หนึ่งความคิด
สุรวิชช์ วีรวรรณ
ดูเหมือนเค้าลางของ “กีฬาสี” ในบ้านเราที่เล่นกันมากว่าทศวรรษกำลังจะเจือจางลง บางคนก็บอกว่า ความขัดแย้งของประชาชนที่มีความเห็นต่างทางการเมืองนั้นค่อยคลายลงแล้ว แม้ว่า มวลชนเสื้อเหลืองกลุ่มหนึ่งจะหันมาเป็นกองเชียร์ลุงตู่ แต่เหมือนว่ากลุ่มนี้จะออกมาจากความคิดแบบเสื้อเหลืองไปแล้ว และดูจะมีความไม่ลงรอยกับคนที่ยังยึดมั่นแนวทางของเสื้อเหลืองด้วยซ้ำไป
ส่วนคนเสื้อเหลืองกับเสื้อแดงนั้น วันนี้ก็ได้แต่คอยลุ้นว่า ฝั่งของตัวเองจะรอดจากคุกจากตะรางในคดีที่เหลืออยู่หลังจากติดคุกกันไปแล้วทั้งสองฝ่ายในคดีที่การพิจารณาคดีจบลงแล้ว
คุกจึงคือเหรียญตราของคนที่ลุกขึ้นมาเรียกร้องทางการเมืองไม่ว่าจะมีอุดมการณ์แบบไหนตรงกันหรือขัดแย้งกันก็ตาม กล่าวกันตามความจริงและมองด้วยสายตาที่เป็นธรรมแล้ว ไม่ว่าคนเสื้อเหลืองและเสื้อแดงต่างก็คิดว่าความคิดและการลุกขึ้นมาต่อสู้ของตัวเองนั้นเป็นเรื่องที่ถูกต้อง ทำเพื่อชาติบ้านเมือง แม้ว่าสิ่งเดียวกันฝั่งหนึ่งบอกว่าผิดฝั่งหนึ่งบอกว่าถูก จนคนนอกยากจะตัดสินว่าใครผิดหรือถูกกันแน่
ผมเองวันนี้ก็มีชะตาชีวิตที่ยังไม่แน่นอนว่าเท้าจะก้าวเข้าไปในตะรางเมื่อไหร่ ทั้งที่ผมคิดว่าตัวเองนั้นลุกขึ้นมาต่อสู้กับความไม่ถูกต้องและเพื่อชาติบ้านเมืองเป็นสำคัญ
แต่ถูกเจ้าหน้าที่รัฐดำเนินคดีตามกฎหมายซึ่งตีความตามตัวอักษรโดยไม่ได้แยกแยะว่าเจตนาที่แท้จริงนั้นคนทั้งสองฝ่ายลุกขึ้นมาทำเพื่ออะไร ทั้งที่ผู้บังคับใช้กฎหมายเองก็น่าจะแยกแยะได้ว่า สิ่งไหนดีสิ่งไหนไม่ดี และสิ่งไหนที่สามัญสำนึกของมนุษย์จะต้องลุกมาต่อต้านเพื่อปกป้องบ้านเมืองตามสิทธิที่กฎหมายได้บัญญัติไว้
คนเสื้อเหลืองนั้นยึดมั่นในอุดมการณ์แบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข แม้คนเสื้อแดงจะมีคนที่คิดนอกเหนือออกไป แต่เราพูดไม่ได้หรอกว่า คนเสื้อแดงทั้งหมดไม่มีอุดมการณ์เดียวกันนี้แบบคนเสื้อเหลือง เหมือนวันนี้เราจะเหมาไม่ได้ว่า คนรุ่นใหม่ทั้งหมดที่เลือกพรรคอนาคตใหม่เป็นพวกชังชาติ กระทั่งพูดไม่ได้ว่า ส.ส.อนาคตใหม่ทั้งหมด สมาชิกพรรคทั้งหมดเป็นพวกชังชาติ แต่ต้องแยกแยะพวกเขาออกจากหัวหน้าพรรคและแกนนำพรรคบางคน
และโดยส่วนตัวสำหรับผมแล้วความคิดและอุดมการณ์ทางการเมืองไม่ว่าแบบไหนไม่ใช่เรื่องที่ผิด แม้ว่ามันอาจจะผิดกฎหมายไทยและถูกจับกุมดำเนินคดีได้ แต่ที่ผมเชื่อก็คือคนส่วนใหญ่นั้นรักชาติบ้านเมืองมากกว่าการชังชาติอย่างแน่นอน
แต่ถ้าถามว่าทัศนคติแบบชังชาตินั้นมีอยู่จริงไหม ผมคิดว่า มันมีอยู่จริงทั้งที่ออกจากภายในและความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของเกรียนคีย์บอร์ดทั้งตั้งใจและไม่ตั้งใจ รู้เท่าทันและไม่รู้เท่าทัน แต่เป็นเพียงคนกลุ่มเล็กๆ กลุ่มหนึ่งเท่านั้นเอง
พูดขยายความลงไปอีกได้ว่า คนเสื้อเหลืองนั้นต้องการการเมืองที่มีธรรมาภิบาลซื่อสัตย์สุจริต คนเสื้อแดงนั้นต้องการความเท่าเทียมและการได้รับโอกาสจากผู้มีอำนาจ คนเสื้อเหลืองต้องการผู้นำที่สุจริต คนเสื้อแดงต้องการคนที่ทำงานเป็น จะเห็นว่าสิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นคุณสมบัติที่ดีของผู้นำ เพียงแต่เราอาจหาคุณสมบัติแบบนี้ไม่ได้ทั้งหมดจากคนคนเดียวกัน เราจึงต้องตัดสินใจว่าจะเลือกผู้นำแบบไหน ซึ่งทำให้มีความเห็นที่ต่างๆจนกลายเป็นความขัดแย้ง
ในสถานการณ์ของความขัดแย้งนั้นเราถูกรัฐประหารสองครั้ง โดยส่วนตัวผมไม่โทษทหารนะครับ เพราะผมมองว่า ไม่มีทางออก ไม่มีคนกลางที่จะออกมายุติความขัดแย้งก่อนที่คนไทยจะประหัตประหารกันเอง และบ้านเราไม่มีเครื่องมือในการยับยั้งวิกฤตที่ดีกว่านี้ และตัวบุคคลที่พอจะมีอำนาจหยุดยั้งและทำให้คนทั้งสองฝ่ายฟังได้นั้นไม่มีใครเหลืออยู่ เพราะถูกป้ายสีข้างทางการเมืองเอาไว้หมดแล้ว
ถ้าจะบอกว่า เราจำยอมให้ทหารมาชุบมือเปิบ แม้ว่าจะเป็นฝ่ายเสื้อเหลืองฝ่ายเดียวที่คิดแบบนั้น แต่ฝ่ายเสื้อแดงไม่ได้คิด เพราะอำนาจที่ทหารโค่นล้มคือผู้นำในอุดมคติของเขา
เมื่อเวลาผ่านไปหลายคนอาจจะมองเห็นชัดขึ้นว่า เราอาจจะเตะหมูเข้าปากหมา ในที่นี้ไม่ได้ว่าใครเป็นหมา แต่คำสุภาษิตที่ยกเอามาเปรียบเปรยสถานการณ์เท่านั้นเอง และอาจจะไม่ใช่ทุกคนที่คิดแบบนี้ทั้งหมด เพราะยังมีคนจำนวนมากยังให้การสนับสนุนรัฐบาลทหาร หลายคนไม่อยากให้กลับมาเลือกตั้ง หลายคนมองว่าการเลือกตั้งเป็นความวุ่นวาย ผมคิดว่าคนที่ความคิดแบบนี้เขาก็มีสิทธิ์คิด จะบอกว่า เขาผิดก็คงไม่ได้ แต่ถ้าบอกว่าความคิดของเขาไม่ตรงกับผมและอีกหลายคนนั้นก็ใช่เลย
ส่วนตัวผมพูดหลายครั้งแล้วว่า ผมไม่เห็นด้วยตั้งแต่การร่างรัฐธรรมนูญที่เขียนมาเพื่อสืบทอดอำนาจ ผมเคยมองว่า รัฐบาลขิงแก่นั้นผ่อนมือเกินไป เสียของไม่ได้เข้ามาจัดการบ้านเมืองให้เข้ารูปเข้าร่างสุดท้ายบ้านเมืองก็เป็นแบบเดิม จนมาถึงรัฐบาลคสช.แม้จะใช้เวลานานก็กลับไม่ได้แก้ไขปัญหาอะไรเลย สิ่งที่เคยเรียกร้องให้ปฏิรูปเพื่อไม่ให้บ้านเมืองกลับไปสู่ความขัดแย้งอีก ก็ไม่มีอะไรปฏิรูปเลย แม้อยู่นานก็เสียเปล่าไม่ต่างกัน
แต่รัฐบาล คสช.นั้นหนักหนากว่ารัฐบาลขิงแก่ เพราะต้องการอยู่ในอำนาจต่อ จึงออกแบบรัฐธรรมนูญขึ้นมาเพื่อเอาเปรียบพรรคการเมืองฝั่งตรงข้าม ถึงขนาดสมาชิกพรรคบอกว่าเป็นรัฐธรรมนูญของเรา เป็นรัฐธรรมนูญที่ออกแบบมาเพื่อพวกเราอย่างไม่อายฟ้าดิน ซึ่งสิ่งนี้กลายเป็นความขัดแย้งและทำให้ความทะเยอทะยานอยากอยู่ในอำนาจต่อจนกลายมาเป็นเงื่อนไขของความขัดแย้งเสียเอง
มิหนำซ้ำยังระคนไปด้วยเสียงตัดพ้อจากผู้มีอำนาจตั้งแต่ “จะให้ทำอย่างไร” หรือ “มาทำเองมั้ย” หรือ “เก่งจริงมาเป็นนายกฯ” เหมือนจะทวงบุญคุณประชาชนอยู่ตลอดเวลา ทั้งที่ตัวเองเป็นฝ่ายเขียนรัฐธรรมนูญเพื่อให้กลับมาสู่อำนาจ จนแทบจะระบุชื่อนายกรัฐมนตรีใน 5 ปีนี้ไว้ในรัฐธรรมนูญเสียเลยจะได้หมดเรื่องหมดราว
ผมยอมรับนะครับว่าพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชาก็มีสิ่งที่ดีมากมายในสิ่งที่ได้ทำลงไป ไม่มีใครไม่ดีไปเสียทั้งหมด และถ้ารัฐธรรมนูญยังไม่ได้รับการแก้ไขให้เกิดความเท่าเทียมอย่างไรเสียเราอาจต้องอยู่กับพล.อ.ประยุทธ์หรือตัวแทนไปไม่น้อยกว่า 8 ปี
แต่ทำอย่างไรให้พล.อ.ประยุทธ์ คิดว่า ถ้าเขาต้องการเป็นนายกฯ เขาต้องทนต่อเสียงวิพากษ์วิจารณ์ยอมรับฟังคำท้วงติงมากกว่าจะส่งเสียงตัดพ้อคำรามต่อว่าและทวงบุญคุณอย่างที่กระทำอยู่พร่ำเพรื่อ แน่นอน พล.อ.ประยุทธ์คงจะไม่เก่งไปเสียทุกด้าน แต่ก็มีอำนาจมากมายไม่ใช่หรือ ควรที่จะรู้จักใช้และรู้ว่างานแบบไหนต้องให้ใครทำ และสำคัญต้องให้ประชาชนวิจารณ์ได้และทนฟังเสียงประชาชน
แล้วถามว่า ถ้าพล.อ.ประยุทธ์ยังไม่เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและท่าทีของเขามีส่วนที่ดีไหม ผมว่ามันก็มีข้อดีนะ เหมือนที่ผมเขียนไว้ข้างต้นว่า วันนี้ความแตกแยกระหว่างเสื้อสีนั้นได้เจือจางลงแล้ว แม้ว่าคนเสื้อเหลืองส่วนหนึ่งจะหันไปเชียร์พล.อ.ประยุทธ์ลุงตู่ อยากให้ลุงตู่อยู่นานนะ แต่คนเหล่านั้นก็แทบจะปลีกตัวออกจากเสื้อเหลืองในนิยามที่เคยต่อสู้ไปแล้ว อาจจะเรียกว่าเป็นคนเสื้อเขียวก็ได้
และถ้าเราติดตามในโซเชียลมีเดียเราก็มองเห็นสมรภูมิของคนที่เชียร์ลุงตู่คนเสื้อเขียวกับทั้งคนเสื้อเหลืองและเสื้อแดงอยู่เนืองๆ ดังนั้นต้องบอกว่าข้อดีของลุงตู่ก็คือการทำให้คนเสื้อแดงกับเสื้อเหลืองนั้นขัดแย้งน้อยลง และนานวันเข้าก็อาจทำให้คนทั้งสองสีเสื้อมีศัตรูร่วมกันก็อาจจะเป็นไปได้
ถ้าเราสังเกตการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้ แม้ว่าอาจจะไม่ส่งผลสั่นสะเทือนอะไรต่อรัฐบาล เพราะวันนี้ “งูเห่า” กลายเป็นสัตว์มงคลที่ชอบธรรมของประชาธิปไตยแบบไทยๆไปแล้ว ทั้งที่มันควรจะเป็นเรื่องชั่วร้ายอัปมงคล แต่เราเห็นได้ว่า การอภิปรายครั้งนี้พุ่งเป้าไปที่ลุงตู่และคนแวดล้อมเท่านั้น โดยไม่แตะต้องนักการเมืองด้วยกันเลย นี่จึงคล้ายๆ กับปรากฏการณ์ที่ผมมองเห็นว่า ความเป็นสีกำลังเจือจางลงและมีเป้าหมายร่วมกันมากขึ้น
ผมคิดว่านักการเมืองในรัฐบาลเองก็มองเห็นความไม่เท่าเทียมกันของรัฐมนตรีที่เป็นปีกการเมืองกับคนแวดล้อมลุงตู่หรือรัฐมนตรีที่มาจากสาย คสช. และตั้งคำถามร่วมกันว่าเราจะอยู่ใต้อำนาจคสช.แบบกินน้ำใต้ศอกไปอีกนานไหม เราจะช่วยกันพายเรือให้รัฐบาลที่สืบทอดอำนาจอยู่ไปอีกนานไหม
แน่นอนนักการเมืองเองก็มีภาพของความชั่วร้าย แสวงหาประโยชน์ สร้างแต่ความขัดแย้งแตกแยกในวันที่มีอำนาจ แต่ผมคิดว่าอย่างไรเสียความชอบธรรมก็เป็นเรื่องที่สำคัญ เพราะความชอบธรรมหมายถึงความถูกต้องและยุติธรรมซึ่งเป็นหลักการสำคัญของระบอบประชาธิปไตย
ห้าปีของคสช.ที่ยาวนานพอที่จะเปลี่ยนแปลงบ้านเมืองด้วยอำนาจเบ็ดเสร็จ ถ้าทำเป็นและมองเห็นรากของปัญหา แต่มันกลับผ่านไปอย่างสูญเปล่า หลายคนบอกว่ามันมีไง รถไฟฟ้าตั้งกี่สายจะสูญเปล่าได้อย่างไร แน่นอนสิเพราะไม่มีฝ่ายค้านไม่มีคนตรวจสอบการก่อสร้างโครงการต่างๆ มันก็เดินหน้าได้ง่าย แต่ถามว่ามีอะไรที่ซ่อนอยู่ใต้ความฉับไวไหม มีใครกล้าการันตีว่ามันไม่มี
แต่เอาเถอะนั่นเป็นข้อดีของอำนาจแบบเบ็ดเสร็จ แต่ถามว่า เมื่อสิ่งที่ควรทำไม่ได้ทำภายใต้อำนาจแบบนี้การสืบทอดอำนาจเพื่อให้ยาวนานไปอีกแปดปีนั้นมันจะมีหลักประกันอะไรบ้างว่าเราจะแก้ไขปัญหาของบ้านเมืองได้สำเร็จกลายเป็นประเทศแถวหน้าอย่างน้อยในภูมิภาคนี้
ดังนั้นแม้ว่าความขัดแย้งของเสื้อสีของทศวรรษที่ผ่านมาจะเจือจางลง แต่ไม่ใช่ว่าปัญหาจะถูกแก้ไขไปแล้วความขัดแย้งจะไม่ก่อตัวขึ้นมาอีก
เพราะเห็นได้เลยว่า การอยู่ภายใต้การปกครองแบบแบ่งแยกและปกครอง โดยอาศัยมวลชนจำนวนหนึ่งห้อมล้อมคอยขัดสีฉวีวรรณโดยเครื่องมือสื่อทั้งโซเชียลมีเดียและสื่ออาชีพที่รับใช้นั้น อาจกลายเป็นเงื่อนไขใหม่ของความขัดแย้งที่ไม่สิ้นสุดได้