ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - เป็นคำถามที่ดังอื้ออึงไปทั้งประเทศ เมื่อวันดีคืนดีปรากฏข่าว บิ๊กโจ๊ก-พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล อดีตผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง(ตม.) ซึ่งถูกเด้ง “ฟ้าผ่า” เข้ากรุ “ที่ปรึกษาพิเศษประจำสำนักนายกรัฐมนตรี” ถูก “มือปืน” ลั่นกระสุนใส่เมื่อช่วงกลางดึกเมื่อคืนวันที่ 6 มกราคม 2563 ว่า “เกิดอะไรขึ้น”
แน่นอนว่า ปฏิบัติการดังกล่าวนำมาซึ่ง “ข้อสงสัย” มากมาย เพราะเต็มไปด้วย “ข้อพิรุธ” โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาจาก “วิถีกระสุน” ที่ปรากฏบน “เลกซัส สีขาว” ของ “บิ๊กโจ๊ก” จำนวน 8 รู เห็นได้ชัดเจนว่า มิได้มุ่งหมายที่จะเอาชีวิต “บิ๊กโจ๊ก” เนื่องจาก “มือปืน” มิได้ยิงบริเวณ “จุดตาย” โดยยิงเฉียงลงระยะประชิดที่ด้านล่าง แม้จะเป็นฝั่งผู้นั่งและคนขับก็ตาม
ที่น่าประหลาดใจเสียยิ่งกว่าก็คือ “มือปืน” ที่มี “การข่าว” "ระดับพระกาฬ” ถึงขนาดรู้วิถีชีวิตของ “บิ๊กโจ๊ก” ว่าเดินทางไปไหนมาไหน จะไม่รู้เลยหรือว่า เขาไม่อยู่ในรถ และตัดสินใจยิงแบบสุ่มสี่สุ่มห้าเช่นนั้น
ต้องไม่ลืมว่า แม้ “บิ๊กโจ๊ก” จะหมดอำนาจวาสนาไปแล้ว แต่เขาก็คือ “นายตำรวจใหญ่” ที่ไม่ธรรมดา มีสายสัมพันธ์อันดีกับ “บิ๊กๆ” ในรัฐบาล ถ้าการยิงครั้งนี้เป็นเพียงแค่ “ยิงขู่” ก็เกิดคำถามที่หาคำตอบไม่ได้ว่า “คุ้มหรือไม่” กับการกระทำที่สุ่มเสี่ยงเยี่ยงนั้น สู้ยิง “ให้ตาย” ไปไม่ดีกว่าหรือ
ดังนั้น จงอย่าแปลกใจถึงเสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่ดังกระฉ่อนไปทั่วสำนักงานตำรวจแห่งชาติว่า เผลอๆ จะเป็นการ “จัดฉาก” ส่วนจะจัดฉาก “เพื่ออะไร” เพื่อกรุยเส้นทางให้หวนคืนสู่อำนาจอย่างที่ร่ำลือกัน หรือมีการขัดประโยชน์ในยุทธจักรตำรวจหรือไม่ ไม่ทราบได้
แม้กระทั่ง พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ส.ส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ก็ยังเชื่อว่าเรื่องนี้เป็นการจัดฉาก
“การที่มือปืนจะลงมือสังหารใคร ต้องมีการติดตามเหยื่อมาอย่างใกล้ชิด เมื่อสบโอกาสจึงลงมือลั่นไกสังหารเหยื่อ แต่เรื่องนี้เอามือปืนมาจัดฉากยิงใส่รถที่จอดอยู่เฉยๆไม่มีเป้าหมายอยู่ในรถแต่อย่างใด จึงเชื่อว่าเป็นการจัดฉากหวังขยายผล เพื่อโจมตีคู่กรณีฝั่งตรงข้ามมากกว่า เพื่อให้มีข้ออ้างจัดการปลด พล.ต.อ.จักรทิพย์ออกจากตำแหน่งก่อนที่จะเกษียณอายุราชการในอีก 8 เดือน เหมือนกับที่ผมก็เคยถูกเล่นงานมาเช่นกัน”พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ระบุ
อย่างไรก็ดี “บิ๊กโจ๊ก” ได้เปิดปากให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนถึงมูลเหตุและแรงจูงใจที่เจ้าตัวมั่นใจว่าจะเป็นประเด็นที่ทำให้ถูกยิงขู่ โดยพุ่งเป้าไปที่ “โครงการไบโอเมทริกซ์” หรือ “ระบบพิสูจน์อัตลักษณ์บุคคลลายพิมพ์นิ้วมือและภาพถ่ายใบหน้าของ สตม.”
“ผมไม่มีประเด็นความขัดแย้งเรื่องอื่น”
ถ้า “โจ๊ก หวานเจี๊ยบ” พูดจริง ก็สะท้อนให้เห็นว่า เขาน่าจะรู้ว่า “ใครคือผู้บงการ”
“ย้ายคนเก่งมาทำงาน กล้องเยอะขนาดนี้ ถ้าจับคนร้ายไม่ได้ ถ้าผมเป็น ผบ.ตร. น่าลาออก”
พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ให้สัมภาษณ์และไม่สามารถตีความเป็นอย่างอื่นได้ว่า ต้องการท้าทายและสร้างแรงกดดันไปที่ “บิ๊กแป๊ะ-พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา” ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ อย่างไม่อาจปฏิเสธได้
คำถามมีอยู่ว่า ทำไม “บิ๊กโจ๊ก” ถึงได้มั่นอกมั่นใจว่าเป็นคดีนี้ ทั้งๆ ที่ถ้าจะว่าไป ตลอดชีวิตการรับราชการของเขาก็มี “โจทก์” อยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะคดีใหญ่ระดับพันล้าน หรือคดีที่ไปเกี่ยวข้องกับผู้มีอิทธิพลที่เขาทำงานถวายหัวเพื่อรับใช้ “นาย” หรือ “ธุรกิจส่วนตัว” ที่เขาเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง
ที่น่าแปลกใจไปกว่านั้นคือ งานนี้ “บิ๊กโจ๊ก” ออกมาเปิดปากให้สัมภาษณ์ “ทุกสื่อ ทุกรายการ” ชนิดที่ว่า ใครเชิญมา เขาพร้อมจะไปให้ข้อมูลทุกที่ ทุกเวลา และให้สัมภาษณ์อย่างยาวเหยียดแบบดับเครื่องชน จนเป็นที่น่าฉงนว่า “น่าจะมีอะไรในกอไผ่” หรือไม่ อย่างไร
เป็นไปได้หรือไม่ งานนี้ “บิ๊กโจ๊ก” น่าจะได้รับ “ไฟเขียว” จาก “ใครบางคน”
เหมือนกับว่า คดีความและมลทินที่ทำให้เขาแทบจะจบชีวิตราชการได้ผ่านพ้นไปแล้ว เขาพร้อมที่จะหวนคืนสู่เส้นทางสายอำนาจ โดยเฉพาะการกลับมาเป็น “ใหญ่” ในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ อย่างไรอย่างนั้น
แถมที่ผ่านมา “โจ๊ก” ไม่ได้มีมลทินเพียงคนเดียว หากแต่พลอยทำให้ “เพื่อนร่วมรุ่น นรต.47” พลอยฟ้าพลอยฝนติดร่างแหตามไปด้วย เพราะฉะนั้น ถ้าพอมีร่องมีรูให้ลืมตาอ้าปากได้ ก็ต้องย่อมทำ
ส่วนจะเป็นไปตามที่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ว่าไว้ คือเกมชิงเก้าอี้ “เบอร์ 1 กรมปทุมวัน” หรือไม่ เมื่อจับยามสามตาดูแล้ว ก็พอจะเห็นเค้าลางของความเป็นไปได้ เพราะลองคนระดับ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์กล้าพูดขนาดนี้ ย่อมไม่ธรรมดา ยิ่งเมื่อสืบลึกลงไปก็พอจะเห็น “ตัวละคร” และความเกี่ยวโยงกับความขัดแย้งในสำนักงานตำรวจแห่งชาติชัดขึ้น
แม้ “บิ๊กโจ๊ก” ยังกลับมาไม่ได้ แต่ถ้าเป็น “พวกของโจ๊ก” ที่กำลังคั่วตำแหน่งอยู่ ก็เป็นไปได้ในทางปฏิบัติ
หากยังจำกันได้ ก่อนหน้านี้ “โจ๊ก หวานเจี๊ยบ”ถือเป็นนายตำรวจหนุ่มดาวรุ่งพุ่งแรงของวงการสีกากี ว่ากันว่าด้วยวัย 40 กว่า แต่อนาคตไกลมากด้วยแรงสนับสนุนจาก “ลุงป้อม”พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ พี่ใหญ่บูรพาพยัคฆ์ แบบที่น้อยคนนักที่จะทำได้ หน้าที่การงานเติบโตพรวดพราด เคยนั่งตำแหน่งสำคัญๆ เช่น ผู้บังคับการตำรวจท่องเที่ยว , ผู้บังคับการตำรวจสายตรวจและปฏิบัติการพิเศษ หรือ 191, รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล , รองผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว และผู้บัญชาการตำรวจตรวจคนเข้าเมือง ในตำแหน่งล่าสุด ก่อนจะถูกปลด “ฟ้าผ่า” แบบสุดช็อกของวงการเมื่อ 5 เมษายน 2562
หลังตกจากฟ้า อดีต นรต.รุ่น 47 “โจ๊ก หวานเจี๊ยบ”ก็เก็บเนื้อเก็บตัวเงียบเชียบไปตามระเบียบ ก่อนหน้าที่จะปรากฏเป็นข่าวครึกโครมที่ “ศาลหลักเมืองนครศรีธรรมราช” เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2562โดยมีนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่แห่แหนไปให้การต้อนรับอย่างเนืองแน่น และหลังจากนั้นอีกไม่กี่วันก็มีเอกสารสำคัญ “หลุด” ออกมา นั่นคือประกาศแต่งตั้ง “อนุกรรมการ ก.ตร.เกี่ยวกับกฎหมายและระเบียบ (อ.ก.ตร.กฎหมาย)ชุดใหม่” ซึ่งมีชื่อของ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ โดดเด่นเป็นสง่ารวมอยู่ด้วย
ที่ต้องขีดเส้นใต้สองเส้นเอาไว้ก็คือ คนที่ลงนามในคำสั่งนี้ก็คือ ลุงป้อม-พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ในฐานะประธานกรรมการข้าราชการตำรวจ(ก.ตร.)
ทว่า สุดท้ายแล้ว “ลุงป้อม” ก็ใจไม่ด้านพอ ซึ่งก็ต้อง “ขอชม” ที่ไม่ดันทุรัง เพราะในการประชุม ก.ตร.เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน ที่ประชุมมีมติถอด “เทพโจ๊ก” ออกจากเก้าอี้อนุฯ ชุดดังกล่าว
นั่นเป็นร่องรอยให้เห็นว่า “ขบวนการปลุกชีพโจ๊ก” น่าจะมีอยู่จริง ใช่หรือไม่
ตัดภาพกลับมาที่กรณียิงรถบิ๊กโจ๊กเมื่อค่ำคืนวันที่ 6 มกราคมที่ผ่านมาอีกครั้ง
หลังเกิดเหตุ ผู้ที่ปริปากคนแรกๆ ก็คือ “ทนายตั้ม”ษิทรา เบี้ยบังเกิด เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ ที่ได้โพสต์แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ลงในเฟซบุ๊กว่าเกี่ยวโยงกับ “โครงการไบโอเมทริกซ์” พร้อมระบุเสร็จสรรพด้วยว่า “ทราบมาว่าคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ กำลังจะเรียกพล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาลไปให้ข้อมูลในเรื่องการทุจริตโครงการไบโอแมทริกซ์ และโครงการรถไฟฟ้าอัจฉริยะ ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ”
ทนายตั้มสันนิษฐานเป็นฉากๆ ราวกับว่า นั่งอยู่ในใจของ “บิ๊กโจ๊ก” อย่างไรอย่างนั้น
“คนระดับนี้ผมคงไม่ได้ไปสนิทอะไรด้วยหรอกครับ อย่างที่รู้งานท่านก็เยอะ ผมเคยเจอตอนที่ท่านทำโครงการไบโอเมทริก 2 ครั้งตอนที่ท่านรับราชการเป็นข้าราชการ ตม. อยู่ ได้เจอกันไม่ถึงนาที ได้คุยกันแป๊ปเดียว พูดกันคำสองคำ แล้วท่านก็แว้บหายไปแล้ว”ทนายตั้มยืนยันความสัมพันธ์กับบิ๊กโจ๊กที่สังคมสงสัย
และในที่สุด ข้อมูลของ “ทนายตั้ม” ก็เป็นจริง เมื่อ “บิ๊กโจ๊ก” ออกโรงสัมภาษณ์ด้วยตัวเอง โดยระบุชัดเจนว่าสาเหตุของการถูกยิงถล่มนั้น มาจากเรื่องปมยื่นยกเลิกโครงการ “ไบโอเมทริกซ์” จนทำให้มีผู้เสียผลประโยชน์
“ปมถูกยิงรถเกิดจากการที่ผมเสนอให้มีการยกเลิกโครงการไบโอเมทริกซ์แน่นอน ไม่มีประเด็นอื่น เพราะตัวเองไม่ได้ทำธุรกิจอะไร และไม่ได้มีเรื่องของชู้สาว และคิดว่าการยิงมีสองส่วนคือทั้งหวังฆ่าและขู่ ซึ่งก่อนหน้านี้มีข้อมูลการสืบสวนจากเจ้าหน้าที่ระดับสูงเตือนว่าอย่าไปร้านนวดร้านนี้ แต่ผมก็ไม่ได้คิดอะไร ก็มาแค่เดือนละครั้ง และขับรถมาเอง อย่างไรก็ตามมาถึงวันนี้ก็ได้มีความพยายามนัดเจรจากับผม ผ่านผู้ใหญ่คนโน้นคนนี้ ซึ่งก็มีเพียงคนเดียวเป็นผู้ชาย แวดวงสีกากีรู้จักกันดี”พล.ต.ท.สุรเชษฐ์เปิดหน้าท้าชน
ส่วน ป.ป.ช.จะเรียกหรือไม่เรียกตามที่ “ทนายตั้ม” ว่าไว้ ไม่สำคัญเท่ากับว่า การเคลื่อนไหวในคดีไบโอเมทริกซ์นั้น ดูเหมือนจะพุ่งเป้าไปที่ “ป.ป.ช.” อย่างเป็นจังหวะจะโคน ประหนึ่งเหมือนรู้กระบวนการทำงานภายในของ ป.ป.ช.อย่างไรอย่างนั้น ทำให้อดคิดไม่ได้ว่า “เอ๊ะ...มีใครรู้จักกับบิ๊กๆ ป.ป.ช.” บ้างนะ
กล่าวสำหรับ “โครงการไบโอเมทริกซ์” หรือ “ระบบพิสูจน์อัตลักษณ์บุคคลลายพิมพ์นิ้วมือและภาพถ่ายใบหน้าของ สตม.” นั้น คือเทคโนโลยีที่ใช้ยืนยันตัวบุคคลด้วยข้อมูลชีวภาพที่เป็นลักษณะเฉพาะตัวโดยเชื่อมเข้ากับระบบคอมพิวเตอร์ ถือเป็นระบบที่สากลนิยมใช้กันทั่วโลก เป็นระบบที่ช่วยในเรื่องของการสแกนใบหน้า เก็บอัตลักษณ์บุคคล เช่นเดียวกับการปลอมแปลงพาสปอร์ต ซึ่งเทคโนโลยีดังกล่าวจะช่วยให้การกระทำความผิดยากขึ้น ทำให้ปลอมพาสปอร์ตได้ยากขึ้น
ทั้งโครงการมีงบลงทุนรวมกว่า 2,000 ล้านบาท ซึ่งแม้งบประมาณจะไม่มาก แต่ก็ต้องถือว่า ไม่น้อย
โครงการดังกล่าวมีการดำเนินงานมาตั้งแต่สมัยที่ พล.ต.ท.ณัฐธร เพราะสุนทร เป็น ผบช.สตม. ต่อเนื่องมายังสมัย พล.ต.ท.สุทธพงษ์ วงษ์ปิ่น พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล และ “บิ๊กอู๊ด”-พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม.คนปัจจุบัน
สมัย “บิ๊กโจ๊ก” ได้มีการเข้าไปตรวจสอบเพื่อหาทางแก้ไขหลังพบปัญหาความไม่เสถียรของเทคโนโลยี และพบการตรวจรับงานมีความล่าช้าไม่ตรงตามสัญญาที่ระบุ พร้อมทำเรื่องเสนอ “บิ๊กแป๊ะ” เพื่อให้พิจารณาใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาหรือข้อตกลงโครงการเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2560
หลัง “บิ๊กโจ๊ก” ตกกระป๋อง โครงการนี้กลับมาฉาวโฉ่อีกครั้งเมื่อ นายษิทรา เบี้ยบังเกิด เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชน หอบเอกสารหลักฐานเข้าร้องเรียนต่อ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อขอให้สอบ “4 นายตำรวจระดับสูง” ที่เกี่ยวข้องโครงการไบโอแมทริกซ์ และ “บิ๊กแป๊ะ” ได้ลงนามในคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ 331/2562 ลงวันที่ 31 พฤษภาคม 2562 แต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงหลัง “ทนายตั้ม” ไปยื่นหนังสือต่อ ป.ป.ช.
หลังเกิดเหตุการณ์ “โจ๊กท่ายาก” เมื่อวันที่ 9 มกราคม 2563 พล.ต.ท.สมพงษ์ ที่ต้องเข้ามาแบกรับเผือกร้อนชนิดกลืนไม่เข้าคายไม่ออกให้สัมภาษณ์ถึงโครงการดังกล่าวแบบละเอียดยิบ และเป็นการสัมภาษณ์ที่ต้องใช้คำว่า “สวนบิ๊กโจ๊ก” แบบไม่ไว้หน้าเช่นกัน
“ไม่ทราบว่า พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ เอาข้อมูลมาจากไหนว่าระบบไบโอเมทริกซ์ไม่สามารถใช้งานได้จริง ทั้งที่เป็นระบบที่มีประสิทธิภาพสูงใช้งานได้จริง ที่ผ่านมาสามารถจับกุมชาวต่างชาติที่ต้องคดี หรือมีประวัติก่ออาชญากรรม ที่พยายามหลบหนีเข้าประเทศไทย หรือหลบหนีเข้ามาได้จำนวนมาก จึงถือว่าการนำระบบนี้มาใช้มีความคุ้มค่า ที่สำคัญคือช่วยสร้างความเชื่อมั่นใจให้นานาประเทศว่าประเทศไทย มีระบบคัดกรองที่มีมาตรฐานความปลอดภัย อีกทั้งป้องกันการทุจริตของเจ้าหน้าที่ได้อีกด้วย จึงถือว่าการนำระบบไบโอเมทริกซ์มาใช้คุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไป ที่ออกมาชี้แจงก็เพื่อต้องการสร้างความเข้าใจแก่สังคม ทั้งนี้ ผบ.ตร.ในฐานะผู้อนุมัติโครงการ มีเป้าประสงค์เพื่อยกระดับสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองให้มีประสิทธิภาพทัดเทียมกับนานาชาติ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ไม่ควรนำเรื่องระบบไบโอเมทริกซ์ไปเชื่อมโยงกับความขัดแย้งส่วนตัว”
ขณะที่ พล.ต.ต.สุรพงษ์ ชัยจันทร์ รองผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ก็เปิดเผยว่า ที่ผ่านมาได้ให้ผู้เชี่ยวชาญจากหลายหน่วยงานมาตรวจสอบว่าระบบไบโอเมทริกซ์ใช้งานได้จริงหรือไม่ ซึ่งได้รับรายงานยืนยันว่าเป็นระบบที่มีประสิทธิภาพใช้งานได้จริง โดยตั้งแต่ตนมาปฏิบัติหน้าที่ที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง อยู่ระหว่างส่งงานงวด 3 ซึ่งปัจจุบันติดตั้งไปครบทั้ง 6 งวดแล้ว ตามสัญญา และตลอดระยะเวลา 6 เดือนที่ผ่านมา ตรวจสอบคนมาแล้ว 48 ล้านคน จับกุมบุคคลตามแบล็คลิสต์ได้ 4,353 คน ตรวจสอบบุคคลที่อยู่ในราชอาณาจักรเกินเวลาที่กำหนดหรือ โอเวอร์สเตย์ 126,989 คน จับกุมได้ 3,166 คน ได้เงินค่าปรับไปแล้วกว่า 240 ล้านบาท อีกทั้งยังเห็นว่า พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ นำเรื่องความขัดแย้งส่วนตัวมาเชื่อมโยงกับระบบไบโอเมทริกซ์ เนื่องจากผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเป็นผู้อนุมัติโครงการ ตนก็พร้อมจะชี้แจงกับ ป.ป.ช.เพราะทุกขั้นตอนตั้งแต่การจัดซื้อ การตรวจสอบ และการนำมาใช้ มีความโปร่งใส
ส่วน นายอาศิส อัญญะโพธิ์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิตอล กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม(ดีอี) หนึ่งในผู้ร่วมตรวจสอบระบบไบโอเมทริกซ์ ก็ยืนยันเช่นกันว่าเป็นระบบที่มีมาตรฐานสากล ท่าอากาศยานชั้นนำของโลกหลายแห่งก็ใช้ระบบนี้ เป็นระบบที่ใช้งานได้จริง แต่อาจจะมีความล่าช้าในการเชื่อมโยงระบบไปบ้าง ซึ่งต้องใช้เวลาสักระยะ เมื่อทุกอย่างเข้าระบบก็จะสามารถใช้งานได้อย่างสมบูรณ์แบบ
เรียกว่าดาหน้ากันออกมาอัด พล.ต.ท.สุรเชษฐ์จน “เละเป็นโจ๊ก” กันเลยทีเดียว
อย่างไรก็ดี หนังเรื่องนี้ต้องดูกันยาวๆ เพราะมิใช่เหตุปกติ หากแต่เป็น “มหากาพย์” ระดับตำนานของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งมีเดิมพันสูงยิ่ง และไม่อาจคาดเดาได้ว่า สุดท้ายจะลงเอยอย่างไร.