สถานการณ์การเมือง ณ เวลานี้น่าจะยังคงมีสภาพเหมือนกับทศวรรษที่ผ่านมา นั่นคือ การแบ่งฝ่ายถือหางกันทางการเมืองของคนสองฝั่งในสังคมไทย เพียงแต่แปรสภาพจากเดิมที่เป็นฝ่ายเอาทักษิณและไม่เอาทักษิณมาเป็น เอาประยุทธ์ และไม่เอาประยุทธ์เท่านั้นเอง
ภาพที่ฉายชัดก็คือการแบ่งกลุ่มวิ่งไล่ลุงและเดินเชียร์ลุงที่ปรากฏขึ้นที่ต่างฝ่ายต่างมีมวลชนที่ออกมาร่วมงานก้ำกึ่งกัน ต่างกันเพียงช่วงวัยเท่านั้น เพราะแม้ทั้งสองกลุ่มจะมีผู้เข้าร่วมทุกช่วงวัย แต่กลุ่มวิ่งไล่ลุงจะมีปริมาณคนหนุ่มสาวที่มากกว่าช่วงวัยอื่น ในขณะที่กลุ่มเดินเชียร์ลุงนั้นมากไปด้วยผู้สูงวัย
การแบ่งกลุ่มหรือการมีจุดยืนทางการเมืองแตกต่างกันอาจจะไม่ใช่เรื่องที่ผิด ถ้าต่างฝ่ายต่างยึดมั่นในแนวทางอุดมการณ์ที่แตกต่างกัน เพราะมีความคิดและเหตุผลที่ต่างกัน เหมือนฝ่ายหนึ่งเป็นเสรีนิยม แต่ฝ่ายหนึ่งเป็นอนุรักษนิยม
แต่จริงๆ แล้วความแตกต่างทางอุดมการณ์เป็นเพียงกลิ่นอายที่เบาบางเท่านั้น เพราะจริงๆ แล้วคนทั้งสองฝั่งแตกแยกแบ่งข้างกันเพราะยึดมั่นในตัวบุคคลเท่านั้นเองพูดตรงๆ ก็คือ มีสถานะเป็นเพียง “ติ่ง”
การเป็นติ่งอาจจะไม่ใช่เรื่องที่ผิด ถ้าเรายึดมั่นต่อบุคคลนั้นเพราะเห็นคุณงามความดีของเขา มองเห็นความสามารถของเขา มองเห็นคุณธรรมของเขา เพียงแต่ที่มีปัญหาก็คือ เมื่อเป็น “ติ่ง” แล้ว มักจะมองข้ามสิ่งที่ไม่ชอบของฝั่งตัวเองไป และสถานะ “ติ่ง” นี่เองที่ทำให้คนที่เรายอมเป็น “ติ่ง” ฉกฉวยที่จะละเลยเรื่องความชอบธรรมไปด้วย
ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น เพราะเมื่อมี “ติ่ง” มาเกาะแล้ว เขาไม่จำเป็นต้องอธิบายในสิ่งที่กระทำแม้มิชอบ เพราะมี “ติ่ง” คอยชื่นชมและปกป้องว่าสิ่งที่เขาทำไม่ชอบกลายเป็นเรื่องที่ชอบนั่นเอง
แล้วบุคลิกของติ่งทุกฝ่ายก็จะเป็นเช่นนี้เสียด้วย เคยประณามฝั่งตรงข้ามที่กระทำแบบเดียวกัน แต่พอฝั่งตัวเองทำบ้างก็หาเหตุผลมาอธิบายเพื่อสร้างความชอบธรรมให้ ที่หน้าด้านน้อยหน่อยก็จะพยายามแกล้งปิดปากหลีกเลี่ยงที่จะพูดถึงพฤติกรรมนั้นเสีย แต่เคยบริภาษฝั่งตรงข้ามที่ทำแบบเดียวกันสาดเสียเทเสียมาก่อน
เพราะมี “ติ่ง” นี่เอง ทำให้นักการเมืองหลายคนลอยนวล ไม่ต้องสนใจเรื่องที่ตัวเองกระทำลงไป วันนี้เราจึงมีความเห็นเรื่องผิดถูกที่ต่างกันคนละด้าน และต่างฝ่ายต่างเชื่อว่า ที่ฝั่งตัวเองทำนั้นถูกและฝั่งตรงข้ามกระทำนั้นผิด แม้จะกระทำในแบบเดียวกัน
วันนี้ฝั่งหนึ่งยังเชื่อว่าสิ่งที่ทักษิณทำนั้นไม่ผิด แต่ทักษิณถูกกลั่นแกล้งรังแกและถูกอิจฉาจากอำนาจเก่าที่สูญเสียความเชื่อมั่นจากประชาชนที่ปันใจไปหลงรักทักษิณกันหมด จนกระทั่งไม่สนใจดูเนื้อหาข้อเท็จจริงศึกษาข้อมูลว่าสิ่งที่ทักษิณกระทำลงไปนั้นเป็นการถูกใส่ร้ายหรือมีมูลความจริงอย่างไร
วันนี้ฝั่งที่ยืนข้างทักษิณก็หันไปยืนข้างธนาธร และเชื่อแบบเดียวกับทักษิณว่า ธนาธรถูกกลั่นแกล้งใส่ร้าย เพราะธนาธรได้รับความนิยมจากประชาชน ฝ่ายอำนาจรัฐและข้างบนเลยหวั่นไหวต้องหาทางกำจัดธนาธร โดยไม่ต้องดูเนื้อหาข้อเท็จจริงว่าสิ่งที่ธนาธรถูกกล่าวหานั้นได้กระทำผิดจริงๆ ไหม หรือแม้จะเห็นหลักฐานก็เลือกที่จะไม่เชื่อมากกว่าการคิดวิเคราะห์ชั่งน้ำหนักอย่างมีเหตุผล
สิ่งที่ธนาธรพยายามยกมาอ้างตลอดเวลาก็คือ เขาถูกกลั่นแกล้งใส่ร้ายเพื่อขับเขาออกจากการเมืองต้องการยุบพรรคเขา ทั้งที่การกระทำที่ถูกดำเนินการตามกฎหมายนั้นเป็นความผิดพลาดเผลอเรอของฝั่งตัวเองทั้งสิ้น
วันนี้ฝั่งที่ศรัทธาลุงตู่ก็เช่นกัน เขาไม่เชื่อว่า ลุงตู่กระทำผิดอะไร ลุงตู่เป็นคนเข้ามาแก้ปัญหาบ้านเมือง เขาไม่เชื่อว่ากระบวนการทางกฎหมายนั้นถูกบังคับใช้ด้วยมาตรฐานที่ต่างกันระหว่างฝั่งตรงข้ามกับฝั่งที่แวดล้อมลุงตู่ เชื่อว่าลุงตู่ไม่ใช่เป็นคนสร้างความขัดแย้ง ทั้งที่การเขียนรัฐธรรมนูญให้เอื้อต่อลุงตู่เข้ามาสืบทอดอำนาจนั่นแหละเป็นเงื่อนไขความขัดแย้งที่สำคัญ
แต่ลุงตู่ก็พยายามพูดเหมือนทวงบุญคุณสังคมตัดพ้อต่อว่าที่ตัวเองต้องเข้ามารับภาระบริหารบ้านเมือง จนไม่มีเวลาของตัวเอง และตกเป็นเป้าโจมตีของฝั่งตรงข้าม ทั้งที่จริงๆ แล้วลุงตู่ขีดเส้นให้ตัวเองเดินมาทางนี้ ห้าปีในอำนาจของ คสช.ก็ว่ายาวนานกว่าหนึ่งสมัยของการเลือกตั้งแล้ว ยังเขียนรัฐธรรมนูญเพื่อให้ตัวเองสืบทอดอำนาจได้ยาวนานยิ่งขึ้นไปอีก
คงพอจะสรุปได้ว่าต่างฝ่ายต่างเป็นเงื่อนไขของความขัดแย้ง ต่างฝ่ายต่างมีพฤติกรรมที่ไม่ชอบ แต่การมีมวลชนหนุนหลังยกหางเชียร์ทำให้ต่างฝ่ายไม่สนความผิดพลาดและการกระทำที่ไม่ชอบของตัวเอง แน่นอนฝ่ายที่อยู่ในอำนาจคือฝั่งลุงตู่ก็จะได้เปรียบ เพราะถืออำนาจตามกฎหมายอย่างชอบธรรม มีมือไม้ที่จะเล่นงานฝ่ายตรงข้ามทั้งอำนาจรัฐและอำนาจแฝงเร้น
แต่ถามว่าความขัดแย้งแบบนี้ฝ่ายที่มีอำนาจเขาชอบไหม คำตอบก็คือ มันเข้ากับคำกล่าวที่เขาพูดในทางรัฐศาสตร์การเมืองว่า “แบ่งแยกแล้วปกครอง” ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่ใช้มาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ ถ้าประชาชนขัดแย้งแบ่งฝักฝ่ายแล้วประโยชน์ก็จะตกกับผู้ปกครองนั่นเอง
เพราะประชาชนกลายเป็น “ติ่ง” แม้ดูเหมือนต่างฝ่ายจะตื่นตัวทางการเมือง เข้าร่วมกิจกรรมทางการเมืองของฝ่ายตัวเอง แต่กลับรับทราบรับฟังข้อมูลฝ่ายเดียวกัน เสพสื่อที่เชื่อว่า เป็นฝ่ายเดียวกับตัวเอง กรอกหูด้วยข้อมูลที่ตัวเองอยากเชื่อ แม้จะได้ยินข้อมูลฝั่งตรงข้ามก็ไม่เอามาวิเคราะห์แยกแยะแต่เชื่อทันทีว่าเป็นข้อมูลที่เป็นเท็จหรือผิด
แล้วที่น่าตกใจก็คือ วันนี้มีสื่อที่ทำตัวเป็นกระบอกเสียงของผู้มีอำนาจ เป็นปากเสียงคอยแก้ต่างๆ และโจมตีฝ่ายตรงข้ามแบบไม่แยกแยะเหตุผลและข้อเท็จจริง และช่วยปลุกปั่นความเกลียดชังในสังคมให้หนักยิ่งขึ้น จากที่สื่อโดยทั่วไปเคยมีบทบาทในการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประเทศชาติ และประชาชนก็เปลี่ยนบทบาทไปปกป้องฝ่ายที่ถืออำนาจรัฐ
ดังนั้นไม่มีทางเลยที่บ้านเมืองของเราจะออกจากความขัดแย้ง เพราะต่างฝ่ายต่างเลือกข้างและยึดมั่นว่าข้างของตัวเองเป็นฝ่ายถูก ฝั่งธนาธรเคยกล่าวหาว่า ความขัดแย้งที่ผ่านมาเป็น “ทศวรรษที่สูญหาย” วันนี้ก็อ้างความชอบธรรมที่จะปลุกปั่นมวลชน แม้แต่เรื่องที่ตัวเองกระทำผิดก็บิดเบือนเสียว่า ถูกอำนาจรัฐกลั่นแกล้ง
ฝ่ายอำนาจรัฐก็นำพาประเทศไปในหนทางเดียวกับการที่เคยกล่าวหาว่า ฝ่ายตรงข้ามสร้างความเสียหายให้กับประเทศด้วยวิธีการแบบเดียวกัน ไม่หาทางออกให้กับประเทศ ไม่ปฏิรูปประเทศ แต่ทำทุกอย่างเพียงเพื่อรักษาอำนาจเอาไว้
จึงมองไม่เห็นทางออกเลยว่า สังคมไทยจะออกจากความขัดแย้งได้อย่างไร ตราบที่สังคมไทยยังถือหางเลือกข้างมากกว่าการยึดมั่นข้อเท็จจริง และไม่ช่วยกันตรวจสอบนักการเมืองแบบไม่แบ่งฝักฝ่าย และยอมเป็นเบี้ยให้นักการเมืองสองฝ่ายใช้เป็นเครื่องมือในการต่อสู้กัน
และดูเหมือนยากที่จะทำให้การเมืองไทยกลับมาต่อสู้กันบนเวทีที่มีกติกาเท่าเทียมกันแข่งขันกันด้วยสปิริต เพื่อผลประโยชน์ของประเทศ มากกว่าการทำลายล้างแบบที่ประเทศชาติเสียหายหนักขึ้นทุกวัน
ตราบที่ต่างฝ่ายต่างเชื่อมั่นว่า มี “ติ่ง” ยืนเคียงข้าง เมื่อนั้นสังคมไทยก็ไม่มีทางพบแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ มีแต่ต่อสู้ประหัตประหารกันต่อไป
ติดตามผู้เขียนได้ที่ https://www.facebook.com/surawich.verawan