xs
xsm
sm
md
lg

ตรวจแถวด่านแรกก่อนโหวตงบประมาณรัฐบาลแน่นปึ้ก !?

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



เมืองไทย 360 องศา



กำหนดวันเวลาออกมาชัดเจนแล้วว่าการพิจารณาอภิปรายร่างพระราชบัญญัติงบประมาณปี 63 ว่าเป็นวันที่ 8 และ 9 มกราคมหรือหากยังไม่พอก็อาจขยายเพิ่มวันที่ 10 มกราคมอีกวันหนึ่งก็ไม่มีปัญหาอะไร โดยเป็นการยืนยันจากปากของ นายวิรัช รัตนเศรษฐ ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล(วิปรัฐบาล) ว่าฝ่ายรัฐบาลเปิดโอกาสให้ฝ่ายค้านได้อภิปรายได้เต็มที่

สำหรับร่างพระราชบัญญัติงบประมาณถือว่าเป็นอีกหนึ่งกฎหมายสำคัญ และถือว่าเป็นมีผลต่อการชี้ชะตารัฐบาลเหมือนกัน ไม่ได้ต่างจากญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐบาลทั้งคณะ เพราะหากพลาดท่าพ่ายแพ้หรือโหวตไม่ผ่าน ตามธรรมเนียมแล้วนายกรัฐมนตรีก็ต้องยุบสภาหรือไม่ก็ต้องลาออกทันที

ดังนั้นเมื่อรับรู้ถึงความสำคัญแบบนี้ก็ต้องมาตรวจแถวขานคะแนนเสียงกันก่อนว่าแต่ละฝ่ายเป็นอย่างไรบ้าง และแน่นอนว่าเสียงของรัฐบาลที่รับรู้กันว่ามี “เสียงปริ่มน้ำ” แบบนี้ มันก็ต้องมีรายการลุ้นกันแบบใจหายใจคว่ำทุกทีที่ต้องมีการลงมติในเรื่องสำคัญ หรือเป็นเรื่องที่มีผลกระทบต่อการทำงานของรัฐบาลแบบมีนัยสำคัญ เพราะหากพลาดนั่นก็เท่ากับว่าเกิดผลเสียตามมามากมายเหลือประมาณ เช่น ตัวอย่างกรณีที่ฝ่ารัฐบาลพ่ายแพ้เสียโหวตครั้งแรกต่อการตั้งคณะกรรมาธิการศึกษาผลกระทบจากการใช้คำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) และตามมาตรา 44 จนต้องแก้เกมอย่างเร่งด่วนให้มีการนับคะแนนใหม่ และเกิดสภาล่มถึงสองครั้ง แม้ว่าในที่สุดจะสามารถตีตกญัตติของฝ่ายค้านลงได้ แต่ก็ทำเอาเสียรังวัดพอสมควร

เพราะอีกด้านหนึ่งเป็นการสะท้อนภาพความไร้เสถียรภาพของฝ่ายรัฐบาลที่มีความเสี่ยงตลอดเวลาจากการมี “เสียงปริ่มน้ำ” และมีพรรคร่วมรัฐบาลแบบร้อยพ่อพันแม่ที่มีจำนวนถึง 19 พรรคและต้องบริหารจัดการ หรือต้อง “เอาอกเอาใจ” พรรคเล็กพรรคน้อยพวกนี้ โดยเฉพาะในช่วงที่ต้องมีการโหวตเรื่องสำคัญ

ขณะเดียวกันเมื่อพิจารณากันตามความเป็นจริงในแบบเรียงลำดับความสำคัญที่ต้องเจอกับการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 ในวาระที่ 2 และ 3 ที่จะนำเข้าสู่สภาผู้แทนราษฎรในวันที่ 8 มกราคมเป็นต้นไป และเมื่อฟังจากเสียงของ นายวิรัช รัตนเศรษฐ ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานวานพรรคร่วมรัฐบาล(วิปรัฐบาล) ล่าสุดมีความมั่นใจมากขึ้นกว่าเดิมว่า คราวนี้ฝ่ายรัฐบาลจะมีเสียงเพิ่มขึ้นกว่าเดิม โดยเฉพาะจากพรรคพลังประชารัฐซึ่งเป็นพรรคแกนนำรัฐบาลมีเสียงเพิ่มเข้ามาอีก 2 คน นั่นคือมาจาก นายสมศักดิ์ คุณเงิน ที่เพิ่งชนะเลือกตั้งซ่อมที่ จังหวัดขอนแก่นเขตสอง เมื่อปลายปีที่แล้ว ส่วนออีกคนหนึ่งเป็น ส.ส.ที่ย้ายมาจากพรรคอนาคตใหม่อีก 1 คนคือ พ.ต.ท.ฐนภัทร กิตติวงศา ส.ส.จันทบุรี โดย นายวิรัช ระบุว่าแม้ว่าจะต้องหักเสียงของ นายกรุงศรีวิไล สุทินเผือก ส.ส.สมุทรปราการ และ พ.ต.ท.ไวพจน์ อาภรณ์รัตน์ ส.ส.กำแพงเพชร ออกไป แต่ก็มั่นใจว่ามีเสียงฝ่ายรัฐบาลเพิ่มขึ้น ล่าสุดมีรายงานว่า นายจารึก ศรีอ่อน ส.ส.จันทบุรี ที่เคยสังกัดพรรคอนาคตใหม่ได้ย้ายเข้าสังกัดพรรคพลังท้องถิ่นไทยแล้ว

ดังนั้นเมื่อรวมกับเสียงที่เหลืออีกสองเสียงที่มาจากพรรคอนาคตใหม่ที่ย้ายไปสังกัดพรรคภูมิใจไทยและพรรคพลังท้องถิ่นไทย ก็ถือว่ามาเพิ่มเสียงสนับสนุนให้กับฝ่ายรัฐบาลอยู่ดี ขณะที่ ฝ่ายค้านมีเสียงลดลงอย่างต่อเนื่อง ทั้งจากการพ่ายแพ้การเลือกตั้งซ่อมที่จังหวัดนครปฐมของพรรคอนาคตใหม่ มาจนถึงพ่ายแพ้การเลือกตั้งซ่อมที่ เขต 2 จังหวัดขอนแก่นเสียที่นั่งให้กับพรรคพลังประชารัฐ

ยังไม่นับข่าวคราวความเคลื่อนไหวการโหวตในลักษณะ “งูเห่า” ที่ยังอยู่ในพรรคฝ่ายค้านและพร้อมยกมือสวน หันมาสนับสนุนฝ่ายรัฐบาลอีกจำนวนหนึ่ง เช่น จากพรรคประชาชาติ พรรคเศรษฐกิจใหม่ 4 คน ที่ประกาศสนับสนุนรัฐบาลอย่างชัดเจนแล้วก่อนหน้านี้

ดังนั้นหากพิจารณาจำนวนเสียงเท่าที่เห็นในเวลานี้ก็ย่อมมองเห็นชัดเจนว่าฝ่ายรัฐบาลที่นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เริ่มมีเสียงที่ใกล้จะพ้นภาวะปริ่มน้ำขึ้นไปทุกทีแล้ว และเมื่อด่านแรกที่เป็นการอภิปรายร่างพระราชบัญญัติงบประมาณฯปี 63 ก็น่าจะผ่านไปได้ไม่ยาก

ขณะที่ “ดาบสอง” ที่รออยู่และกำลังจะมาถึงในราวปลายเดือนมกราคมก็คือญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลจะตามมา ถึงตอนนั้นก็ต้องจับตากันให้ดีว่าศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยกรณียุบพรรคอนาคตใหม่ออกมาทางบวกหรือลบ หากออกมาทางลบก็ถือว่าเหมือนกับ “ผึ้งแตกรัง” และยังมั่นใจว่าต้องแตกฮือมาทางพรรคร่วมรัฐบาล ซึ่งทุกอย่างก็เป็นไปได้ทุกทาง
 
แต่ที่น่าสนใจก็คือเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับช่วงเวลาการยื่นญัตติซักฟอกของฝ่ายค้านพอดี

ดังนั้นหากพิจารณากันแบบตรวจแถวเช็กเสียงปรียบเทียบกันแบบเรียลไทม์ในเวลานี้ก็ต้องถือว่าฝ่ายรัฐบาลเสียงยังแน่นปึ้ก ในแบบที่เรียกว่ามีแนวโน้มไหลเข้ามาเพิ่มเรื่อยๆ ขณะที่ฝ่ายค้านแม้ภาพภายนอกจะดูเหมือนจะพยายามสร้างกระแสให้เกิดความปั่นป่วนจากนอกสภา แต่หากมองเข้าไปข้างในเวลานี้ “เลือดไหลไม่หยุด” มิหนำซ้ำยังมีแต่ข่าวความแตกร้าวภายใน โดยเฉพาะ “แรงกระเพื่อม”ภายในพรรคเพื่อไทยที่มีข่าวลือ ข่าวปล่อยว่า คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์พรรคมีอาการ “งอน”ที่ “นายใหญ่” เลือกใช้บริการ เฉลิม อยู่บำรุง มีบทบาทนำในการติวเข้มลูกพรรคสำหรับศึกซักฟอกรัฐบาลครั้งนี้ ถึงกับมีข่าวว่าเก็บข้าวของออกไปจากพรรคเพื่อไทยแล้ว

แม้จะยังไม่คอนเฟิร์ม แต่มันก็มีความเป็นไปได้ หากพิจารณาจากแบ็กกราวด์ที่ “ขาใหญ่” ทั้งสองไม่กินเส้นเป็นไม้เบื่อไม้เมากันมานาน !!


กำลังโหลดความคิดเห็น