ป้อมพระสุเมรุ
ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - สะใจกองเชียร์ ขัดใจกองแช่ง
หลัง องค์คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ที่ถูก “ติ่งค่ายสีส้ม” ถล่มมาตลอด ออกนั่งบัลลังก์เพื่ออ่านคำวินิจฉัย “ยกฟ้อง” ในคดีที่ ณฐพร โตประยูร ยื่นคำร้องเพื่อขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 ว่า การกระทำของ “ค่ายสีส้ม” พรรคอนาคตใหม่ ผู้ถูกร้องที่ 1, “เสี่ยเอก” ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรค ผู้ถูกร้องที่ 2, “จารย์ป๊อก” ปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรค ผู้ถูกร้องที่ 3 และคณะกรรมการบริหารพรรคอนาคตใหม่ ผู้ถูกร้องที่ 4 เป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขหรือไม่
โดยศาลวินิจฉัยว่า การกระทำของผู้ถูกร้องทั้ง 4 ไม่ได้เป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข รวมทั้งข้อบังคับพรรคอนาคตใหม่ ไม่มีลักษณะเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข
เนื่องจาก “ยังไม่ปรากฏข้อเท็จจริงเพียงพอ” จึงวินิจฉัย “ยกคำร้อง” ดังกล่าว
แต่ใช่ว่า “พรรคเสี่ยเอก” จะหายใจทั่วท้อง เพราะยังมีคดีพรรคอนาคตใหม่กู้เงิน “ธนาธร” หัวหน้าพรรค จำนวน 191 ล้านบาท ซึ่ง คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีมติว่าเป็นความผิดทางกฎหมาย และส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัย “ยุบพรรค”
ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญได้รับคำร้อง และให้พรรคอนาคตใหม่ส่งคำชี้แจงและเอกสารแก้ข้อกล่าวหาภายใน 15 วัน ซึ่งครบกำหนดครั้งแรกเมื่อวันที่ 10 ม.ค.ที่ผ่านมา ก่อนที่พรรคอนาคตใหม่จะขอขยายเวลามาเป็นวันที่ 27 ม.ค.นี้
ที่ผ่านมา “ผู้สันทัดกรณี” ให้น้ำหนัก “คดีปล่อยกู้พรรค” มากกว่าคดีถือหุ้นสื่อของ “ธนาธร” หรือคดีล้มล้างการปกครอง ว่าจะมีผลถึง “ยุบพรรค” เพราะหากตีความกันตามข้อกฎหมายเป๊ะๆ ก็ได้ว่า การกระทำนอกเหนือจากสิ่งที่กำหนดนั่นคือ “ผิด”
ด้วยการกู้เงินไม่ถูกบัญญัติอยู่ใน “รายได้พรรคการเมือง” ใน พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง “ฉบับปัจจุบัน” อีกทั้งการยอมรับว่าใช้เงินกู้จากหัวหน้าพรรคในการทำศึกเลือกตั้งที่ผ่านมา ก็มีน้ำหนักเพียงพอที่จะจำหน่าย “แทงจำหน่าย” สิ้นสภาพทั้งพรรค ไม่เฉพาะกรรมการบริหารพรรคด้วยซ้ำ
ก่อนที่จะมาเล่นทางเทคนิคทิ่มไปที่ กกต.ในฐานะผู้ยื่นคำร้อง “จารย์ป๊อก” ก็เคยสวมบท “เนติบริกรน้อย” ชี้แจงในทำนอง “ผิด ไม่ เป็น” ว่า หลายพรรคการเมืองมียอดหนี้เงินกู้บัญชีของพรรคเช่นกัน รวมทั้งยังอ้างว่า เงินกู้ยืมดังกล่าวไม่ถือเป็นรายได้ของพรรคการเมืองเสียด้วย
ล่าสุดมีตัวช่วยเพิ่มน้ำหนักอย่าง สมชัย ศรีสุทธิยากร อดีต กกต.และอดีตผู้สมัคร ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ออกมากางเอกสารเปิดเผยว่า จากเอกสารงบการเงินล่าสุด ลงวันที่ 31 ธ.ค.2561 ที่อยู่ภายใต้ “กฎหมายใหม่” มีถึง 18 พรรคการเมือง ที่ปรากฏรายการเงินกู้ในเอกสารงบการเงินดังกล่าว
โดยในจำนวนนี้ส่วนใหญ่เป็นพรรคการเมืองที่ไม่ได้มี ส.ส. แต่น่าสนใจว่าส่วนน้อยที่มี ส.ส.นอกเหนือจาก “อนาคตใหม่” นั้น ดันเป็นพรรครัฐบาลทั้งหมดเสียด้วย ประกอบด้วย 6 พรรค ได้แก่ “ค่ายกำนัน” พรรครวมพลังประชาชาติไทย, “ค่ายสุวัจน์” พรรคชาติพัฒนา, “ค่ายเสี่ยชัช” พรรคพลังท้องถิ่นไทย และ “พรรคเสียงเดียว” อีก 3 พรรค ได้แก่ พรรคประชาธิปไตยใหม่, พรรคครูไทยเพื่อประชาชน และพรรคพลังชาติไทย
วิษณุ เครืองาม รองนายกฯ ก็แย้มๆ แล้วว่า กรณี 18 พรรคการเมืองกู้เงินได้หรือไม่นั้น ต้องดูในรายละเอียด แต่ต้องรอให้ศาลตัดสินคดีของพรรคอนาคตใหม่เสียก่อน
รายละเอียดเนื้อในแตกต่างกันอย่างไรยังไม่ทราบ แต่หาก “ค่ายสีส้ม” มีอันเป็นไปในคดีเงินกู้ยืมจริง 6 พรรครัฐบาลที่ว่า ก็คงต้องเสียสละตายตกตามกันไป เข้าสูตร “เบี้ยแลกขุน”
เพื่อไม่ให้ถูกครหาว่า “สองมาตรฐาน” อะไรกันอีก.