เมืองไทย 360 องศา
แน่นอนว่า การเมืองในรอบปีใหม่ปีหนูในปี 2563 แทบทุกคนไม่ว่าจะเป็นคอการเมือง หรือว่าหมอดูหมอเดาต่างประเมินคาดเดาสถานการณ์ออกมาในแบบเดียวกันว่าจะเข้มข้นดุเดือดกว่าปีที่แล้ว โดยเฉพาะแรงกระแทกไปถึง “ลุงตู่” หรือ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นหลัก และดูเหมือนว่า คราวนี้ “กระสุน” จะมาหล่นอยู่ตรงหน้าเขาเต็มๆ ซึ่งผิดจากคราวก่อนที่เคยมี “พี่ใหญ่” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ที่เคยออกหน้าเป็นหนังหน้าไฟรับเอาไว้แทน
แม้ว่าในความเป็นจริง “บิ๊กป้อม” ก็ยังโดนหนัก แต่ก็ไม่ใช่เป็นเป้าหลัก แต่เบนไปที่ “บิ๊กตู่” แทนแล้ว หลังจากที่บทบาทในรัฐบาลหลังการเลือกตั้งได้เปลี่ยนไปแล้ว โดยคราวนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จำเป็นต้องลงมาคุมทัพด้วยตัวเองเกือบทั้งหมด ดังจะสังเกตได้จากการดึงการกำกับดูแลกองทัพ และ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เข้ามาทั้งหมดเรียกว่าควบคุมทั้งทหารและตำรวจพร้อมสรรพเลยทีเดียว
ขณะที่งานของ “พี่ใหญ่” ในรัฐบาลใหม่ ก็จะได้รับมอบหมายในด้าน “ความมั่นคงแบบเดิม” เพียงแต่ว่าจะไม่มีงานคุมกำลังเหมือนเมื่อก่อน ซึ่งมองอีกมุมหนึ่งมันก็ทำให้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ได้เข้ามาบริหารจัดการงานด้านการเมืองได้อย่างเต็มตัวมากขึ้นกว่าเดิม ดังจะเห็นได้จากบทบาทในการเข้ามาเป็นสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ ทำหน้าที่เป็นประธานด้านยุทธศาสตร์ของพรรคกำกับดูแลการจัดการภายในพรรคดังกล่าวได้อย่างเต็มตัว และอย่างน้อยดู “บารมีของพี่ใหญ่” ก็สามารถสยบปัญหาแรงกระเพื่อมภายในลงได้ เนื่องจากมีหลายก๊กหลายกลุ่มเข้ามาอยู่ร่วมกันในช่วงก่อนการเลือกตั้ง
การเข้ามาควบคุมภายในพรรคพลังประชารัฐ ของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หากพิจารณากันตามความเป็นจริงมันก็เหมือนกับการเข้ามาจัดการแทน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นั่นเอง เพียงแต่ว่าได้เปลี่ยนบทบาทจากเน้นในเรื่องการทหาร กำกับดูแลตำรวจโดยตรงมาเน้นในเรื่อง “งานการเมือง” อย่างน้อยก็เพื่อสร้างความเป็นเอกภาพภายในพรรคแกนนำรัฐบาล อย่างพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งจะว่าไปแล้ว มันก็คือพรรคการเมืองที่ตั้งขึ้นมาเพื่อรองรับการเข้าสู่อำนาจในบทบาทที่เปลี่ยนผ่านจากยุคของ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) มาสู่ยุคการเลือกตั้งการเมืองในระบบรัฐสภา รวมไปถึงการรักษาความสมดุลกับบรรดาพรรคร่วมรัฐบาล และบรรดาพรรคเล็กพรรคน้อยที่อยู่ในกำกับดูแลอีกเกือบ 15 พรรค
แน่นอนว่า ในมุมการเมืองช่วงปีใหม่ 2563 ที่คาดหมายตรงกันว่าจะต้อง “เดือด” อย่างแน่นอน เมื่อพิจารณาจากการเชื่อมโยงต่อเนื่องจากปีที่แล้ว อย่างน้อยเมื่อเริ่มศักราชใหม่สิ่งแรกที่ต้องเจอในเดือนมกราคมล้วนเป็นเรื่อง “หนักๆ” ทั้งสิ้น แม้ว่าในคำถามที่ว่า “หนักกับใคร” ก็ตาม แต่ก็ถือว่าหนักก็แล้วกัน
เริ่มจากวาระที่ชัดเจนมาตั้งปลายปี ก็คือ การนัดชุมนุมของ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ หลังจากในช่วงเดือนธันวาคมเขาได้เคยนัดชุมนุมแบบ “แฟลชม็อบ” หลังจากคณะกรรมการการเลือกตั้งส่งคำร้องยุบพรรคอนาคตใหม่ให้ศาลรัฐธรรมนูญ และล่าสุด ศาลฯก็ได้นัดวินิจฉัยในวันที่ 21 มกราคมนี้ ซึ่งในความหมายก็เข้าใจกันว่า การชุมนุมรอบใหม่ในเดือนมกราคมนี้ จะเป็นการชุมนุมเพื่อสร้างความกดดันกับศาลรัฐธรรมนูญ รวมไปถึงกิจกรรม “วิ่งไล่ลุง” ของเครือข่ายเดียวกันด้วย แม้ว่าเป้าหมายไปที่ “ลุง” แต่ความหมายก็เพื่อกระทบชิ่งจนสร้างความปั่นป่วนหรือเปล่า
และที่จะเป็นการเพิ่มอุณหภูมิทางการเมืองขึ้นไปอีกค่อนข้างแน่ ก็คือ การ “จองกฐิน” ซักฟอกรัฐบาลของพรรคร่วมฝ่ายค้าน ว่า จะมีการยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล แม้ว่าจะยังไม่ชัดเจนว่าเป็นใครบ้างแต่แย้มออกมาก่อนแล้วว่าไม่น่าจะต่ำกว่า 4 คน และหนึ่งในนั้นต้องมี “บิ๊กตู่” รวมอยู่ด้วย
นอกเหนือจากนี้ ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกันก็จะมีความเคลื่อนไหวในเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ล่าสุดมีการตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญเพื่อศึกษาแนวทางการแก้ไขฯไว้แล้ว แม้จะเป็นเพียงขั้นต้น แต่ก็น่าเชื่อว่า จะมีการเพิ่มความกดดันในการแก้ไขรัฐธรรมนูญมากขึ้น ขณะเดียวกัน ในช่วงต้นเดือนมกราคม ก็จะมีร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายปี 63 ที่กำลังจะเข้าสู่การพิจารณาในวาระที่ 2-3 ซึ่งถือว่าพลาดไม่ได้เลย รวมทั้งร่างงบประมาณปี 64 ที่จ่อคิวเข้ามาพร้อมๆ กันอีก
ทุกเรื่องดังกล่าวล้วนเพิ่มอุณหภูมิร้อนทางการเมืองได้ทั้งสิ้น และแม้ว่าพิจารณาดูแล้วทุกเรื่องล้วนเป็นเรื่อง “หนัก” มีความเสี่ยงจนอาจสร้างความพลิกผันได้ตลอดเวลา แต่อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาให้ดีจะเห็นว่าทุกเรื่องล้วนเป็นเรื่องที่ถูกดึงเข้าสู่สภา และการพิจารณาของศาลแล้ว เหมือนกับว่าพ้นไปจากอกของรัฐบาลออกไปเหมือนกับสามารถสามารถผ่อนแรงกดดันออกไปได้ระดับหนึ่ง
ดังนั้น เมื่อพิจารณาจากสถานการณ์การเมืองในปีใหม่น่าจะมีความร้อนแรงเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว เพราะบางเรื่องมันก็เหมือนมี “เดิมพันสูง” ที่จำเป็นต้องเล่นเกมเสี่ยง แต่สำหรับฝ่ายรัฐบาลที่นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จัทร์โอชา แม้ว่าดูแล้วจะต้องเจอศึกหนัก แต่ทุกเรื่องสามารถผ่อนหนักให้เป็นเบาลงไปไม่น้อย เช่น เรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญก็ผลักเข้าสู่สภาจะพิจารณากัน หรือกรณียุบพรรคอนาคตใหม่ก็ถือว่าเป็น “เรื่องส่วนตัว” ของบางคน แต่ที่ต้องลุ้นก็มีศึกซักฟอก และพิจารณางบประมาณ
อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาจากเสียงที่เริ่มพ้นจากการปริ่มน้ำมาตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว ทำให้พอสรุปได้ว่าการเมืองปีนี้แม้จะเดือด แต่ก็น่าจะเอาอยู่ !!