คงต้องยอมรับเอาจริงๆ นั่นแหละว่า...ผู้นำอเมริกาอย่าง “ทรัมป์บ้า” นั้น ช่างเป็นผู้มีขีดความสามารถในการสร้างความ “เปรี้ยว” ให้กับอวัยวะส่วนล่างของผู้คนในระดับโลก อย่างชนิดแทบไม่มีผู้นำรายใดในประวัติศาสตร์ ที่จะมีความโดดเด่นในด้านนี้เทียบเท่ากับผู้นำอเมริการายนี้ได้เลย หรือถ้าหากพูดแบบชาวบ้านๆ...ก็คงประมาณว่า แทบไม่มีใครที่จะ “ยั่วยวนกวนส้นตีน” เท่านี้ได้อีกแล้ว...
คือทั้งๆ ที่...เพิ่งลอบฆ่า ลอบสังหาร ผู้นำทางทหารอิหร่าน ที่ถือเป็น “วีรบุรุษของชาติ” อย่างนายพล “กอเซ็ม สุไลมานี” ไปหมาดๆ แต่เมื่อเห็นรัฐบาลอิหร่านเกิดพลาดท่า พลาดที เกิดกรณีความผิดพลาดในการยิงเครื่องบินโดยสาร “ยูเครน แอร์ไลน์” โดยไม่ดูตาม้า-ตาเรือ ให้ถ้วนถี่ จนเกิดการหยิบเอากรณีดังกล่าวมา “ปลุกปั่น” ชาวอิหร่านบางกลุ่ม บางราย ให้ลุกขึ้นมาประท้วงรัฐบาลเรียกร้องไปถึงขั้นให้ผู้นำสูงสุดทางจิตวิญญาณ อยาตุลเลาะห์ “อาลี คาเมเนอี” ต้องลาออกเอาเลยถึงขั้นนั้น และกลายเป็นจังหวะโอกาส แบบชนิดเข้าทางเท้า-เข้าทางตีน ของ “ทรัมป์บ้า” โดยฉับพลันทันที ถึงกับต้องรีบโผล่ออกมา “ทวีต” ข้อความ ทั้งที่เป็นภาษาอังกฤษ และภาษาอิหร่าน (ฟาร์ซี) ทั้งยุ ทั้งเชียร์ และทั้งเสี้ยมบรรดาผู้ประท้วงทั้งหลาย ให้หาทางโค่นล้มระบอบปกครองอิหร่านกันโดยไว...
ทั้งๆ ที่ความผิดพลาดในเรื่องทำนองนี้...แม้จะเป็น “โศกนาฏกรรม” ที่น่าหดหู่เพียงใดก็ตาม แต่ท่ามกลางบรรยากาศหน้าสิ่ว-หน้าขวาน หน้าข้าว-หน้าเหล้า การอุบัติขึ้นมาของเหตุการณ์เหล่านี้ ก็น่าจะพอเป็นที่เข้าใจได้ เพราะแม้แต่อเมริกาเอง ก็เคยก่อความผิดพลาดในลักษณะดังกล่าวมาแล้ว แบบชัดๆ จะจะ นั่นก็คือเหตุการณ์การยิงจรวดจากเรือรบสหรัฐฯ “USS Vincennes” เข้าใส่เครื่องบินพลเรือนของอิหร่าน หรือเครื่องบินโดยสาร “อิหร่านแอร์” เที่ยวบินที่ 655 ขณะบินจากกรุงเตหะรานไปดูไบ เมื่อช่วงวันที่ 3 กรกฎาคมปี ค.ศ. 1988 เล่นเอาผู้โดยสาร หรือพลเรือนผู้ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ ตายเรียบไปรวดเดียวถึง 290 ราย มากกว่าจำนวนผู้สูญเสียคราวนี้ เกือบร้อยรายเอาเลยถึงขั้นนั้น...
เพราะท่ามกลางบรรยากาศแบบหน้าสิ่ว-หน้าขวาน หน้าข้าว-หน้าเหล้า หรือบรรยากาศการรบพุ่งในสงคราม “อิหร่าน-อิรัก” เมื่อครั้งที่ “นายโรนัลด์ เรแกน” ยังเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ เรือรบอเมริกันที่แล่นอยู่ในน่านน้ำอิหร่านแท้ๆ คือแถวๆ เมืองท่า “Bandra Abbas” เกิดอาการไม่ได้ดูตาม้า-ตาเรือ ให้ถ้วนถี่ คิดว่าเครื่องบินโดยสาร “แอร์บัส” ของอิหร่าน คิดจะเข้ามาโจมตีกองกำลังของตัวเอง เลยส่งจรวด “Sm-2mr” พุ่งขึ้นไปถล่มใส่สายการบินอิหร่านแอร์ พังพินาศไปเป็นชิ้นๆ แถมในครั้งนั้น...รัฐบาลอเมริกันก็ยังไม่คิดจะออกมายอมรับความผิดพลาดอย่างเป็นทางการ ไม่คิดจะขอโทษ ขอโพย อ้างว่าเป็นการป้องกันตัวเองภายใต้น่านน้ำสากลซะอีกต่างหาก มีแต่ “จดหมายแสดงความเสียใจ” ของผู้นำอเมริกันมาถึงรัฐบาลอิหร่าน พร้อมการจ่ายเงินค่าชดเชยให้กับครอบครัวผู้สูญเสียชาวอิหร่านจำนวนแค่ 61.8 ล้านดอลลาร์เท่านั้นเอง...
ต่างไปจากบรรดาผู้นำอิหร่าน...ไม่ว่าตั้งแต่ผู้นำสูงสุดทางจิตวิญญาณ ประธานาธิบดี รัฐมนตรีต่างประเทศ ไปจนถึงผู้นำทางทหารที่ออกมายอมรับ “โศกนาฏกรรมแห่งความผิดพลาด” อย่างเป็นทางการ ออกมาขอโทษ ขอโพย และพร้อมจะชดใช้ทุกสิ่งทุกอย่างให้กับความผิดพลาดคราวนี้ โดยเฉพาะผู้บัญชาการกองพลอวกาศ “IRGC” “พลเอกAmir Ali Hajizadeh” ท่านถึงกับออกมาบรรยายความรู้สึกลึกๆ ของตัวเองประมาณว่า “อยากจะตายไปให้พ้นๆ” ทันทีที่ได้รับทราบถึงความผิดพลาดคราวนี้ อะไรทำนองนั้น แต่การออกมาแสดงความรับผิดชอบแบบตรงไป-ตรงมาเช่นนี้...กลับถูกนำไปใช้เป็นชนวนเหตุ เป็นตัวจุดระเบิดหรือจุดไฟในนาครขึ้นมาในอิหร่านไปซะนี่!!! หรือเกิดการ “ปลุกระดม” บรรดานักศึกษาเยาวชน โดยเฉพาะผู้ที่ความสัมพันธ์โยงใยอยู่กับสถาบัน “British Council” ให้ก่อการลุกฮือขึ้นประท้วงที่มหาวิทยาลัย “Amirkabir University” ตั้งแต่ช่วงวันเสาร์ (11 ม.ค.) ที่ผ่านมา...
โดยระหว่างการลุกฮือคราวนี้...ดันมีเอกอัครราชทูตอังกฤษแห่งกรุงเตหะราน อย่าง “นายRobert Macaire” ไปตั้งกองบัญชาการ เปิดวอร์รูม อยู่ที่ร้านค้าฝั่งตรงข้ามมหาวิทยาลัย เพื่อคอยมอนิเตอร์ หรือคอยตรวจสอบความเคลื่อนไหวของผู้ประท้วงแบบชนิดนาทีต่อนาทีซะอีกต่างหาก จนทางการอิหร่านอดรนทนไม่ไหวต้องบุกเข้ารวบตัวและกักตัวไว้เป็นชั่วโมงๆ ก่อนจะปล่อยไป เพียงแต่คงต้องเรียกตัวมาประท้วงอย่างเป็นทางการในวาระต่อไป ในฐานะที่ได้แสดงออกถึงการ “แทรกแซงกิจการภายใน” ของอิหร่านแบบชนิดโจ่งๆ แจ้งๆ และนั่นเอง...ที่อาจเป็นเหตุให้ ผู้นำอเมริกาอย่าง “ทรัมป์บ้า” ถึงได้พยายามออกมายุ ออกมาเสี้ยม ออกมาห้ามปรามไม่ให้รัฐบาลอิหร่านเล่นงานบรรดาผู้ประท้วงเหล่านี้ อย่างเป็นระบบและเป็นกิจการ...
ถ้าว่ากันตามคำพูด คำจา ของอดีตนายพลสี่ดาวแห่งกองทัพสหรัฐฯ นายพล “Barry McCaffrey” ที่แม้เกษียณไปแล้ว แต่ก็ยังพอมีพรรคพวกอยู่ในคณะรัฐบาล และได้ให้สัมภาษณ์กับโทรทัศน์ “MSNBC” เมื่อช่วงวันเสาร์ที่ 11 ม.ค.ว่าผู้นำอเมริกาอย่าง “ทรัมป์บ้า” นั้น ออกอาการ “ขนหัวลุก” มิใช่น้อย เมื่อได้เห็นภาพชาวอิหร่านนับล้านๆ แห่ออกมาร่วมงานพิธีศพของ “วีรบุรุษแห่งชาติ” อย่างนายพล “สุไลมานี” ที่ตัวเองสั่งลอบสังหารไปหมาดๆ และจะเป็นด้วยเหตุนี้หรือไม่ อย่างไร ก็มิอาจทราบได้ บรรดากลุ่มผู้ประท้วงในมหาวิทยาลัย “Amir Kabir” จึงไม่ใช่แค่เรียกร้องให้ผู้นำสูงสุดอย่าง อิหม่าม “อาลี คาเมเนอี” ลาออกเท่านั้น แต่ยังได้ฉีกรูปภาพของนายพล “สุไลมานี” ออกเป็นชิ้นเล็ก ชิ้นน้อย แบบเดียวกับผู้ที่พยายามจะปลุกกระแส “ชังชาติ” ให้เป็นเรื่อง เป็นราว ขึ้นมาให้จงได้...
การเห็นดี เห็นงาม กับบรรดาผู้ประท้วงที่ออกไปทาง “ชังชาติ” ...ขณะที่ตัวเองกลับดัน “America First” หรือ “America Great Again” นี่เอง เลยทำให้ผู้นำอเมริกาตลอดไปจนประเทศอเมริกาก็เถอะ ต้องถูกให้คำนิยามโดยนักข่าวสืบสวนชาวอเมริกันเอง และคอลัมนิสต์นิตยสาร “Counter Punch” อย่าง “นายDave Lindorff” เอาไว้ในข้อเขียน บทความ ชิ้นล่าสุดชื่อว่า “Rogue president, Rogue nation” หรือ “ประธานาธิบดีอันธพาลและประเทศอันธพาล” อย่างมิอาจปฏิเสธได้ เพราะระหว่างที่ชาติอื่นๆ พยายามแสดงออกถึงความรักชาติ รักเอกราช หรืออธิปไตยของตัวเอง เช่นประเทศอิรัก เป็นต้น ที่ไม่ว่ารัฐสภาหรือรัฐบาล ได้เรียกร้องให้รัฐบาลอเมริกันถอนทหารออกไปจากอิรักซะให้พ้นๆ หลังการลอบสังหารนายพล “สุไลมานี” แต่นอกเหนือไปจากการออกมาปฏิเสธของโฆษกกระทรวงการต่างประเทศอเมริกัน ว่าจะไม่ถอนทหารอเมริกันออกจากอิรักโดยเด็ดขาดด้วยเหตุผลที่ว่า “เพราะอเมริกาเป็นกองกำลังทหารของฝ่ายที่ดี ฝ่ายที่ถูกต้อง ในตะวันออกกลาง” หรือเพราะ “กู...คือความถูกต้อง” แล้ว ผู้นำอเมริกันยังหันกลับไปขู่รัฐบาลอิรัก ว่าพร้อมที่จะ “แช่แข็ง” บัญชีเงินฝากของรัฐบาลอิรักที่ฝากไว้กับธนาคารกลางสหรัฐฯ จำนวนประมาณ 3,000 ล้านดอลลาร์ รวมทั้งจะแซงชั่นเศรษฐกิจให้หนักซะยิ่งกว่าที่เคยแซงชั่นอิหร่าน ถ้ายังคิดจะรักชาติ รักเอกราช หรือยึดมั่นในอธิปไตยของตัวเองอีกต่อไป นี่...ต้องเรียกว่าทั้งบ้า ทั้งอันธพาล ทั้งยั่วยวนกวนส้นตีน อย่างชนิดสาธุชน วิญญูชนทั้งหลาย อดที่จะเปรี้ยวเท้า เปรี้ยวตีน ขึ้นมามิได้...