ข่าวปนคน คนปนข่าว
** ใบสั่งยิง “โจ๊ก หวานเจี๊ยบ” ทำไปเพื่ออะไร? “เรื่องใหญ่คนเล็ก เรื่องเล็กคนใหญ่” แค่ขู่ หรือหมายเอาชีวิต เรื่องซีเรียสแต่วิถีกระสุนบนรถกลับกลายเป็นเรื่องโจ๊ก
“โจ๊ก หวานเจี๊ยบ” พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ที่ปรึกษาพิเศษประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ตกเป็นข่าวดังอีกครั้งหลังเกิดเหตุคนร้ายลอบยิง “เลกซัส สีขาว” รถยนต์ส่วนตัว ช่วงกลางดึกเมื่อคืนวันก่อน (6 ม.ค.) โดยจุดเกิดเหตุเป็นบริเวณหน้าร้านนวดแห่งหนึ่งบนถนนสุรวงศ์ ซึ่งหลังเกิดเหตุเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าตรวจสอบ เบื้องต้นพบว่าที่รถคันดังกล่าวมีรูกระสุน 8 รู หัวกระสุน 2 นัด ถูกยิงวิถีเฉียงลงระยะประชิดที่ด้านล่าง ฝั่งผู้นั่งและคนขับ โดยที่ขณะนั้นเจ้าตัวไม่ได้อยู่ภายในรถ
ฟังว่า “โจ๊ก” เป็นลูกค้าประจำของร้านนวดนี้ ใช้บริการมานานนับสิบปี ขณะที่รถโดนยิงกำลังหลับอยู่บนเตียงนวด ซึ่งพอผู้ดูแลร้านรู้ว่ารถลูกค้าคนดังถูกยิงจึงมาปลุก พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ขึ้นมา ก่อนจะแจ้งกับเจ้าตัวว่ารถยนต์ถูกยิง โดยที่ “โจ๊ก” ไม่ได้มีอาการตกใจแต่อย่างใด ทั้งยังบอกกับผู้ดูแลร้านด้วยว่าไม่ต้องแจ้งความ เดี๋ยวจะดำเนินการเอง จากนั้นได้ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าและลงมาตรวจดูรถยนต์ที่ได้รับความเสียหาย
ถ้ายังจำกันได้ ก่อนหน้านี้ “โจ๊ก หวานเจี๊ยบ” ถือเป็นนายตำรวจหนุ่มดาวรุ่งพุ่งแรงของวงการสีกากี ว่ากันว่าด้วยวัย 40 กว่า แต่อนาคตไกลมากด้วยแรงสนับสนุนจาก “ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ พี่ใหญ่สายเอ็นของ คสช. แบบที่น้อยคนนักที่จะทำได้ หน้าที่การงานเติบโตพรวดพราด เคยนั่งตำแหน่งสำคัญๆ เช่น ผู้บังคับการตำรวจท่องเที่ยว, ผู้บังคับการตำรวจสายตรวจ และปฏิบัติการพิเศษ หรือ 191, รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล, รองผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว และผู้บัญชาการตำรวจตรวจคนเข้าเมือง ในตำแหน่งล่าสุด ก่อนจะถูกปลด “ฟ้าผ่า” แบบสุดช็อกของวงการเมื่อ 5 เมษายน 2562
หลังตกจากฟ้า อดีต นรต.รุ่น 47 “โจ๊ก หวานเจี๊ยบ” ก็โลว์โปรไฟล์ไปตามระเบียบ จะเกิดเป็นข่าวให้ฮือฮาบ้างก็ตอนไปตระเวนทำบุญ โดยมีขบวนการต้อนรับจากบรรดานายตำรวจที่เคยได้ดิบได้ดีสมัย “โจ๊ก” มีอำนาจ แห่แหนไปต้อนรับอารักขาอย่างเอิกเกริกช่วงกลางๆ ปีที่ผ่านมา
พอมีเรื่องนี้ ทำเอาตกอกตกใจกันเป็นทิวแถว เพราะไม่นึกว่าคนร้ายจะกล้ากระทำการอุกอาจ ลงมือกลางเมืองกรุง ขณะที่เป้าหมายเป็นถึงอดีตนายตำรวจคนดัง ขณะเดียวกันก็วิพากษ์วิจารณ์ไปต่างๆ นานา ใบสั่งใคร? ทำไปเพื่ออะไร? ขู่หรือหมายเอาชีวิต พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ไปขัดขาใคร
ในทางคดี ตำรวจยังไม่ตัดประเด็นไหนทิ้ง ยกเว้น “ชู้สาว” และ “ขัดแย้งผลประโยชน์” ซึ่งเจ้าตัวพูดผ่าน พล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา รอง ผบ.ตร. ยืนยันว่าไม่มีแน่นอน โดยจะนัด พล.ต.ท.สุรเชษฐ์มาสอบปากคำอย่างละเอียดที่สถานีตำรวจนครบาลบางรัก ในเวลา 12.30 น.วันนี้ (8 ม.ค.) แต่เบื้องต้นตำรวจเชื่อว่าผู้ก่อเหตุน่าจะมีมากกว่า 2 คน โดยมีการวางแผนดูลาดเลาเส้นทางก่อนและหลังลงมือก่อเหตุ โดยตัดประเด็นการยิงผิดตัวทิ้งไป เพราะมีไม่กี่คนที่ทราบว่า พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ใช้รถยนต์คันนี้ และไปยังสถานที่ดังกล่าวเป็นประจำ ส่วนจะมีการจัดฉากสร้างสถานการณ์หรือไม่ ตำรวจจะตรวจสอบประเด็นนี้เช่นกัน
พล.ต.ท.ปิยะ อุทาโย ผู้ช่วย ผบ.ตร.บอกว่าคดีนี้เป็นลักษณะของ “เรื่องใหญ่คนเล็ก เรื่องเล็กคนใหญ่” ผู้ประสบเหตุก็เป็นอดีตผู้บังคับบัญชาระดับสูงของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงได้กำชับให้เร่งจับกุมคนร้ายที่ก่อเหตุมาดำเนินคดีตามกฎหมายให้ได้โดยเร็ว พร้อมกันนี้ได้กำชับผู้บังคับบัญชาทุกพื้นที่ให้กำหนดมาตรการป้องกันเหตุ เพื่อป้องกันมิให้เกิดเหตุร้ายขึ้นอีก โดยหากเกิดเหตุต้องติดตามจับกุมผู้กระทำความผิดให้ได้โดยเร็ว พนักงานสอบสวนต้องดำเนินการรวบรวมพยานหลักฐานด้วยความรอบคอบ รวดเร็ว เป็นธรรม อาศัยพยานหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ และพยานหลักฐานที่เชื่อมโยงกับผู้ที่ก่อเหตุเป็นสำคัญ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้พี่น้องประชาชน นักลงทุน และนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ
คนแรกๆ ที่ออกมาวิเคราะห์ติดเครื่องหมายคำถามหน่อยๆ เป็น “ทนายตั้ม” ษิทรา เบี้ยบังเกิด เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ ที่ได้โพสต์แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ลงในเฟซบุ๊ก ระบุว่า #ยิงสนั่นกลางกรุง ไม่รู้ว่าหมายเอาชีวิต หรือต้องการแค่ข่มขู่!! แต่ที่แน่ๆ ทราบมาว่าคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ กำลังจะเรียก พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ไปให้ข้อมูลในเรื่องการทุจริตโครงการไบโอแมทริกซ์ และโครงการรถไฟฟ้าอัจฉริยะ ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในฐานะเป็นผู้เคยทำหนังสือท้วงติงให้ยับยั้งโครงการ ซึ่งมีข่าวแว่วมาว่ามีคนแถวปทุมวันเกี่ยวข้องกับเงินทุจริตหลายร้อยล้านบาท ตามที่ผมได้ร้องเรียนให้มีการตรวจสอบไป ซึ่งหาก พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ไปให้ข้อมูลจริง น่าจะไปถึงคนที่ชักใยอยู่เบื้องหลังทั้งหมด เว้นแต่การยิงครั้งนี้จะทำให้ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ไม่อยากไปให้ข้อมูล! แต่ในความคิดผม เรื่องแค่นี้ไม่น่าทำให้หวั่นไหวได้แม้แต่น้อย”
ไม่ว่าคดีจะคลี่คลายไปทางไหน คงต้องติดตามกันต่อไป แต่ความซึ่ง “เรื่องใหญ่คนเล็ก เรื่องเล็กคนใหญ่” โลกโซเชียลฯ ให้ความสนใจอึงอล โดยเฉพาะเมื่อภาพรถของ “โจ๊ก หวานเจี๊ยบ” และวิถีกระสุนเผยแพร่ออกไป จากเรื่องซีเรียสอยู่แท้ๆ กลับกลายเป็นเรื่องโจ๊ก นั่นเพราะตามวิถีกระสุนเหมือนไม่ได้ตั้งใจเอาชีวิตใครในรถ จึงมีคนแสดงความเห็นในโลกออนไลน์ไปแบบคันๆ เช่น “คนยิงเคสนี้ต้องแบบคิดหลายตลบ คงคิดว่า “โจ๊ก” แอบในรถ แล้วกำลังก้มอยู่เบาะหลัง เลยซัดไปที่แถวๆ ข้างล่าง กะเข้าหัวในท่าหมอบแน่ๆ สุดยอดไปเลยลวกเพ่” “ดูทรงแล้ว “โจ๊ก” คงไปขัดขาใคร มือปืนจึงเล็งไปที่ขา”...
ด้วยประการฉะนี้ ข่าว “คนถูกลอบยิง” จึงกลายเป็นแฮชแท็กเฮฮาปาจิงโกะในโลกโซเชียลฯ อยู่ครึ่งค่อนวัน ทั้งที่จริงๆ เหตุการณ์นี้ไม่รวบรัดธรรมดาแน่ สร้างสถานการณ์? จัดฉาก? หรือลงมือขู่จริง ต้องประณามต่อการใช้ความรุนแรง และวิธีที่ป่าเถื่อนกลางกรุงซึ่งเป็นภัยต่อส่วนรวม
คดีนี้ ไม่เร่ง ไม่เร็ว คงไม่ได้แล้ว.
** “เต้-พิเชษฐ” หันกลับเข้าร่วมรัฐบาลรอบนี้อาจมีโฮ เมื่อ “พี่ศรี” เตรียมยื่นหลักฐานเพิ่มน้ำหนักให้กับคำร้องเดิมที่เคยยื่นต่อ ป.ป.ช. เมื่อครั้งตั้งฝ่ายค้านอิสระ ว่าเป็นการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมาย และขัดต่อมาตรฐานทางจริยธรรมหรือไม่!
พลันที่ “เต้” มงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ หัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์ และ “พิเชษฐ สถิรชวาล” หัวหน้าพรรคประชาธรรมไทย ตั้งโต๊ะแถลงข่าว ประกาศยุติบทบาทการทำหน้าที่ "ฝ่ายค้านอิสระ" แล้วไปเข้าร่วมกับ "กลุ่มกิจสังคมใหม่" ที่มี “ชัช เตาปูน” ชัชวาลล์ คงอุดม หัวหน้าพรรคพลังท้องถิ่นไทย และ "ดำรงค์ พิเดช" หัวหน้าพรรครักษ์ผืนป่าประเทศไทย เป็นสมาชิกกลุ่ม รวม ส.ส.ได้ 8 เสียง เพื่อไปสนับสนุน "รัฐบาลลุงตู่" ให้พ้นสภาพ "เสียงปริ่มน้ำ" พร้อมมอบหนังสือแถลงการณ์ แสดงเจตจำนงเข้าร่วมรัฐบาลให้ "อุตตม สาวนายน" หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ อย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 6 ม.ค.ที่ผ่านมานั้น
เรื่องนี้ดูเหมือนว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไร ที่พรรคการเมืองจะย้ายข้างจากฝ่ายค้านไปหนุนฝ่ายรัฐบาล... แต่ "พี่ศรี" ศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เห็นว่า “ไม่ถูกต้อง” และเตรียมนำข้อมูล หลักฐาน ไปยื่นต่อ ป.ป.ช.เพิ่มเติม ตามที่เคยยื่นคำร้อง ขอให้ไต่สวน สอบสวน และวินิจฉัยว่า การกระทำของ "เต้ และพิเชษฐ" ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ขัดต่อมาตรฐานทางจริยธรรมหรือไม่ !!
เพราะก่อนหน้านี้ ทั้ง "เต้ และพิเชษฐ" ก็อยู่ฝ่ายรัฐบาลอยู่แล้ว แต่เมื่อวันที่ 13 ส.ค.62 "เต้" ได้แถลงข่าวนำพรรคไทยศรีวิไลย์ ออกจากการร่วมรัฐบาล และแต่งตั้งตัวเองเป็น "ผู้นำฝ่ายค้านอิสระ" โดยอ้างว่า เพื่อประสิทธิภาพในการแก้ไขปัญหาให้พี่น้องประชาชนอย่างเต็มที่ ขณะเดียวกันก็พร้อมที่จะเสนอแนวทางแก้ไขปัญหาบ้านเมือง ต่อฝ่ายรัฐบาล และฝ่ายค้าน ได้อย่างสร้างสรรค์ ซึ่งต่อมาวันที่ 10 ก.ย.62 "พิเชษฐ" ก็นำพรรคประชาธรรมไทย ออกจากรัฐบาล มาเป็นฝ่ายค้านอิสระ ร่วมกับ "เต้" ด้วย
ในครั้งนั้น "พี่ศรี" ได้ยื่นเรื่องร้องเรียนต่อป.ป.ช. เมื่อวันที่ 6 พ.ย. 62 ขอให้สอบสวน วินิจฉัยว่า การกระทำดังกล่าวขัดต่อ พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง และขัดมาตรฐานทางจริยธรรมของนักการเมืองหรือไม่... เพราะมาตรา 106 ของรัฐธรรมนูญ ระบุให้เฉพาะหัวหน้าพรรคการเมืองฝ่ายค้านในสภาฯ ที่มีจำนวนสมาชิกมากที่สุด เป็นผู้นำฝ่ายค้านในสภาฯ เท่านั้น ... ไม่มีกฎหมายฉบับใด หรือรัฐธรรมนูญมาตราใด ให้อำนาจในการตั้ง "ฝ่ายค้านอิสระ" หรือมีผู้นำฝ่ายค้านอิสระ
โดยเฉพาะเมื่อเกิดเหตุการณ์สภาฯล่ม 2 ครั้งติดต่อกัน "เต้" ยังออกมาโพสต์เฟซบุ๊ก เรียกร้องให้ "พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา" ลาออกจากนายกรัฐมนตรี เพื่อแสดงความรับผิดชอบ...
แต่พอได้เข้าร่วมงานเลี้ยงกระชับมิตร ที่เมืองทองธานี เมื่อวันที่ 3 พ.ย.62 ได้ "ซดหูฉลาม" ลุงตู่เข้ามากอดคอ ก็กลับลำ หันมาเข้าร่วมรัฐบาลอีกครั้ง...ชี้ให้เห็นถึงอุดมการณ์ทางการเมืองที่น่าสงสัย
"พี่ศรี" จึงเตรียมนำความ พร้อมพยานหลักฐานไปยื่นเพิ่มเติม เพิ่มน้ำหนักในคำร้องเดิมที่เคยยื่นไว้ เพื่อให้ป.ป.ช.ไต่สวน สอบสวน และวินิจฉัย
เรื่องนี้ถ้าถึงที่สุดแล้ว ป.ป.ช. วินิจฉัยออกมาว่า "ไม่ผิด" ก็เป็นอันว่าจบเรื่อง... แต่ถ้า ป.ป.ช.ชี้มูลว่ามีความผิดแล้วละก็ จะเป็นกรณีตัวอย่างให้นักการเมืองได้พึงสังวรว่า การเปลี่ยนจุดยืนไปตามสิ่งเร้าแบบ "กลับไปกลับมา" ตามใจชอบ การตั้งตำแหน่งทางการเมืองให้กับตัวเอง โดยไม่ศึกษาข้อกฎหมายถ่องแท้ ก็อาจจะถึงคราว "จบเห่" ได้เหมือนกัน