กรุงเทพมหานครรายงานตัวเลขการจัดเก็บกระทง จากงานลอยกระทงประจำปี 2562 โดยมียอดการจัดเก็บรวมทั้งสิ้น 502,204 ใบ ลดลงจากปี 2561 ซึ่งจัดเก็บได้จำนวน 741,327 ใบ ลดลง 339,303 ใบ แต่ไม่ได้พูดถึงสาเหตุของจำนวนกระทงที่ลดลงมากนัก
งานลอยกระทงเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายนที่ผ่านมา เงียบเหงาจากปีที่ผ่านมา สถานที่ลอยกระทงต่างๆ มีผู้คนไม่คึกคักเหมือนปีก่อนๆ โดยประชาชนส่วนหนึ่ง เลือกที่จะอยู่บ้าน ไม่ออกมาเฉลิมฉลองลอยกระทง และทำให้ยอดการขายกระทงตกต่ำ
ความเงียบเหงาในงานลอยกระทงปีนี้ จำนวนกระทงที่ลดวูบลงประมาณ 40% ถือเป็นดัชนีชี้วัดทางเศรษฐกิจได้ระดับหนึ่ง โดยภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซา ทำให้สภาพจิตใจของประชาชนห่อเหี่ยว ไม่อยากสนุกสนานรื่นเริงกับใครที่ไหน ไม่มีเงินที่จะจับจ่ายด้านความบันเทิง จนต้องระมัดระวังการใช้จ่าย
สัญญาณที่สะท้อนว่า เศรษฐกิจกำลังย่ำแย่สุดขีดเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยข่าวการปลดพนักงานซึ่งเกิดขึ้นเป็นระยะ เป็นสิ่งบ่งชี้ว่า บริษัทเอกชนกำลังย่ำแย่ ต้องลดภาระค่าใช้จ่ายเพื่อประคับประคองตัวเองให้รอด แต่จะอยู่รอดกันได้อีกสักกี่น้ำ ในยามที่เศรษฐกิจเลวร้ายหนักขึ้น โดยเฉพาะปีหน้า
ปีนี้ประมาณการตัวเลขทางเศรษฐกิจผิดพลาดแทบทุกด้าน อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจหรือจีดีพีต้องปรับลดกันหลายรอบ จากที่คาดหวังว่า จะโต 4% ปรับลดเหลือโตเพียง 2.8% การส่งออกชะลอตัวลง จากที่เคยคาดว่า จะขยายตัวเพิ่มขึ้น 3% ปรับลดลงโตเหลือศูนย์เปอร์เซ็นต์ และมีแนวโน้มว่า ยอดส่งออกปีนี้จะติดลบด้วยซ้ำ
ส่วนดัชนีตลาดหุ้น ช่วงต้นปีตั้งเป้าหมายว่า จะพุ่งขึ้นแตะระดับ 1,750 จุด แต่ปรับลดลงมา โดยนักวิเคราะห์บริษัทโบรกเกอร์ส่วนใหญ่ทำนายว่า ปลายปีนี้ดัชนีหุ้นจะอยู่ที่ระดับ 1,650 จุด แต่ถ้าสถานการณ์รอบด้านเลวร้ายลง ดัชนีหุ้นอาจทรุดลงมาที่ระดับ 1,550 จุด หรือลงมาในระดับเดียวกับจุดปิดเมื่อสิ้นปี 2561
ความตกต่ำทางเศรษฐกิจ ถูกโยนไปที่ผลกระทบจากภายนอก โดยเฉพาะผลกระทบจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน และไม่มีการพูดถึงความผิดพลาดล้มเหลวในการดำเนินนโยบายแก้ปัญหาเศรษฐกิจแต่อย่างใด
รัฐบาลไม่พยายามพูดถึงเศรษฐกิจที่กำลังทรุดหนัก แต่กลับสื่อว่า เศรษฐกิจอยู่ในภาวะเติบโตช้า โดยให้ความหวังว่า ปีหน้าสถานการณ์จะดีขึ้น เศรษฐกิจฟื้นตัว และดำเนินมาตรการกระตุ้นการจับจ่ายอย่างเต็มที่
แต่เศรษฐกิจปีหน้าจะฟื้นตัวจริงหรือ
วิกฤตเศรษฐกิจกำลังปะทุทั่วโลก ประชาชนลุกฮือขึ้นประท้วงการแก้ปัญหาเศรษฐกิจในหลายประเทศ ส่วนประเทศไทย แม้ประชาชนยังไม่ถึงขั้นลุกฮือขึ้นมาชุมนุมต่อต้านรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แต่ความเดือดร้อนจากผลกระทบทางเศรษฐกิจได้ลุกลามไปทุกหย่อยหญ้า
กระแสความไม่พอใจการแก้ปัญหาเศรษฐกิจขยายตัวในวงกว้าง เพราะภาวะเศรษฐกิจที่ทุกคนได้สัมผัสในชีวิตจริง แตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากภาพที่รัฐบาลวาดฝันไว้
คำปลอบประโลมของรัฐบาล อ้างว่า เศรษฐกิจกำลังฟื้น กลายเป็นเรื่องตรงกันข้ามกับสิ่งที่ประชาชนเผชิญหน้า เพราะสิ่งที่ประชาชนเผชิญหน้าอยู่คือ เศรษฐกิจที่ดิ่งลงเหว จนเกิดความกังวลว่า วิกฤตเศรษฐกิจครั้งใหญ่ และสร้างผลกระทบรุนแรงยิ่งกว่าวิกฤตต้มยำกุ้งปี 2540 กำลังคืบคลานเข้ามา
และปีหน้าอาจถึงเวลาของหายนะทางเศรษฐกิจ
เสียงเตือนจากวิกฤตเศรษฐกิจดังขึ้นเป็นระยะ เตือนให้ประชาชนเตรียมรับมือกับผลกระทบ โดยหยุดการลงทุน ระวังการจับจ่ายใช้สอย เก็บเงินสดไว้ เพื่อใช้ดำรงชีพยามภาวะคับขัน
ขณะที่รัฐบาลไม่รู้สึกรู้สากับวิกฤตที่กำลังคืบคลาน ไม่กำหนดมาตรการรับมือ แต่เดินหน้านโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ ทุ่มเงินในโครงการประชานิยม หลงระเริงกับคะแนนนิยมจากผลสำรวจของสำนักโพลที่เชลียร์รัฐบาล
เหลืออีกเพียงเดือนเศษ จะปิดฉากปี 2561 แล้ว แต่ไม่มีสัญญาณบ่งชี้ว่า เศรษฐกิจปีหน้าจะกระเตื้องขึ้น มีแต่ปรากฏการณ์ที่ตอกย้ำว่า เศรษฐกิจปีหน้า มีแนวโน้มจะเลวร้ายยิ่งกว่าปีนี้
ความเงียบเหงาในวันลอยกระทงที่เพิ่งผ่านพ้นมา เป็นหนึ่งในปรากฏการณ์ทางเศรษฐกิจช่วงขาลงเต็มตัว นอกเหนือจากปรากฏการณ์คนที่กำลังตกงานเพิ่มมากขึ้น ทำให้อาชญากรรมเต็มบ้านเต็มเมือง จนตำรวจรับแจ้งความไม่ไหว
ใครที่รอดจากพิษเศรษฐกิจในปีนี้ได้ อย่าเพิ่งชะล่าใจ เพราะปีหน้าอาจไม่รอด ปีหน้าเศรษฐกิจอาจทรุดหนัก และเล่นงานจนรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์อาจไม่รอดก็ได้ ไม่เชื่อคอยดูกัน
ประชาชนแทบหมดความอดทนกับผลกระทบเศรษฐกิจตกต่ำแล้ว ปีหน้าถ้าเศรษฐกิจเลวร้ายหนักกว่านี้ ประชาชนจะทนให้พล.อ.ประยุทธ์อยู่ต่อไปหรือ
จะไม่ลุกฮือออกมาขับไล่รัฐบาล เหมือนที่เกิดขึ้นในเลบานอน เวเนซุเอรา ชิลี โบลิเวียหรือ