เพิ่งประเดิมเริ่มต้นปีใหม่ไปแค่ไม่กี่อึดใจ...ก็เจอกับเรื่อง “ร้อนๆ” โผล่ขึ้นมาในตะวันออกกลาง ณ ใจกลางกรุงแบกแดด ประเทศอิรัก เมื่อชาวอิรักจำนวนนับร้อย นับพัน ตัดสินใจ “ส่งท้ายปีเก่า-ต้อนรับปีใหม่” ด้วยการกรูกันไปล้อมกรอบสถานทูตอเมริกา ในกรุงแบกแดด บุกเข้าไปใน “Green Zone” หรือเขตปลอดภัยรอบๆ สถานทูต ทุบทำลายกล้องวงจรปิด ปาก้อนหินขวดน้ำก่อน “จุดไฟในนาคร” เผากำแพงสถานทูต ฯลฯ พร้อมเปล่งเสียงตะโกน “อเมริกัน...ออกไป-อเมริกัน...ออกไป” ชนิดน่าหวาดหวั่นขวัญสยองเป็นอันมาก โดยเฉพาะสำหรับรัฐบาลอเมริกัน หรือเจ้าหน้าที่สถานทูตอเมริกัน ซึ่งเคยมีบทเรียนถูกบุก ถูกเผาสถานทูตในประเทศลิเบีย เมื่อช่วงปี ค.ศ. 2012 ชนิดเอกอัครราชทูต ถูกฆ่าทิ้งกันเห็นๆ!!!
ด้วยเหตุนี้...จึงไม่ถึงกับเป็นเรื่องแปลกใจมากมายสักเท่าไหร่ ที่กองกำลังนาวิกโยธินนับร้อยของกองทัพสหรัฐฯ ในคูเวต พร้อมเฮลิคอปเตอร์อาปาเช่อีกหลายสิบลำจะถูกส่งไปดูแลรักษาความปลอดภัยสถานทูตที่กรุงแบกแดด เป็นการด่วน แต่ที่นอกเหนือไปจากนั้น ยังมีการระดมกำลังทหารสหรัฐฯ จาก “Fort Bragg” รัฐนอร์ทแคโรไลนา อีกถึง 750 นาย บรรทุกขึ้นเครื่องบิน C-17 มุ่งตรงไปยังตะวันออกกลาง พร้อมการออกมา “ขู่” หรือออกมา “ทวีต” เอาไว้ก่อนล่วงหน้าของผู้นำสหรัฐฯ ว่าหากเกิดเหตุการณ์ความเสียหายใดๆ ต่อชีวิต และทรัพย์สินของผู้คนในสถานทูตสหรัฐฯ ผู้ที่ต้องรับผิดชอบแบบเต็มๆ ก็คือ “คู่กัด” ของคุณพ่ออเมริกาในภูมิภาคนี้ นั่นก็คือ “อิหร่าน”นั่นเอง ที่จะต้อง “จ่ายค่าตอบแทนในราคาแพงเอามากๆ” โดยยังได้ย้ำเอาไว้อีกด้วยว่า... “นี่ไม่ใช่คำเตือน แต่เป็นคำขู่โดยตรง”...
แม้ว่าการบุก การล้อมกรอบสถานทูตสหรัฐฯ หรือสถานทูตประเทศใด ประเทศหนึ่ง อาจถือเป็นเรื่อง “ปกติธรรมดา” เพราะแม้แต่ “สถานกงสุลอิหร่าน” ก็เพิ่งถูกบุก ถูกพวก “ชายชุดดำ” ในอิรัก ฉวยโอกาสจากเหตุการณ์ประท้วงรัฐบาลอิรักในเรื่องเศรษฐกิจและการบริหารจัดการ บุกเข้าเล่นงานกันสดๆ ร้อนๆ เมื่อไม่นานมานี้ แต่สำหรับการบุก การล้อมกรอบสถานทูตอเมริกาคราวนี้มันอาจนำไปสู่ฉากเหตุการณ์ที่ “ไม่ธรรมดา” ขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ย่อมได้ หรือฉากเหตุการณ์ที่ “รัฐบาลใหม่” ของอิรัก ซึ่งยังไม่รู้ว่าจะเป็นใคร??? (หลังจากที่นายกรัฐมนตรีที่ถูกกล่าวหาว่า “โปรอิหร่าน” อย่าง “นายAdel Abdul Mahdi” ได้ตัดสินใจยื่นจดหมายลาออกไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เนื่องจากทนเสียงด่า เสียงว่า ของพวกผู้ประท้วงไม่ไหว) จะต้องหาทาง “ชั่งน้ำหนัก” กันเอาเอง ว่าจะหาทางสร้าง “สมดุล” ในระบบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของอิรักกันในรูปแบบไหน? แบบไหน???
คือการบุกสถานทูตอเมริกาในกรุงแบกแดดคราวนี้...ว่าไปแล้ว มันก็มี “เงื่อนไข” และ “เหตุปัจจัย” พอที่จะทำให้ผู้คนในประเทศอิรัก อดทน อดกลั้นต่อไปไม่ไหว เลยต้องออกมา “จุดไฟในนาคร” กันเห็นๆ ไม่ได้ถึงกับเป็นการสร้างฉาก สร้างสถานการณ์แบบพวก “ชายชุดดำ” ที่บุกเผาสถานกงสุลอิหร่านแต่อย่างใด เพราะเมื่อช่วงวันอาทิตย์ (29 ธ.ค.) ที่เพิ่งผ่านไปเมื่อปีที่แล้ว ทหารอเมริกันในอิรัก เขาได้ส่งเครื่องบินโดรนออกไปทิ้งระเบิดใส่หัวกบาลพวกกองกำลังทหารบ้านของอิรัก หรือที่รู้จักกันในนาม “Hashd al-Shaabi” หรือ “Popular Mobilization Force” หรือเรียกย่อๆ ว่า “PMF” อันเป็นกองกำลังของบรรดานักรบหลากหลายกลุ่มที่รวมตัวกันช่วยรัฐบาลอิรักมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 2019 เพื่อต่อสู้กับพวกผู้ก่อการร้ายไอเอส หรือไอซิสที่เข้ามายึดบ้าน ยึดเมือง ยึดแผ่นดินบางส่วนของอิรักและซีเรีย จัดตั้งเป็นประเทศ “อิสลามซูเปอร์สเตท” โดยมีคุณพ่ออเมริกาแอบให้การสนับสนุนแบบลับๆ เพื่อหวังจะ “ฉีกตะวันออกกลาง” ออกเป็นชิ้นๆ นั่นเอง...
แม้ว่ากองกำลังดังกล่าว...จะถูกระบุว่าได้รับการสนับสนุนโดยอิหร่าน แต่ก็เป็นกองกำลังที่รัฐบาลและกองทัพอิรักถือว่ามีส่วนช่วยในการดูแลรักษาความมั่นคงปลอดภัยให้กับประเทศอิรัก เพราะการดำรงคงอยู่ของกองกำลังเหล่านี้ ไม่ได้ก่อให้เกิด “ปัญหา” ใดให้กับรัฐบาลและกองทัพเอาเลยแม้แต่น้อย เพียงแต่อาจก่อให้เกิด “ปัญหา” กับอเมริกา ดังที่มีการตั้งข้อกล่าวหาว่าการยิงจรวดถล่มฐานทัพอเมริกาในเมืองเคอร์คุกเมื่อไม่นานมานี้ เป็นฝีมือของกองกำลังเหล่านี้ กองทัพอเมริกันเลยต้องส่งเครื่องบินโดรนไปทิ้งระเบิดใส่หัวกบาล พวก “PMF” ที่อยู่ไกลไปถึงแถวๆ ชายแดนซีเรียต่อกับอิรักโน่นเลย เมื่อช่วงวันอาทิตย์ที่ 29 ธ.ค. 2019 ส่งผลให้นักรบ “PMF” ตายไป 25 ราย บาดเจ็บอีกเป็นร้อยๆ บรรดาญาติพี่น้องของพวกนักรบทั้งหลาย เลยอดที่จะ “แค้นตาแม้น” ขึ้นมามิได้ หลังจากได้รวมตัวกันในงานพิธีศพ จากนั้น...ก็เลยโผล่ไป “ระบาย” ที่หน้าสถานทูตสหรัฐฯ ในกรุงแบกแดด เรียกร้องให้ “รัฐบาลใหม่” ไม่ว่าจะเป็นใครก็แล้วแต่ หาทางขับไล่ “ทหารอเมริกัน” ออกจากประเทศอิรัก ให้พ้นๆไปซะทีโดยอาจมีการปักหลัก ตั้งเต็นท์อยู่รอบๆ สถานทูตฯ จนกว่ารัฐบาลอิรักจะตอบสนองความปรารถนาและต้องการของตัวเอง...
ส่วนรัฐบาลและกองทัพอเมริกันนั้น...แม้ไม่ได้มีข้อตกลงผูกพันใดๆ ที่จะสามารถจัดตั้ง “กองทัพถาวร” ขึ้นมาในประเทศอิรัก แต่โดยจำนวนทหารอเมริกัน ที่มีอยู่ประมาณ 5,000 คนในดินแดนแห่งนี้ รวมทั้งด้วย “ยุทธศาสตร์และนโยบาย” รัฐบาลอเมริกัน ที่มุ่งจะ “ต่อต้านภัยคุกคามอิหร่าน” อย่างชนิดถึงพริก ถึงขิง ความพยายามที่จะใช้พื้นที่ ดินแดนประเทศอิรัก เป็นฐานในการต่อต้านและเล่นงานประเทศอิหร่านมาโดยตลอด จึงเป็นสิ่งที่มีความสำคัญเอามากๆ แม้แต่ในช่วงสถานทูตอเมริกากำลังถูกบุก ถูกเผา ผู้นำอเมริกันอย่าง “ทรัมป์บ้า” ก็ยังอดมิได้ที่จะออกมา “ทวีต” เอาไว้ว่า... “ถึงบรรดาชาวอิรักนับหลายๆ ล้านคน ผู้ต้องการเสรีภาพ และไม่ต้องการถูกครอบงำ ถูกควบคุม โดยอิหร่านอีกต่อไป...นี่คือเวลาของพวกคุณ!!!” หรือพูดง่ายๆ ว่า...ออกมายุ ออกมาปลุกระดม ให้ชาวอิรักทั้งหลายร่วมแรง ร่วมตีน “ถีบอิหร่าน” ออกไปให้พ้นๆ แล้วหันมา “ซบตีนอเมริกา” กันแทนที่...
การบุกเผาสถานกงสุลอิหร่านที่เมืองนาจาฟ และคาร์บาลา พร้อมกับการเปล่งเสียงตะโกน “อิหร่านออกไปๆ” ของบรรดาชาวอิรักบางกลุ่ม บางราย เมื่อช่วงเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว กับการบุกเผาสถานทูตอเมริกาในกรุงแบกแดด ช่วงส่งท้ายปีเก่า-ต้อนรับปีใหม่ พร้อมการเปล่งเสียงตะโกน “อเมริกันออกไปๆ” ของชาวอิรักอีกกลุ่ม ในคราวนี้ จึงกลายเป็น “คนละเรื่องเดียวกัน” อย่างมิอาจปฏิเสธได้ และสิ่งเหล่านี้...ถึงแม้อาจไม่ได้ส่งผลให้เกิด “ปัญหา” ต่อรัฐบาลอเมริกัน หรือรัฐบาลอิหร่านมากมายสักเท่าไหร่ แต่สำหรับ “รัฐบาลอิรัก” ที่ยังไม่ได้เริ่มต้นตั้งไข่ขึ้นมาใหม่ หลังจากรัฐบาลที่แล้วต้องหมดสภาพลงไป อันนี้นี่แหละ...ที่ต้องถือเป็น “ปัญหา” ชนิดหนักหนาสาหัสเอามากๆ ว่าจะหาทาง “ชั่งน้ำหนัก” หาทางสร้าง “จุดสมดุล” ขึ้นมาภายในประเทศตัวเองได้อย่างไร???
เพราะการหันไป “ซบตีนอเมริกา” ที่ได้ชื่อว่ามหาอำนาจสูงสุดของโลกใบนี้ ก็ใช่ว่าจะก่อให้เกิดความมั่นคง ปลอดภัยต่อประเทศตัวเองซึ่งถูกอเมริกาเองนั่นแหละกระทืบและกระทำย่ำยีจนแทบไม่เหลือชิ้นดี ไปตลอดชั่วนิจนิรันดร์กาลก็หาไม่ เนื่องจากประเทศเพื่อนบ้านอย่างอิหร่านทุกวันนี้ ก็ใช่ว่าจะเป็นแค่เพื่อนบ้านตัวเล็กๆ ซะที่ไหน การเปิดฉาก “ซ้อมรบร่วม” ระหว่างอิหร่าน-รัสเซีย-และจีน ในมหาสมุทรอินเดียและทะเลโอมานครอบคลุมพื้นที่ 17,000 ตารางกิโลเมตร เมื่อปลายเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ถือเป็นเครื่องตอกย้ำว่า “แนวรบในตะวันออกกลาง” ไม่ได้ตกอยู่ใต้อำนาจอิทธิพลของอเมริกาล้วนๆ อีกต่อไปแล้ว โอกาสที่จะหันไป “ถีบอิหร่าน” ให้พ้นๆ ไปจากประเทศตัวเอง จึงแทบเป็นไปไม่ได้เอาเลย...