ก่อนส่งท้ายปี 2562 สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง ได้ออกมาแถลงถึงคาดการณ์แนวโน้มเศรษฐกิจปีหน้า โดยประมาณการว่า จีดีพีจะโตประมาณ 3.3% และการส่งออกขยายตัวเพิ่มขึ้น 2.6%
ตัวเลขการคาดการณ์จีดีพีของสำนักงานเศรษฐกิจการคลังถือว่าสูงมาก เมื่อเทียบกับการคาดการณ์ของสำนักวิจัยภาคเอกชน รวมทั้งธนาคารแห่งประเทศไทยที่ประเมินว่า จีดีพีปีหน้าจะโตประมาณ 2.8%
หน่วยงานด้านเศรษฐกิจภาครัฐ มักมีมุมมองเศรษฐกิจในลักษณะโลกสวย เช่นเดียวกับปีที่ผ่าน ซึ่งเดิมคาดว่า จีดีพีจะโตประมาณ 4% แต่ปรับลดลงมาต่อเนื่อง จนสิ้นปีก็ออกมายอมรับว่า จริงๆ แล้วจีดีพีจะโตเพียง 2.5%
ส่วนแนวโน้มเศรษฐกิจปี 2563 ยังมีข้อถกเถียงกันอยู่ว่า จะฟื้นตัวขึ้นหรือฟุบต่อ เพราะถ้าฟังจากคนค้าขาย วงสนทนานักธุรกิจ นักวิชาการ และประชาชนทั่วไป จะได้ยินแต่เสียงของคนที่มองโลกในแง่ร้าย กังวลว่า เศรษฐกิจจะทรุดหนักต่อไป
และตัวเลขเศรษฐกิจที่ออกมาช่วงปลายปี ก็บ่งชี้ว่า เศรษฐกิจยังย่ำแย่ และไม่มีใครแน่ใจว่า จุดต่ำสุดได้ผ่านพ้นไปหรือยัง
การส่งออก 11 เดือนแรกปี 2562 ติดลบ 2.8% และคาดว่าทั้งปีจะติดลบไม่ต่ำกว่า 2% การลงทุนภาคเอกชนยังชะลอตัว เพราะนักลงทุนไม่มีความมั่นใจในทิศทางเศรษฐกิจ ขณะที่กำลังซื้อภายในประเทศตกต่ำสุดขีด ส่งผลให้ยอดขายสินค้าต่างๆ หดตัว
หนี้ภาคครัวเรือนพุ่งขึ้นเป็น 340,053 บาทต่อครัวเรือน สูงสุดเป็นประวัติการณ์
ปัญหาหนี้เสียเพิ่มขึ้น จนสถาบันการเงินต้องควบคุมการปล่อยสินเชื่ออย่างเข้มงวด เพื่อป้องกันตัวเอง เพราะมีบทเรียนจากวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 มาแล้ว
ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ซบเซาขนาดหนัก ลูกค้าที่ขอเงินกู้จากธนาคารไม่ผ่านการอนุมัติ บ้านที่ขายได้ แต่กลับโอนไม่ได้ ทำให้บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ต้องเผชิญปัญหาสภาพคล่องทางการเงิน
การส่งออกที่ซบเซา ส่งผลกระทบต่อเนื่องถึงธุรกิจเอกชน โดยหลายโรงงานต้องทยอยปลดพนักงาน
ตลาดหุ้นเกิดความผันผวน ดัชนีหุ้นไม่เป็นไปตามเป้าหมาย จากคาดการณ์กันว่า สิ้นปีดัชนีหุ้นจะพุ่งขึ้นยืนเหนือ 1,700 จุด แต่กลับไปไม่ถึง 1,600 จุด ขณะที่นักลงทุนต่างชาติ ถอนทุนกลับต่อเนื่องจากปี 2561 โดยขายหุ้นทิ้งกว่า 4 หมื่นล้านบาท หลังจากปี 2561 ขายทิ้งแล้วกว่า 2.87 แสนล้านบาท และไม่รู้ว่าปีนี้ต่างชาติจะกลับมาลงทุนใหม่หรือไม่
ความพยายามกระตุ้นเศรษฐกิจ ผลักดันมาตรการต่างๆ ออกมาต่อเนื่อง อัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบมหาศาล แต่ไม่อาจพลิกฟื้นเศรษฐกิจที่ฟุบหนักได้
แม้ว่าปัญหาสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน มีสัญญาณที่ดีขึ้น โดยจะมีการลงนามข้อตกลงทางการค้าในเดือนมกราคมนี้ แต่เศรษฐกิจโลกยังอยู่ในภาวะชะลอตัว ส่งผลกระทบต่อประเทศไทย โดยเฉพาะภาคการส่งออก
ขณะที่ค่าเงินบาทที่แข็ง ยังบั่นทอนขีดความสามารถในการแข่งขัน ขณะที่นักท่องเที่ยวต่างประเทศที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย มีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น และอาจไม่เดินทางมาท่องเที่ยวประเทศไทย ทำให้รายได้จากการท่องเที่ยวลดลง
ธุรกิจขนาดใหญ่ของกลุ่มเจ้าสัวเท่านั้นที่ยังยืนอยู่ได้ และกอบโกยกำไรต่อไป แต่ธุรกิจโดยทั่วไปกำลังล้มหายตายจาก เพราะยอดขายตกฮวบ แม้แต่การค้าขายระดับรากหญ้า เพราะกำลังซื้อตกต่ำ จนได้รับผลกระทบกันทุกหย่อมหญ้า
ความตกต่ำทางเศรษฐกิจ ไม่ใช่เพียงแค่ความรู้สึกเท่านั้น แต่เป็นสิ่งที่สัมผัสได้ ตามห้างสรรพสินค้าแทบไม่มีคนเดินจับจ่าย ร้านอาหารว่างเปล่า ร้านค้าข้างทางแทบไม่มีคนเดิน ธุรกิจทั่วไปดูวังเวง ประชาชนส่วนใหญ่ไม่มีความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ และพยายามเตือนกันให้ระมัดระวังการใช้จ่าย หลีกเลี่ยงการลงทุน โดยถือเงินสดไว้แน่นๆ
เพราะเชื่อกันว่า เศรษฐกิจปีนี้ อาจเลวร้ายกว่าปีที่ผ่านมา ปี 2562 ที่คิดกันว่า ถึงจุดต่ำสุดแล้ว แต่ปีนี้สถานการณ์เศรษฐกิจโดยรวมอาจตกต่ำกว่า
ปีที่ผ่านมา ภาคธุรกิจต้องพยายามประคับประคองตัวเพื่อความอยู่รอด แต่ปีนี้ ภาคธุรกิจทนต่อไปไม่ไหว แบกภาระค่าใช้จ่ายต่อไปไม่ได้ ปัญหาที่ตามมาคือการเลิกจ้างพนักงาน ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นมาตลอดปี 2562
บรรดากูรูตลาดหุ้น ไม่กล้ามองโลกสวยเท่าใดนัก โดยทำนายเป้าหมายดัชนีหุ้นปีนี้ในกรอบแคบๆ เพราะเดาผิดมา 2 ปีติดแล้ว และคาดการณ์ว่า ดัชนีหุ้นปีนี้อาจขยับขึ้นไปแถว 1,700 จุดเท่านั้น
ส่วนสำนักวิจัยเศรษฐกิจภาคเอกชนโดยทั่วไป ได้แต่คาดหวังว่า เศรษฐกิจปีนี้น่าจะดีกว่าปีก่อน โดยจะฟื้นตัวอย่างช้าๆ
แต่สำหรับประชาชนทั่วไป สำหรับนักธุรกิจส่วนใหญ่ ไม่มีความมั่นใจว่า เศรษฐกิจจะฟื้น แต่หวาดผวาว่าจะทรุดหนัก และเตรียมตัวเตรียมใจเพื่อรับมือกับสถานการณ์เลวร้ายที่อาจเกิดขึ้น
จะจับจ่ายใช้สอยต้องคิดให้หนัก จะลงทุนอะไรต้องระมัดระวัง ถ้าเลือกได้ ควรชะลอการลงทุน เพื่อรอดูเหตุการณ์ไปก่อน
รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา สอบตกการแก้ปัญหาเศรษฐกิจมา 5 ปีแล้ว ปีนี้ถ้าเศรษฐกิจไม่ฟื้น ประชาชนยังเดือดร้อนกันทุกหย่อมหญ้า ธุรกิจอยู่กันไม่ได้ พล.อ.ประยุทธ์คงอยู่ยากเหมือนกัน