นว่า สำหรับคดีถูกร้องเรื่อง“การล้มล้างการปกครอง”ดังกล่าวนี้ ไม่น่าจะเลวร้ายถึงขั้นถูกยุบพรรค เพราะเชื่อว่ายังต้องพิสูจน์ หรือน่าจะยังมีช่องทางแก้ต่างได้เหมือนกัน แต่หลายคนที่ค่อนข้างเห็นตรงกันมากก็คือ คดี “เงินกู้”ของ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ที่ปล่อยกู้ให้กับพรรคอนาคตใหม่ ที่ถูกคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้ยุบพรรค ซึ่งเวลานี้กำลังอยู่ในขั้นตอนที่ศาลรัฐธรรมนูญ กำหนดให้พรรคอนาคตใหม่ ส่งคำชี้แจง หรืออาจมีการยื่นคำร้องขอขยายเวลาส่งเอกสารคำชี้แจงออกไปอีกก็ได้ แต่ก็ถือว่ามีความคืบหน้าไปมาก ใกล้จะนับถอยหลังเข้ามาทุกทีแล้ว
คดีเงินกู้ที่ว่านี้ หลายฝ่ายมองเห็นค่อนข้างตรงกันแล้วว่า “น่าจะสาหัส”เพราะในข้อเท็จจริงนั้น ไม่ต้องมาพิสูจน์ทราบกันแล้ว เนื่องจากมีการยอมรับกันไปแล้ว เพียงแต่ว่าต้องพิสูจน์กันในแง่ของข้อกฎหมายเท่านั้นว่า มีความผิดหรือไม่ ซึ่งหากมีความผิด ก็จะถูกยุบพรรค กรรมการบริหารพรรคถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองเช่นเดียวกัน
ดังนั้น หากให้โฟกัสก็ต้องลุ้นกันเฉพาะสองคดีนี้เท่านั้นที่ถือว่า ต้องลุ้นกันหนัก นั่นคือหาก“รอด”จากคดีแรกที่กำลังจะมีการตัดสินกันในวันที่ 21 มกราคมนี้ ก็ต้องมาลุ้นกันต่อในคดีถัดมา นั่นคือคดี “เงินกู้”ตามมาอีก ซึ่งว่ากันว่าน่าจะชัดเจนหนักหน่วงกว่าคดีแรกเสียอีก สาเหตุแบบนี้แหละที่เป็นคำตอบว่า ทำไมเวลานี้เราจึงได้เห็นอาการ ที่เรียกว่า“ดิ้นพล่าน”ของแกนนำพรรค ทั้ง นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และ นายปิยบุตร แสงกนกกุล
เพราะหากเปรียบให้เห็นภาพ ก็เหมือนกับอาการของคนที่ต้องลุ้นว่าตัวเองจะตายหรือไม่ แต่ก็ไม่อยากตาย ก็ต้องออกอาการดิ้นรนเท่าที่ทำได้ ทั้งการข่มขู่ หรือแม้แต่กระทั่งหากต้องตายจริงๆ ก็ต้องลากคนอื่นลงหลุมไปด้วยหรือเปล่า เหมือนกับการที่บอกว่า หากยุบพรรคอนาคตใหม่จะเกิดผลลบตามมามากมาย ทั้งการไม่พอใจของสังคม ความอยุติธรรม หรือการกล่าวโทษโบ้ยไปที่อำนาจเผด็จการไปโน่นเสียอีก
**ขณะเดียวกันหากพิจารณากันในความเป็นจริงจากอารมณ์และความรู้สึก มันก็พอเข้าใจได้ว่าใครก็ตามที่อยู่ในสภาวะแบบนี้ มันก็ต้องเครียดเป็นธรรมดา แต่ทุกอย่างเมื่อมีจุดเริ่มต้น มันก็ต้องมีจุดจบจนได้ แล้วแต่ว่าจะจบแบบไหนต่างหาก !!
เวลานี้เราจึงได้เห็นแกนนำพรรคอนาคตใหม่ ระดับตัวท็อป ไม่ว่าจะเป็นนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรค นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรค กำลังเคลื่อนไหวอย่างหนัก โดยเฉพาะรายหลังที่มีพื้นเพเป็นนักกฎหมาย ออกเดินสายไปทุกที่ที่สามารถทำได้ ไม่ว่าจะเป็นสื่อโทรทัศน์ช่องต่างๆ ไม่เว้นแม้แต่ช่องที่มีปัญหาเคยฟ้องร้องกันมาก่อนหน้านี้ หรือบางช่องที่มีผู้ดำเนินรายการบางคนฟันธงว่า“ยุบแน่”ล่าสุดเขาก็เดินทางไปออกรายการ ชี้แจงข้อกฎหมายในการสู้คดี
ขณะเดียวกัน ในช่องทางโลกโซเชียลฯ ก็เร่งโหมประโคมกันในทุกรูปแบบ ทั้งในรูปแบบชี้แจงในด้านแง่มุมกฎหมายตามความเชื่อของตัวเอง รวมไปถึงการแสดงความเห็นในลักษณะข่มขู่ให้เห็น ในทำนองว่าหากมีการยุบพรรคอนาคตใหม่เกิดขึ้นมาจริง จะมีผลลบตามมาอย่างไรบ้าง แม้ไม่อาจจะระบุได้ว่า เป้าหมายในเชิงลักษณะข่มขู่ดังกล่าวจะส่งตรงถึงใคร จะส่งสัญญาณไปถึงศาลรัฐธรรมนูญ หรือไม่ หรือแม้แต่สาวกบรรดาผู้สนับสนุนให้ออกมาเคลื่อนไหวกดดันในช่วงเข้าด้ายเข้าเข็มแบบนี้หรือไม่
**หากพิจารณาตามความเข้าใจถึงสาเหตุอาการที่มองว่ากำลัง “ดิ้นพล่าน”ดังกล่าว ก็เนื่องมาจากพวกเขากำลังมีคดีสำคัญที่กำลังจะชี้ชะตาอนาคตในอีกไม่กี่วันข้างหน้าก็คือ คดีแรก ที่เป็นเฉพะหน้าก่อนก็คือ ที่ถูกร้องว่า“ล้มล้างการปกครอง”ศาลรัฐธรรมนูญกำลังจะมีการวินิจฉัย ในวันที่ 21 มกราคมนี้ และอีกคดีก็คือ คดีปล่อยเงินกู้จำนวน 191.2 ล้านบาทให้กับพรรคอนาคตใหม่ ซึ่งที่ผ่านมาศาลรัฐธรรมนูญได้กำหนดให้ส่งคำชี้แจงตามกำหนดมาแล้ว แม้ว่าคดีหลังจะยังมีเวลาอีกพักหนึ่ง แต่ก็ถือว่าเดินหน้าให้ได้ลุ้นได้เสียกันแล้ว เหมือนกัน
อย่างไรก็ดี นาทีนี้ต้องโฟกัสไปที่คดีแรกคือ คดีถูกร้องว่ามีพฤติกรรม “ล้มล้างการปกครอง”ที่กำลังจะโดนศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉันในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า นั่นคือ ในวันที่ 21 มกราคม ถือว่าเป็นการชี้ชะตาอนาคตของพวกเขา ซึ่งนอกเหนือจาก นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ในฐานะหัวหน้าพรรค นายปิยบุตร แสงกนกกุล ในฐานะเลขาธิการพรรค แล้วยังรวมไปถึงพรรคอนาคตใหม่ คณะกรรมการบริหารพรรคอนาคตใหม่ในปัจจุบัน ที่ยังเหลืออยู่นั่นคือ ที่ยังไม่ได้ลาออก คนพวกนี้ต้องลุ้นกันหนัก
เนื่องจากหากผลออกมาเป็นลบ หรือในความหมายว่า “ถูกยุบพรรค”แล้วคนพวกนี้นอกจากจะถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองเป็นเวลาน่าจะไม่น้อยกว่า 5 ปี แล้ว พวกเขาก็อาจมีสิทธิ์เจอ “ดอกสอง”ตามมาอีก นั่นคือการถูกฟ้องในคดีอาญาที่ต้อง “เสี่ยงคุก”ตามมาอีก
แต่ถึงอย่างไร หากพิจารณาอีกมุมหนึ่งก็ยังมีอีกหลายคนที่มีความเห็นไปในทางบวกไม่น้อยเหมือนกัน โดยยังเห็นว่า สำหรับคดีถูกร้องเรื่อง“การล้มล้างการปกครอง”ดังกล่าวนี้ ไม่น่าจะเลวร้ายถึงขั้นถูกยุบพรรค เพราะเชื่อว่ายังต้องพิสูจน์ หรือน่าจะยังมีช่องทางแก้ต่างได้เหมือนกัน แต่หลายคนที่ค่อนข้างเห็นตรงกันมากก็คือ คดี “เงินกู้”ของ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ที่ปล่อยกู้ให้กับพรรคอนาคตใหม่ ที่ถูกคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้ยุบพรรค ซึ่งเวลานี้กำลังอยู่ในขั้นตอนที่ศาลรัฐธรรมนูญ กำหนดให้พรรคอนาคตใหม่ ส่งคำชี้แจง หรืออาจมีการยื่นคำร้องขอขยายเวลาส่งเอกสารคำชี้แจงออกไปอีกก็ได้ แต่ก็ถือว่ามีความคืบหน้าไปมาก ใกล้จะนับถอยหลังเข้ามาทุกทีแล้ว
คดีเงินกู้ที่ว่านี้ หลายฝ่ายมองเห็นค่อนข้างตรงกันแล้วว่า “น่าจะสาหัส”เพราะในข้อเท็จจริงนั้น ไม่ต้องมาพิสูจน์ทราบกันแล้ว เนื่องจากมีการยอมรับกันไปแล้ว เพียงแต่ว่าต้องพิสูจน์กันในแง่ของข้อกฎหมายเท่านั้นว่า มีความผิดหรือไม่ ซึ่งหากมีความผิด ก็จะถูกยุบพรรค กรรมการบริหารพรรคถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองเช่นเดียวกัน
ดังนั้น หากให้โฟกัสก็ต้องลุ้นกันเฉพาะสองคดีนี้เท่านั้นที่ถือว่า ต้องลุ้นกันหนัก นั่นคือหาก“รอด”จากคดีแรกที่กำลังจะมีการตัดสินกันในวันที่ 21 มกราคมนี้ ก็ต้องมาลุ้นกันต่อในคดีถัดมา นั่นคือคดี “เงินกู้”ตามมาอีก ซึ่งว่ากันว่าน่าจะชัดเจนหนักหน่วงกว่าคดีแรกเสียอีก สาเหตุแบบนี้แหละที่เป็นคำตอบว่า ทำไมเวลานี้เราจึงได้เห็นอาการ ที่เรียกว่า“ดิ้นพล่าน”ของแกนนำพรรค ทั้ง นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และ นายปิยบุตร แสงกนกกุล
เพราะหากเปรียบให้เห็นภาพ ก็เหมือนกับอาการของคนที่ต้องลุ้นว่าตัวเองจะตายหรือไม่ แต่ก็ไม่อยากตาย ก็ต้องออกอาการดิ้นรนเท่าที่ทำได้ ทั้งการข่มขู่ หรือแม้แต่กระทั่งหากต้องตายจริงๆ ก็ต้องลากคนอื่นลงหลุมไปด้วยหรือเปล่า เหมือนกับการที่บอกว่า หากยุบพรรคอนาคตใหม่จะเกิดผลลบตามมามากมาย ทั้งการไม่พอใจของสังคม ความอยุติธรรม หรือการกล่าวโทษโบ้ยไปที่อำนาจเผด็จการไปโน่นเสียอีก
**ขณะเดียวกันหากพิจารณากันในความเป็นจริงจากอารมณ์และความรู้สึก มันก็พอเข้าใจได้ว่าใครก็ตามที่อยู่ในสภาวะแบบนี้ มันก็ต้องเครียดเป็นธรรมดา แต่ทุกอย่างเมื่อมีจุดเริ่มต้น มันก็ต้องมีจุดจบจนได้ แล้วแต่ว่าจะจบแบบไหนต่างหาก !!