ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ไชโยที่ไม่สุดเสียง ตามคิวที่ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเอกฉันท์ ยกคำร้องที่ “ณฐพร โตประยูร”อดีตทนายความเครือข่ายประชาชนคนไทยหัวใจรักชาติ กล่าวหาพรรคอนาคตใหม่ ใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขหรือไม่ หรือ “คดีอิลลูมินาติ”
ศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่า ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงเพียงพอที่จะฟังได้ว่าการกระทำของกรรมการบริหารพรรคอนาคตใหม่ เป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
เป็นไปตามที่คาดการณ์กันว่า “คดีอิลลูมินาติ” ยังไม่ใช่หมัดน็อตพอจะยุบพรรคอนาคตใหม่ เพราะค่อนข้างจับต้องได้ยาก และอาจสร้างความแตกแยกให้กับคนในชาติ
ก่อนวันศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยไม่กี่วัน แกนนำพรรคอนาคตใหม่ยังระแวงว่า จะโดนตั้งแต่ “คดีอิลลูมินาติ” เพราะมีกระแสข่าวลือหนาหู
ตอนนี้ แม้จะโล่งไปได้อีกเปลาะ ต่อลมหายใจไปได้อีกเฮือก แต่หากพินิจคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญให้ดี “คดีอิลลูมินาติ” ที่ยกคำร้อง เพราะหลักฐานและพฤติการณ์ไม่เพียงพอ
ความคลางแคลงต่อพรรคอนาคตใหม่ในทัศนคติเกี่ยวกับการปกครองของประเทศยังดำรงอยู่ ไม่ได้ล้างภาพเหล่านั้นออกไปเลย
โดยเฉพาะคำวินิจฉัยตอนหนึ่งที่ว่า “ในส่วนรายการคำประกาศอุดมการณ์ทางการเมืองข้อ 6 วรรคสอง ที่กำหนดว่า พรรคอนาคตใหม่ยึดมั่นในหลักประชาธิปไตยตามรัฐธรรมนูญ การใช้ข้อความในข้อบังคับของพรรคการเมือง ควรที่จะมีความชัดเจน ไม่มีความคลุมเครือ แตกต่างจากบทบัญญัติรัฐธรรมนูญมาตรา 2 ที่บัญญัติ ว่า
ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข อันอาจก่อให้เกิดความแตกแยกระหว่างชนในชาติ ตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง 2560 มาตรา 14 (3) ได้ ซึ่ง กกต.มีหน้าที่และอำนาจที่จะพิจารณาและมีมติให้เพิกถอนข้อบังคับนั้นได้ตามมาตรา 17 วรรคสาม
เพื่อป้องกันความสับสน ขัดแย้งที่อาจจะเกิดขึ้นสมควรที่ผู้ที่เกี่ยวข้องจะได้ช่วยกันแก้ไข เพื่อให้สอดคล้องกับบทบัญญัติรัฐธรรมนูญต่อไป”แปลไทยเป็นไทยได้ว่า กกต.มีอำนาจที่จะสั่งให้เพิกถอนข้อบังคับที่คลุมเครือ และให้พรรคอนาคตใหม่แก้ไขให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ ซึ่งแสดงให้เห็นว่า มันไม่ชัดเจนจริงๆ
ขณะที่พฤติกรรมการณ์ของผู้ถูกร้องนั้น แม้ศาลรัฐธรรมนูญจะเห็นว่า ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงเพียงพอที่จะฟังได้ว่าการกระทำของผู้ถูกร้องทั้ง 4 เป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
แต่ไม่ได้หมายความว่า ข้อสงสัยในตัวผู้ถูกร้องไม่มี และพ้นมลทิน เพราะตอนท้ายของคำวินิจฉัยเขียนไว้ชัดว่า “กรณีการกระทำอื่นใดของผู้ถูกร้องทั้ง 4 จะเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาหรือกฎหมายอื่นหรือไม่ เป็นเรื่องที่ต้องไปว่ากล่าวกันอีกส่วนหนึ่งต่างหากตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป”
แปลไทยเป็นไทยอีกครั้งว่า ศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจวินิจฉัยในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 นั่นเอง
แกนนำพรรคอนาคตใหม่เอง อ่านคำวินิจฉัยย่อมรู้ว่า มันมีเชื้ออะไรบางอย่างซ่อนอยู่
อย่างไรก็ตาม วิบากกรรมของพรรคอนาคตใหม่ยังไม่หมด ยังเหลืออีกหลายคดีที่ถูกยื่นร้องเรียน แต่ที่หลายฝ่ายจับตาว่า มีน้ำหนักสุดคือ กรณี “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ”หัวหน้าพรรค ปล่อยกู้ให้กับพรรคจำนวน 191 ล้านบาท ซึ่งซือแป๋กฎหมายหลายสำนักฟันธงว่า รอดยาก
เพราะเทียบกันโดยหลักนิติศาสตร์ คดีเงินกู้ 191 ล้านบาท ดูจะได้น้ำได้เนื้อ และมีเหตุมีผลมากกว่าการยุบพรรคด้วย “คดีอิลลูมินาติ” ที่ค่อนข้างแผ่วเบาในหลักฐาน
แม้จะมีการขุดคุ้ยว่า มีพรรคอื่นๆอีกร่วมสิบพรรค กระทำในลักษณะกู้เงินแบบเดียวกัน แต่มีความต่างของรายละเอียด ช่วงเวลา และตัวกฎหมายระหว่างฉบับเก่ากับฉบับใหม่
และแม้จะมีลักษณะเหมือนกันกับพรรคอนาคตใหม่ แต่หากสัญญาณชัดว่า ต้องการเขี่ย “พรรคสีส้ม”พ้นเส้นทางการเมือง ย่อมไม่ใช่อุปสรรคในการกำจัดเสี้ยนหนาม
ส่องไปแต่ละพรรคที่ปรากฏชื่อมีการกู้เงิน ล้วนแล้วแต่เป็นพรรคขนาดเล็กขนาดน้อย ไม่สามารถสั่นคลอนเสถียรภาพรัฐบาลมากเท่าไหร่
กรณีไหนคล้ายกับพรรคอนาคตใหม่ อาจต้องจำใจรับสภาพ เพราะคิดจะรุกฆาต การนำ “เบี้ย” ไปแลก “ขุน” ย่อมคุ้มค่าในกระดานหมากรุกเกมนี้
ขณะที่ไทม์ไลน์ มีโอกาสจะเกิดขึ้นก่อนวันที่ 24 มีนาคม 2562 เพราะตามปฏิทินจะครบ 1 ปี หลังการเลือกตั้งใหญ่ ที่คณะกรรมการการการเลือกตั้ง (กกต.) จะคำนวณ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อใหม่ เป็นไปตามรัฐธรรมนูญที่กำหนดไว้
หากพรรคอนาคตใหม่ถูกยุบ กรรมการบริหารพรรคจะถูกตัดสิทธิ์ จะต้องมีการนำคะแนนของพรรคไปคำนวณใหม่ เพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญที่ไม่ต้องการให้ทุกคะแนนต้องตกน้ำ
เป็นจังหวะที่จะได้จัดกระดานการเมืองใหม่ อำนาจต่อรองในแต่ละพรรคจะเปลี่ยน ตามคิวที่มีการคำนวณคร่าวๆ ว่า พรรคพลังประชารัฐ จะมี ส.ส.เพิ่มมากขึ้นจากการหายไปของพรรคอนาคตใหม่
ขณะเดียวกัน ฝ่ายค้านจะอ่อนแอลง จากการที่ ส.ส.แบบแบ่งเขต พรรคอนาคตใหม่ และส.ส.บัญชีรายชื่อ บางส่วน จะใช้โอกาสตีจากเพื่อหาหลุมใหม่
แม้แกนนำพรรคอนาคตใหม่ จะออกตัวเป็นหมูไม่กลัวน้ำร้อน พร้อมจะไปเดี่ยวไมโครโฟนนอกสภาฯ นัยว่า การยุบพรรคไม่สามารถหยุดการเคลื่อนไหวได้ ประหนึ่งเป็นสัญญาณขู่ก่อม็อบ แต่ประเมินแล้วว่าไม่ทำให้อีกฝั่งยี่หระต่อคำขู่
ย้อนกลับไปตอนศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยคุณสมบัติ “ธนาธร”ถือครองหุ้นสื่อบริษัท วีลัค มีเดีย จำกัด มีความพยายามจะปลุกมวลชนขึ้นมาแบบนี้ มีกระแส “เซฟพ่อฟ้า”อย่างกว้างขวางในโซเชียลมีเดีย แต่ที่สุดแล้ว ก็ต้องพ้นจากส.ส.
อีกทั้งเงื่อนไขการปลุกม็อบนาทีนี้ยังเป็นเรื่องยาก แม้จะมีการจัดกิจกรรมวิ่ง ไล่ ลุง ได้ผลตอบรับดี แต่อย่าลืมว่า การทำ “แฟลชม็อบ” มีลักษณะแตกต่างจาก“ม็อบนอนกินบนถนน”
แฟลชม็อบวันเดียว แยกย้าย ไม่ต้องพักแรม ประชาชนใช้เวลาเข้าร่วมกิจกรรมไม่นาน แต่ม็อบบนถนน ต้องใช้กำลังทรัพย์ กำลังคน การระดมคนมาปักหลักค้างคืนทำได้ยากลำบาก โดยเฉพาะยุคเศรษฐกิจปากกัดตีนถีบแบบนี้ ที่ประชาชนเอาเรื่องปากท้องเป็นสำคัญ
นอกจากนี้ การยุบพรรคอนาคตใหม่ เป็นเรื่องความผิดเฉพาะตัว ไม่ได้มีผลต่อส่วนรวมของประเทศ บรรดาส.ส.บัญชีรายชื่อ และ ส.ส.แบบแบ่งเขต ยังสามารถหาพรรคได้ ขาดแต่เพียงตัวกรรมการบริหารพรรคเท่านั้นที่ถูกตัดสิทธิ์ ไม่ถือว่าถอนรากถอนโคนจนไม่เหลือหลอ
ย้อนดูการล้อมคอกของฝ่ายความมั่นคงยุคนี้ หลายเรื่องมีการโหมโรงจนดูล่อแหลม แต่จนแล้วจนรอด ที่หลายเหตุการณ์ที่ว่าจะเดือด เกิดความวุ่นวาย กลับเป็นเรื่องที่แทบไม่มีอะไรน่ากลัวเมื่อถึงเวลาจริง
ดังนั้น ดูแล้ว “ดาบสอง” น่ากลัวมาก