ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - เป็นการปรับทัพครั้งใหญ่ หลังผ่านศึกเลือกตั้งมา 8 เดือน เพื่อให้กับเข้ากับสถานการณ์ เพราะกรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐชุดแรก เป็นแค่ชุดก่อตั้งเพื่อใช้ในการเลือกตั้งครั้งแรกของพรรค
กรรมการบริหารพรรคชุดแรก ส่วนใหญ่เป็นเครือข่าย“เฮียกวง”สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ เจ้าของโปรเจกต์ “ประชารัฐ”และผู้อยู่เบื้องหลังการก่อตั้งพรรคตัวจริง
อุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรค สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เลขาธิการพรรค สุวิทย์ เมษินทรีย์ รองหัวหน้าพรรค กอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการบริหารพรรค วิเชียร ชวลิต นายทะเบียนพรรค พรชัย ตระกูลวรานนท์ เหรัญญิกพรรค เป็นเด็กในคาถาของ“เฮียกวง”ทั้งหมด
ส่วนตัวกรรมการบริหารพรรคที่เหลือ มาจาก "กลุ่มสามมิตร" ได้แก่ อนุชา นาคาศัย สรวุฒิ เนื่องจำนง พงศ์กวิน จึงรุ่งเรืองกิจ กับกลุ่ม กทม. ที่ยกครัวมาจากพรรคประชาธิปัตย์ ประกอบด้วย ณัฏฐพล ทีปสุวรรณ พุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ เป็นหลัก
แต่ภายหลังการเลือกตั้ง ต่อเนื่องมาจนถึงการจัดทัพคณะรัฐมนตรี เริ่มมีการขบเหลี่ยมกันระหว่างแกนนำ ส.ส.ในพรรค โดยเฉพาะการใช้ยอดตัวเลขส.ส.ในสนาม มาเคลมเพื่อแลกผลงาน
โดยเฉพาะกลุ่มส.ส.ภาคกลาง นำโดย “เสี่ยเฮ้ง”สุชาติ ชมกลิ่น ส.ส.ชลบุรี กับ“วิรัช รัตนเศรษฐ”ส.ส.บัญชีรายชื่อ ที่ดูแลพื้นที่ จ.นครราชสีมา บางส่วน ที่แพ็กกันแล้วมีส.ส.ในมือเป็นสิบชีวิต แต่กลับได้เก้าอี้รัฐมนตรีมาเพียงตัวเดียว คือ อธิรัฐ รัตนเศรษฐ รมช.คมนาคม
ในขณะที่ “กลุ่มสามมิตร”ซึ่งจับกันกับ “เด็กเฮียกวง”ซึ่งเป็นแกนหลักในกรรมการบริหารพรรคชุดแรก กลับได้เก้าอี้รัฐมนตรีไปเป็นกอบเป็นกำ ไม่ว่าจะเป็น "อุตตม" ได้ รมว.คลัง "สนธิรัตน์" ได้ รมว.พลังงาน "สุวิทย์ เมษินทรีย์" รมว.การอุดมศึกษา วิจัย และนวัตกรรม "สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ" รมว.อุตสาหกรรม "สมศักดิ์ เทพสุทิน" รมว.ยุติธรรม
รวมไปถึงโควตาพิเศษของ“เสี่ยติ๊ก”อิทธิพล คุณปลื้ม น้องชายของ “เสี่ยแป๊ะ”สนธยา คุณปลื้ม ที่แม้การเลือกตั้งที่ผ่านมาจะล้มเหลวสิ้นเชิงใน จ.ชลบุรี ผิดกับ“เฟรนด์ ออฟ เสี่ยเฮ้ง”แต่ต้องมอบให้ เพราะเป็น“สัญญาใจ”เมื่อครั้งขนคนจากพรรคพลังชล มาทำงานกับพรรคพลังประชารัฐ เป็นกลุ่มแรกๆ
สัดส่วนคณะรัฐมนตรี จากพรรคพลังประชารัฐ ที่เป็น“กลุ่มสามมิตร + เด็กสมคิด”มีถึง 5 เก้าอี้ ซึ่งทำให้ก๊กอื่นๆในพรรค ไม่ค่อยเห็นด้วยสักเท่าไหร่นัก
ซึ่ง 1 ในนั้นคือ“กลุ่มเสี่ยเฮ้ง-กลุ่มวิรัช”ที่พยายามจะลดอำนาจผู้บริหารชุดแรกลง โดยเฉพาะกลุ่ม 4 กุมาร ที่ “สมคิด”ส่งมา เพราะมองว่าเป็นพวกตัวเปล่าเล่าเปลือย ไม่มีส.ส.ในมือ แต่กลับได้เก้าอี้รัฐมนตรีกันไปเสวยสุข
ข่าวลือเรื่องการเขี่ย“สนธิรัตน์”พ้นเลขาธิการพรรค โดยมีชื่อของ“เสี่ยแฮงค์”อนุชา นาคาศัย ส.ส.ชัยนาท เข้ามาเสียบ เป็นเพียงหนึ่งในปฏิบัติการสลายพลังอำนาจกรรมการบริหารพรรคชุดแรกลงเท่านั้น
จะเห็นว่า“กลุ่มสามมิตร”โดยเฉพาะตัว“เสี่ยแฮงค์”ไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไรเลยกับข่าวลือเขี่ย“สนธิรัตน์”ในครั้งนี้ ทั้งที่หากเป็นความจริงจะต้องเดินหน้าล็อบบี้ส.ส.ในพรรคให้หันมาสนับสนุนเพื่อเปลี่ยนแปลง
อีกทั้งการเขี่ย“สนธิรัตน์”พ้นวงจร นั่นเป็นจุดเสี่ยงที่จะทำให้เก้าอี้รัฐมนตรีของ“กลุ่มสามมิตร-กลุ่มสมคิด”ลดลงตามไปด้วย ซึ่งจะเข้าทางกับกลุ่มที่ต้องการเป็นรัฐมนตรีในการปรับครม.ครั้งหน้า
เพราะการที่ “สนธิรัตน์”หลุดจากเก้าอี้เลขาธิการพรรค จะทำให้“ขาลอย”และเตรียมรับชะตากรรมในการปรับถูกปรับออกจากคณะรัฐมนตรีครั้งหน้าโดยอัตโนมัติ
ตำแหน่งเลขาธิการพรรค คือสิ่งเดียวที่ยึดเหนี่ยวเก้าอี้ของ“สนธิรัตน์”เอาไว้ เมื่อไม่มี สิทธิในเก้าอี้รัฐมนตรีจะตกไปอยู่ที่ เลขาธิการพรรคคนใหม่
แน่นอนหากเป็น“เสี่ยแฮงค์”จริง โควตารัฐมนตรีจะยังอยู่กับ“กลุ่มสามมิตร”เพียงแต่ไม่มีใครการันตีได้ว่า คนที่อยู่เบื้องหลังปฏิบัติการครั้งนี้ ต้องการ“เสี่ยแฮงค์”มาทำหน้าที่แม่บ้านพรรคคนใหม่จริงๆ หรือแค่“สับขาหลอก”เพื่อเอา“สนธิรัตน์”ออกพ้นเส้นทางก่อน
เนื่องจากช่วงที่ผ่านมา ชื่อแรกที่ข่าวว่าจะมาทำหน้าที่เลขาธิการพรรคไม่ใช่ “เสี่ยแฮงค์”แต่เป็น “เสี่ยตั๊น”ณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รมว.ศึกษาธิการ ซึ่งจูนกันติดกับ“กลุ่มเสี่ยเฮ้ง-กลุ่มวิรัช”มากกว่า“กลุ่มสามมิตร”
“เสี่ยตั๊น”นั้น เป็นรัฐมนตรีในโควตา กทม. อยู่แล้ว หากได้ตำแหน่งเลขาธิการพรรคจะมีโควตารัฐมนตรีเหลืออีก 1 ที่นั่ง ซึ่งแน่นอนว่าอาจถูกยกไปให้กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งในพรรค ซึ่งไม่ใช่“กลุ่มสามมิตร”
ข่าวลือนี้มันจึงเป็นปฏิบัติการจับมือกันของ ส.ส.บางกลุ่มในพรรค เพื่อทลายอำนาจ“กลุ่มสามมิตร-กลุ่มสมคิด”ลง
เพราะความจริงแล้ว“กลุ่มสามมิตร”กับ “กลุ่มสมคิด”แม้บางเรื่องจะเห็นไม่ตรงกัน แต่เมื่อถึงคราวต้องจับมือรับศึกจากกลุ่มอื่นๆ ภายในพรรคพลังประชารัฐ จะกลับมาเหนียวแน่นตามเดิมเพื่อรักษาโควตาเอาไว้
ซึ่งปฏิบัติการนี้เกือบจะสำเร็จลงแล้ว โดยมีส.ส.บางกลุ่มวิ่งเข้าบ้าน “บิ๊กป้อม”พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานยุทธศาสตร์พรรคพลังประชารัฐ เพื่อขอเปลี่ยนตัวแม่บ้านพรรคคนใหม่ โดยยกเหตุผลเรื่องการทำหน้าที่เรื่องการประสานงานกับ ส.ส. การแก้ไขปัญหาให้ส.ส. ซึ่งเป็นจุดอ่อนของ“สนธิรัตน์”มาเป็นธง
ว่ากันว่า“บิ๊กป้อม”เอง ไฟเขียวแล้วด้วยซ้ำ เพราะต้องการได้เลขาธิการพรรคคนใหม่ ที่เป็นดัง“ร่างเงา”ตัวเอง มาดูแลพรรค
ทันทีที่“สมคิด”รู้ข่าวนี้ สิ่งเดียวที่จะช่วยเซฟฐานอำนาจตัวเองไว้ คงเหลือเพียง“บิ๊กตู่”พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม จึงพา“สนธิรัตน์”เข้าไปคุยยังตึกไทยคู่ฟ้า
ก่อนจะมีสัญญาณแจ่มชัดออกมาว่า“บิ๊กตู่”ไม่ต้องการให้มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงนี้ เพราะหวั่นว่าจะเกิดแรงกระเพื่อมภายในพรรค
เป็นสัญญาณที่ “ผู้กองมนัส”ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรและสหกรณ์ เองก็รับเอาไปบอกกับกลุ่มส.ส.ในพรรคว่า อย่าเพิ่งกระทำการเรื่องนี้
“สนธิรัตน์”จึงยังอยู่ในเก้าอี้เลขาธิการพรรคต่อ
ส่วนในกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ ที่มีการปรับเอาแกนนำตัวจริงในกลุ่ม ส.ส.ในมุ้งต่างๆ มาอยู่ในกรรมการบริหารพรรคมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น วิรัช รัตนเศรษฐ, สุชาติ ชมกลิ่น, ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า, พ.อ.สุชาติ จันทรโชติกุล, สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ, สมศักดิ์ เทพสุทิน ก็เพื่อลดโทนผูกขาดของ“กลุ่มสามมิตร -กลุ่มสมคิด”ลงเท่านั้น
แต่ในความเป็นจริงแล้ว 2 กลุ่มนี้ ที่แพ็กกันยังมีพลังอำนาจ โดยเฉพาะการที่หัวหน้าพรรค และเลขาธิการพรรค ยังมาจากกลุ่มพวกเขา
และหากดูในการประชุมใหญ่ เมื่อวันที่ 21 ธ.ค.ที่ผ่านมา จะเห็นว่า“สุริยะ”ยอมแบกสังขารที่ป่วย มาเพื่อนำส.ส.ซีกตัวเอง รับมือเกมของฝ่ายตรงข้าม เพื่อป้องกันความผิดพลาด
เรียกว่า เป็นการสู้กันระหว่าง “กลุ่มสามมิตร-กลุ่มสมคิด”กับ“กลุ่มเสี่ยเฮ้ง-กลุ่มวิรัช-กลุ่มกทม.”ที่วิ่งเข้าบ้าน“บิ๊กป้อม”
ก่อนจะจบด้วยการเอาตัวรอดไปได้ของ“กลุ่มสามมิตร-กลุ่มสมคิด"