ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ข่าวคราวบริษัทปิดกิจการรับเศรษฐกิจทรุดส่งท้ายปีสวนทางแรงอัดฉีดมาตรการกระตุ้นที่รัฐบาล “ซานต้าตู่” จัดโปรกระหน่ำมาอย่างต่อเนื่องเพื่อเรียกความเชื่อมั่นปีหน้าจะต้องดีขึ้นกว่าปีนี้แน่ โดยเฉพาะระบบเศรษฐกิจฐานรากที่ปูทางอัดฉีดไว้เต็มเหนี่ยวผ่านหลายโครงการหลากมาตรการทั้งกองทุนหมู่บ้าน ประกันรายได้ภาคเกษตร ชิมช้อปใช้ บัตรคนจน ฯลฯ โดยดึงแบงก์รัฐที่มีฐานลูกค้าอยู่ในมือร่วมเป็นหัวหอกนำขบวน
อย่างที่ นายอุตตม เสาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เน้นย้ำถึงความสำคัญของการอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่เศรษฐกิจฐานรากว่า นอกจากจะพยุงเศรษฐกิจไม่ให้หยุดชะงักจากผลพวงเศรษฐกิจโลกซบเซาส่งออกติดลบแล้ว การส่งเงินถึงมือประชาชนโดยตรงผ่านกลไกมาตรการต่างๆ ที่ออกมาจะช่วยกระตุ้นให้เกิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจตามมาเป็นลูกโซ่
เช่น กองทุนหมู่บ้าน จะต่อยอดการสร้างรายได้ให้ชุมชน ชิมช้อปใช้ ทำให้ชาวบ้านขายสินค้าได้ หรือโครงการบ้านดีมีดาวน์ ทำให้การก่อสร้างคึกคัก ซึ่งมีซัพพลายเชนต่อเนื่องไปถึงแรงงาน หรือแม้แต่การประกันรายได้เกษตรกร ต้นน้ำในการผลิตวัตถุดิบหากมีทุนรอนสามารถเพิ่มมูลค่าสินค้าได้เกษตรกรก็จะมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
การโหมกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากอย่างคึกคักของรัฐบาลนั้น ต้องไม่ลืมว่า หมวกอีกใบของนายอุตตม เสาวนายน คือหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) การเร่งโด๊ปฐานรากแบบยิงตรงให้เป๋าตังตุงผ่านมาตรการต่างๆ จึงน่าตั้งข้อสังเกตว่าใช่เป็นสัญญาณการเมืองที่ว่าใกล้ถึงเวลาล้างไพ่ใหม่ในจังหวะพลังประชารัฐมีคะแนนนิยมพุ่งสูงหรือไม่
ยิ่งเมื่อวัดกระแสจากสนามเลือกตั้งซ่อมครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2562 พื้นที่ขอนแก่น เขต 7 เมืองหลวงภาคอีสานตอนบน ผลปรากฏว่า นายสมศักดิ์ คุณเงิน จาก พปชร. สามารถโค่นล้มนายธนิก มาสีพิทักษ์ จากพรรคเพื่อไทย อย่างเหนือความคาดหมาย
ในเขตเลือกตั้งดังกล่าว ก่อนนี้ นายนวัธ เตาะเจริญสุข ส.ส.เพื่อไทย เป็นเจ้าถิ่น แต่สถานภาพ ส.ส. สิ้นสุดลง เนื่องจากนายนวัธ ถูกศาลจังหวัดขอนแก่น พิพากษาประหารชีวิตในคดีจ้างวานฆ่าปลัด อบจ.ขอนแก่น ซึ่งต่อมา ศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยเมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2562 ว่า นายนวัธ ขาดสมาชิกภาพ
นับเป็นความพ่ายแพ้ติดต่อกันสองสนามเลือกตั้งซ่อมของพรรคฝ่ายค้าน คือ ที่นครปฐม เขต 5 และ ขอนแก่น เขต 7 สร้างความฮึกเหิมให้กับ พปชร. และพลพรรคฝ่ายรัฐบาลเป็นอย่างยิ่ง
จังหวะเวลาที่คะแนนเสียงมา โครงการต่อท่ออัดเม็ดเงินสู่ฐานราก จึงต้องเร่งเครื่องให้เร็วยิ่งขึ้น เพื่อสร้างฐานเสียงเรียกคะแนนนิยมให้แน่นปึ๊ก รอรับศึกเลือกตั้งที่มาเมื่อไหร่ก็มีโอกาสกวาดชัยชนะใสๆ
กล่าวสำหรับโครงการกองทุนหมู่บ้าน หลังจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้เห็นชอบในหลักการมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงปลายปี 2562 ออกมา ล่าสุด เมื่อวันที่ 20 ธันวาคมที่ผ่าน การประชุมคณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ (กทบ.) ที่มีนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ได้เร่งรัดให้รีบจัดทำระเบียบหลักเกณฑ์เพื่อนำเสนอเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี เพื่อขออนุมัติงบประมาณหว่านเม็ดเงินลงสู่หมู่บ้านตามกรอบที่ครม.เห็นชอบเอาไว้แล้ว
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2562 ครม.เห็นชอบมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจช่วงปลายปี 2562 ตามที่กระทรวงการคลัง เสนอ โดยอนุมัติโครงการเพิ่มความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานราก ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 จัดสรรเงินให้แก่กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง จำนวน 71,742 แห่ง แห่งละไม่เกิน 200,000 บาท วงเงินรวม 14,348.4 ล้านบาท
เงินกองทุนหมู่บ้านที่ทุ่มลงไปรอบนี้ มีเป้าหมายเพื่อสนับสนุนเงินลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดเล็กในชุมชน และส่งเสริมให้เกิดการจ้างงานในพื้นที่ เช่น ยุ้งฉางชุมชน โรงตากพืชผลทางการเกษตร โรงสีชุมชน โรงงานผลิตปุ๋ยประจำชุมชน การจัดทำแหล่งเก็บน้ำชุมชน เครื่องจักรสำหรับแปรรูปผลผลิตทางการเกษตร หรือกิจกรรมอื่นที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนที่ชุมชนเห็นว่าเป็นประโยชน์ในการส่งเสริมศักยภาพในการประกอบอาชีพและความเป็นอยู่ในชุมชนให้ดีขึ้น
ปฏิบัติการนำเงินลงสู่ระบบเศรษฐกิจฐานรากรอบนี้ กระทรวงการคลัง ยังสั่งการให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ปล่อยสินเชื่อโครงการสินเชื่อธุรกิจชุมชนสร้างไทย วงเงินรวม 50,000 ล้านบาท ให้กับกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง สถาบันการเงินประชาชน สถาบันการเงินชุมชน สหกรณ์การเกษตร กลุ่มเกษตรกร วิสาหกิจชุมชน วิสาหกิจเพื่อสังคม และผู้ประกอบการธุรกิจเกษตร เพื่อเป็นค่าลงทุนในการดำเนินกิจการและค่าใช้จ่ายหมุนเวียน คิดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ร้อยละ 0.01 ต่อปี เป็นระยะเวลา 3 ปี หลังจากนั้นคิดอัตราดอกเบี้ยตามปกติของ ธ.ก.ส. ระยะเวลาโครงการตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2562 ถึงวันที่ 30 พฤศจิกายน 2565
ขณะเดียวกัน ก็มีโครงการพักชำระหนี้สมาชิกกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองตามความสมัครใจ เพื่อผ่อนคลายภาระหนี้ สามารถนำเงินไปประกอบอาชีพเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนและหนี้นอกระบบอีกด้วย
ไม่เพียงแต่อัดเม็ดเงินลงสู่กองทุนหมู่บ้านเท่านั้น มาตรการช่วยเหลือเกษตรกรที่ทยอยออกมาผ่านโครงการประกันรายได้ทั้งเกษตรกรผู้ปลูกข้าว มันสำปะหลัง ยางพารา ฯลฯ และโครงการชิมช้อปใช้ ซึ่งจะช่วยให้เกษตรกรมีรายได้ กระตุ้นการขายสินค้าของชุมชน เป็นการเสริมความแข็งแกร่งเศรษฐกิจฐานราก ดังที่ นายอุตตม โพสต์เฟซบุ๊ก แจกแจง "ทำไม??? ต้องช่วยฐานราก" ว่า
“....การช่วยเหลือเกษตรกร ผมคิดว่าเรายังต้องช่วยเหลือ เพราะเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ หากคนกลุ่มนี้ไม่สามารถอยู่ได้ ประเทศก็อยู่ไม่ได้เช่นกัน .... ผมยึดมั่นว่าการที่สังคมหรือประเทศจะอยู่ได้ เราต้องก้าวไปข้างหน้าพร้อมๆ กัน เกษตรกรถือเป็นต้นน้ำในการผลิตวัตถุดิบ หากสามารถยกระดับเพิ่มมูลค่าสินค้าขึ้นก็จะมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ภาคเอกชนหลายๆ แห่งก็เห็นความสำคัญเรื่องนี้ โดยร่วมเป็นหัวขบวนในการดึงเศรษฐกิจฐานราก ....”
ทีมเศรษฐกิจฟาก พปชร. ที่มีกระทรวงการคลัง เป็นแกนหลัก ยังเร่งเครื่องสร้างความแข็งแกร่งให้ระบบเศรษฐกิจฐานรากในส่วนของผู้ประกอบการเอสเอ็มอี โดยล่าสุด รองฯ สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ สั่งให้กระทรวงคลัง ตั้งคณะทำงานพิจารณามาตรการช่วยเหลือ โดยเตรียมนำเรื่องเข้าครม.เพื่อพิจารณาอนุมัติในวันที่ 7 มกราคม 2563 เป็นของขวัญแก่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีอีกด้วย
นายอุตตม เสริมด้วยว่า นอกจากกลุ่มเอสเอ็มอีแล้ว กระทรวงการคลัง ยังมีแนวคิดให้ธนาคารรัฐ เช่น ออมสิน ดูแลภาระหนี้ส่วนบุคคลจากปัญหาบัตรเครดิต ขณะที่ธนาคารพาณิชย์ พร้อมปล่อยสินเชื่อผู้ประกอบการผ่านมาตรการของรัฐ และจะประสานกรมสรรพากร ช่วยดูแลการปรับโครงสร้างหนี้ ไม่ให้มีภาระภาษีเกิดขึ้น พร้อมปรับเงื่อนไข พ.ร.บ.จัดซื้อจัดจ้าง เพื่อเปิดโอกาสให้เอสเอ็มอี เข้าร่วมแข่งขันประมูลงานจากภาครัฐอีกด้วย
ไม่เพียงแต่คลังเท่านั้นที่ออกแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจรากฐาน ในส่วนของกระทรวงพลังงาน ก็ดันโครงการโรงไฟฟ้าชุมชนเพื่อเศรษฐกิจฐานราก เช่นเดียวกัน โดยมติที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ที่มีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ได้เคาะหลักการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบFeed-in Tariff (FiT) และราคารับซื้อไฟฟ้าสำหรับผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดเล็กมาก (VSPP) โครงการโรงไฟฟ้าชุมชนเพื่อเศรษฐกิจฐานราก โดยในปี 2563 จะเปิดรับซื้อไฟฟ้า 700 MW สร้างความคึกคักให้กับเอกชนและวิสาหกิจชุมชนที่จะร่วมกันลงทุนผลิตไฟฟ้าขายไฟให้กับรัฐ เป็นช่องทางสร้างรายได้เข้าชุมชนอีกทางหนึ่ง
นี่ยังไม่นับว่า ปีหน้าฟ้าใหม่ภายในมกราคม 2563 กระทรวงคลัง ยังจะใส่เม็ดเงินยิงตรงผ่านการแจกบัตรสวัสดิการแห่งรัฐรอบใหม่ ให้สิทธิประโยชน์เพิ่มขึ้น เข้าถึงคนจนแบบตรงจุด ซึ่งขณะนี้มีผู้ถือบัตรสวัสดิการอยู่แล้ว 14.5ล้านราย ขณะเดียวกัน นายอุตตม ยังมอบหมายให้นายประสงค์ พูนธเนศ ปลัดกระทรวงการคลัง จัดตั้งหน่วยงานดูแลสวัสดิการแห่งรัฐ เพื่อให้การทำงานเป็นระบบมากยิ่งขึ้น ส่งเสริมพัฒนาความเป็นอยู่ของประชาชนให้ดีขึ้น เอาแบบวัดผลจับต้องได้
อัดฉีดกันรัวๆ เน้นๆ หนักๆ ประมาณนี้ ต้องรอลุ้นกันว่าปีหน้า 2563 เศรษฐกิจจะเฟื่องฟู ชาวประชาจะหน้าใส ชูมือให้ พปชร. ยืนหนึ่งต่อไป หรือไม่