ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -เหตุการณ์คล้าย“กลุ่ม 10 มกราฯ”ที่นำโดย “ไข่มุกดำ”วีระกานต์ หรือ วีระ มุกสิกพงศ์ ที่นำขบวนส.ส.ไขก๊อกออกจากพรรคประชาธิปัตย์ หลังพ่ายแพ้ศึกชิงหัวหน้าพรรค
ครานั้นเมื่อปลายปี 2529 “วีระ”เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ เสนอชื่อ“เฉลิมพันธ์ ศรีวิกรม์”อดีตแม่บ้านพรรค เมื่อปี 2522 ชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรค กับ “พิชัย รัตตกุล”ที่สนับสนุนโดยขั้วอำนาจของ“ชวน หลีกภัย”ผู้มากบารมีแห่งพรรคสีฟ้า
หลังความพ่ายแพ้ของกลุ่มวีระ ที่ผนึกกำลังกับกลุ่มวาดะห์ กลายเป็นส.ส.ที่ไร้ตัวตนในพรรคประชาธิปัตย์ กระทั่งภายหลังพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประกาศยุบสภา “กลุ่ม 10 มกราฯ”ซึ่งมีส.ส. ชื่อดังหลายคน ตัดสินใจลาออกไปตั้งพรรคใหม่
สมการการเมืองในค่ายสีฟ้าวันนั้น เกือบจะเหมือนกับยุคปัจจุบัน ซึ่งเหตุการณ์ปริร้าวต่อเนื่องมาจากศึกชิงหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ที่ผ่านมาระหว่าง “จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์”ที่ได้รับการสนับสนุนโดย “ลุงชวน”กับ “พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค”ที่สนับสนุนโดยอดีต ส.ส.ในกลุ่มของ “สุเทพ เทือกสุบรรณ”
ความพ่ายแพ้ของ “พีระพันธุ์”ทำให้กลุ่มอดีตส.ส.ซีกสุเทพ กลายเป็นบุคคลโลกลืมในพรรค คนเหล่านี้ไม่ได้ถูกแชร์สัดส่วนกรรมการบริหารพรรคเท่าที่สมควรจะได้
ตำแหน่งเสนาบดีที่ได้รับจัดสรรจากการเข้าร่วมรัฐบาลกับพรรคพลังประชารัฐ ก็ตกไปอยู่ในมือของกลุ่มขอ งจุรินทร์ ที่มี “ลุงชวน” ปกครอง
แม้แต่เก้าอี้ประธานคณะกรรมาธิการ ตำแหน่งข้าราชการการเมือง แทบไม่ตกถึงมือกลุ่มผู้พ่ายแพ้ กลายเป็นบุคคลสาบสูญ และไร้บทบาทในพรรค
ผู้แพ้ย่อมรับชะตากรรมที่อาจหาญท้าทายขั้วอำนาจเก่า นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม และพีระพันธุ์ ต่างตัดสินใจเดินออกจากพรรคประชาธิปัตย์ ที่รับใช้มานานเป็นสิบๆ ปีไปสู่ทางเลือกใหม่
เฉกเช่นเดียวกับ“หล่อโย่ง”กรณ์ จาติกวณิช อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ ในรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตบุคคลที่เคยถูกมองว่าจะรับไม้ต่อจากเพื่อนรัก “เดอะมาร์ค”เพื่อกุมบังเหียนพรรคที่มีอายุกว่า 70 ปี ที่วันนี้ตัดสินใจโบกมือลาทั้งที่อกตรม
ย้อนกลับไปในศึกชิงหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ หลังการลาออกของ“อภิสิทธิ์”นั้น “กรณ์”ได้หารือกับเพื่อนรักว่าจะลงชิงชัย เพื่อรักษาขั้วอำนาจของเพื่อนไว้
ว่ากันว่า “อภิสิทธิ์”ตกปากรับคำ จะให้อดีตส.ส.และสมาชิกพรรคกลุ่มของตัวเอง หันมาสนับสนุน“กรณ์” แต่หลังจากกลุ่มสุเทพ ตัดสินใจส่ง “พีระพันธุ์”ลงแข่ง ทำให้ทุกอย่างที่เคยพูดคุยกันไว้ ต้องปรับเปลี่ยนให้เข้ากับสถานการณ์
จำนวนเสียงสนับสนุน“พีระพันธุ์”มีปริมาณที่มาก จึงทำให้ขั้วอำนาจเก่าเริ่มหวั่นใจ กังวลว่าคะแนนที่กระจัดกระจายอยู่กับ “กรณ์” และ “จุรินทร์”จะทำให้เพลี่ยงพล้ำ
มีการส่งสัญญาณว่าให้อดีต ส.ส.และสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ กลุ่มของอภิสิทธิ์ และของลุงชวน ลงคะแนนให้ “จุรินทร์”เพื่อรักษาฐานอำนาจเอาไว้ ขณะที่“กรณ์”กลายเป็นม้านอกสายตาได้คะแนนเสียงไปเพียงประปราย
ภายหลัง“จุรินทร์”เรืองอำนาจในพรรค เลือกแต่นักการเมืองในโควตาขั้วอำนาจเก่า ขึ้นไปเสวยสุขในเก้าอี้รัฐมนตรี ส่วนกลุ่มอื่นๆ อยู่ในสถานะโลกลืม
“กรณ์”ที่หลายคนเชื่อว่า มีฝีมือเศรษฐกิจเบอร์ต้นๆ ของพรรค ยังถูกดรอป โดยการมอบหมายตำแหน่งหัวหน้าเศรษฐกิจคนใหม่ของพรรคให้กับ“ปริญญ์ พานิชภักดิ์”นักการเมืองรุ่นน้อง ที่เพิ่งจะเข้ามาสู่แวดวงการเมืองเต็มตัว
“หล่อโย่ง”กลายเป็นส.ส.บัญชีรายชื่อ ธรรมดาไม่มีแม้แต่เก้าอี้ประธานคณะกรรมาธิการ หลายคนไม่รู้ด้วยซ้ำว่า ยังเป็นผู้แทนอยู่หรือไม่
กระทั่งเมื่อไม่นานมานี้ได้ตัดสินใจลาออกกรรมาธิการการคลัง สภาผู้แทนราษฎร โดยอ้างว่าต้องการให้คนที่มีความสามารถเข้ามาแทน
ทั้งที่จริงแล้ว สำหรับ “กรณ์”เก้าอี้ประธานคณะกรรมาธิการการคลัง สภาผู้แทนราษฎร มันเล็กไปแล้ว นับประสาอะไรกับกรรมาธิการธรรมดาๆที่จะทิ้งไม่ได้
เคยมีข่าวว่า“กรณ์”ต้องการหันไปเอาดีในการเลือกตั้งท้องถิ่น ในตำแหน่งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ซึ่งเหมาะสมกับตัวเองที่เคยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมาแล้ว หากแต่ท่าทีของผู้บริหารพรรคประชาธิปัตย์ ไม่นำพาต่อเรื่องนี้
ชีวิตของ “กรณ์” ในยุคนี้ จึงค่อนข้างเคว้งคว้าง
สำหรับคนที่คิดว่า “กรณ์”ไม่กล้าลาออกจากสมาชิกประชาธิปัตย์ เพราะจะทำให้เก้าอี้ส.ส.บัญชีรายชื่อ หลุดลอยไปด้วยนั้น ถือว่าผิดมหันต์ อย่าลืมว่าคนระดับเคยเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมาแล้ว คิดการใหญ่กว่าแค่ตำแหน่งผู้แทน
ก่อนจะมีความคิด“อยู่เป็นหัวหมาดีกว่าหางราชสีห์”
อย่างไรก็ดี กรณี“กรณ์”แตกต่างจาก “พีระพันธุ์”ที่ได้รับการอุ้มชูทันทีจากกลุ่ม กทม. ที่ย้ายมาอยู่กับพรรคพลังประชารัฐ โดย “บิ๊กตู่”รีบช้อนมาให้เป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ฝ่ายการเมือง และอวยยศเป็นประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาปัญหาและแนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
“พีระพันธุ์”แนบแน่นกับกลุ่มกทม.ในพรรคพลังประชารัฐ อันมี “สุเทพ”เป็นบิ๊กเบิ้มของกลุ่มนี้อยู่ ขณะที่“กรณ์”แตกต่างออกไป
“กรณ์”ไม่ได้สนิทชิดเชื้อกับกลุ่มกทม.ในพรรคพลังประชารัฐ หนำซ้ำยังเคยมีข่าวว่าไม่ค่อยถูกกันด้วยซ้ำไป จุดหมายปลายทางจึงแตกต่างกัน
“กรณ์”กับ “อรรถวิชช์ สุวรรณภักดี”อดีต ส.ส.กทม.พรรคประชาธิปัตย์ เคยมีโปรเจกต์ตั้งพรรคใหม่ โดยมีบิ๊กสายการบินชื่อดังเป็นกระเป๋าเงิน แต่เมื่อถึงเวลาน้ำเลี้ยงกลับไม่มาตามที่ตกลงกันไว้
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะมาทำงานร่วมกับบิ๊กรัฐบาลไม่ได้ เพราะช่วงตอนจัดตั้งคณะรัฐมนตรี “กรณ์”เคยพาส.ส.ในกลุ่ม 4-5 คน ไปเยี่ยมชมโครงการทางด้านเศรษฐกิจที่จัดโดย“สมคิด จาตุศรีพิทักษ์”
อีกจุดคือ สไตล์การบริหารงานของ “บิ๊กป้อม”พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะซีอีโอใหญ่ ไม่เน้นขั้ว เน้นข้าง
ดูอย่างในพรรคพลังประชารัฐ ที่มีสารพัดก๊วน สารพัดมุ้ง บางกลุ่มไม่ถูกกันปานจะฆ่ากัน แต่ “บิ๊กป้อม”ใช้บารมีเข้าไปเป็น “หัว” ให้ทุกกลุ่มขึ้นตรงกับตนเองเท่านั้น
ต่างฝ่ายต่างทำงานของตัวเองไป แต่ศูนย์กลางอยู่ที่“พี่ใหญ่”
การตัดสินใจของ“กรณ์”วันนี้ ไม่ได้ใจเร็วเร่งด่วน หากแต่ดำรงอยู่ต่อก็เหมือนไม่มีตัวตน ค่าจึงไม่ต่างกันระหว่างอยู่หรือไป
แต่มันทำให้ตัวเองมีอิสระในการตัดสินใจในการดำเนินการใดๆ มากกว่ายังอยู่ต่อที่ติดกรอบความเป็นพรรคประชาธิปัตย์
วันนี้ไม่ว่าจะไปที่ไหนเขาไปในโควตาตัวเอง ไม่ได้ไปในโควตาของพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ต้องขอมติพรรค หรืออะไรอีกต่อไป
สามารถไปจับมือได้กับทุกกลุ่ม รวมถึงการเข้าร่วมทีมชิงตำแหน่งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ที่เคยมีข่าวการรวมตัวกันของนักการเมืองชื่อดังในนามอิสระ
“กรณ์”อาจจะไปตั้งพรรคหรือมูลนิธิหนึ่งขึ้นมา เพื่อรับบรรดาสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ที่มีสายสัมพันธ์แนบแน่นต่อกัน ที่กำลังทยอยลาออกไปหาอนาคตที่ดีกว่า
ซึ่งภาวะ“เลือดไหล”ในพรรคประชาธิปัตย์ จะยังไม่หยุดเท่านี้ และจะมีมากขึ้นเรื่อยๆ
เพราะทุกคนคิดตรงกันแล้วว่า พรรคสีฟ้าไม่มีทางกลับมายิ่งใหญ่ได้เหมือนเดิมอีกต่อไป แม้แต่ในการเลือกตั้งครั้งหน้า
อีกด้านหนึ่ง ปรากฏการณ์เลือดไหล น่าจะเกิดซ้ำรอยที่พรรคเพื่อไทย เพราะสถานการณ์ก็คล้ายกัน รอวันแตกหักเหมือนเท่านั้น ตอนนี้"เจ๊หน่อย" คุณหญิง สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์เพื่อไทย ถูกยุทธการบีบทุกวิถีทาง เพื่อให้ลดบทบาท พ้นจากอำนาจในพรรค
โดยมี"เจ๊ ด." เจ้าแม่เพื่อไทย กับ "เจ๊ปู" ยิ่งลักษณ์ อยู่เบื้องหลัง เพราะไม่กินเส้นกันมานาน แต่ครั้งนี้รุกฆาต ตั้งใจจะให้เจ๊หน่อย กระเด็นไปจากเพื่อไทย หรือหากทนได้ก็อยู่เป็นสมาชิกพรรคกระจอกงอกง่อยคนหนึ่ง
งานนี้"สุดารัตน์" ทนได้ก็ทนไป เจ๊ด. ผนึกกำลังเจ๊ปู ทุบหนักข้อขึ้นทุกวัน อีกไม่นานก็รู้แน่ ใครจะอยู่ใครจะไป!